การแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลก กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญและอาจไม่หวนกลับได้ แม้ว่าภายใต้กรอบของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) หรือที่เรียกว่า ประชุม COP(Conference of the Parties) กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญทำให้เกิดโลกร้อน แต่ประชาคมโลกไม่เคยทำได้
เป้าหมายล่าสุด จากการประชุมระดับสูงของ COP ครั้งที่ 29 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน โดยมุ่งตามเป้า NDC สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ครอบคลุมทั้งภาคพลังงาน อุตสาหกรรม การขนส่ง และการเกษตร พร้อมทั้งผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดและการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งหากประชาคมโลกต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดอ็อกไซด์ (CO2) เฉลี่ย 3.9% ต่อปี จนถึงปี 2050 เพื่อบรรลุ Net Zero
แต่รายงานการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกยังมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อุณหภูมิโลกจะสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.5 องศาเซียลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญและไม่อาจหวนกลับไปได้
รายงาน Statistical Review of World Energy ประจำปีฉบับล่าสุดของสถาบันพลังงาน (Energy Institute) ชี้ให้เห็นว่าแม้ประชาคมโลกจะกำหนดเป้าหมายลดคาร์บอนร่วมกัน (ยกเว้นสหรัฐที่เพิ่งถอนตัว) แต่ความเป็นจริงแล้ว การปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
รายงานดังกล่าวระบุว่าปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคพลังงานทั่วโลกในปี 2567 พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
ในปี 2567 ปริมาณการใช้พลังงานทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2% ทั้งน้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน พลังงานนิวเคลียร์ พลังน้ำ และพลังงานหมุนเวียน ต่างมีอัตราการใช้เพิ่มขึ้นพร้อมกัน ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2549 ส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นราว 1% หรือเทียบเท่า 40.8 กิกะตันคาร์บอนไดออกไซด์
ในบรรดาเชื้อเพลิงฟอสซิล ก๊าซธรรมชาติมีอัตราการเติบโตสูงสุดที่ 2.5% ตามด้วยถ่านหินเพิ่มขึ้น 1.2% ซึ่งยังคงเป็นแหล่งผลิตพลังงานที่ใหญ่ที่สุด ส่วนการใช้พลังงานจากน้ำมันเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1%
ก๊าซเรือนกระจกในเอเชีย ‘น่ากลัว’ แต่ตะวันตกทำได้ดี
การปล่อยคาร์บอนของโลกในปี 2024 เพิ่มขึ้นมา 1% ซึ่งเกินกว่าการคาดการณ์ในตอนแรก ถึงแม้จีนจะมีการติดตั้งการผลิตพลังงานจากลมและแดงแดดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จีนยังคงเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกในปี 2024 ซึ่งสามารถคิดเป็นประมาณ 1 ส่วน 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของโลก
อีกประเทศในเอเชียที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก คือ อินเดีย ที่มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นถึง 62%
ในเวลาเดียวกัน สหรัฐอเมริกามีการปล่อยก๊าซน้อยลงเป็นปีที่สองติดต่อกัน และยุโรปยังคงทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง ที่สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเป็นที่ปีที่หกติดต่อกัน
น้ำมันยังเป็นที่ต้องการสูง
น้ำมันยังคงเป็นแหล่งพลังงานที่มีความต้องการมากที่สุด คิดเป็น 34% ของความต้องการของพลังงานทั้งหมดในปี 2024 แต่ในเวลาเดียวกัน ทุกทวีปมีความต้องการที่เริ่มชะลอตัวลง
สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2024 ประเมินได้ว่าเป็น 1 ใน 5 ของจำนวนการผลิตของโลก ซึ่งใหญ่เท่ากับการผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียและรัสเซียรวมกัน
พฤติกรรมของประเทศในเขต OECD ไม่มีความเปลี่ยนแปลงในความต้องการของน้ำมัน ในขณะที่ประเทศ Non-OECD มีความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทวีปแอฟริกาและตะวันออกกลางมีความต้องการของน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่เพิ่มขึ้นเร็วที่สุดอยู่ที่ 2.5% และ 1.6% ตามลำดับ
ถึงแม้ราคาน้ำมันจะลดลงมาจากเหตุการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่ราคาน้ำมันยังคงมีมูลค่าสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 อยู่ถึง 27%
เอเซียแปซิกฟิกใช้ถ่านหินมาก
ในระยะสามปีที่ผ่านมา การผลิตถ่านหินในทวีปเอเชีย-แปซิฟิกนั้นเกิดการผลิตที่มากกว่าต่อความต้องการ หรือ ‘Surplus’ อยู่ที่ 6% ของความต้องการ
ความต้องการของพลังงานถ่านหินยังคงหนาแน่นในเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งความต้องการนี้สามารถคิดเป็น 83% ของความต้องการทั้งหมดของโลก โดยความต้องการพลังงานจากถ่านหินมากถึง 67% นั้นมาจากประเทศจีน ถึงแม้เทรนด์การลงทุนในพลังงานทดแทนในจีนจะมีการเติบโต แต่การผลิตพลังงานไฟฟ้าในจีนยังคงอาศัยพลังงานจากถ่านหินมากถึง 58% ในปี 2024
ในขณะที่ยุโรปมีการเผาผลาญที่ลดลงถึง 7% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องต่อความต้องการถ่านหินในประเทศ OECD ที่ลดลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2007 ลดลงไป 4%
คนใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทั่วโลก
โดยรวมความต้องการพลังงานไฟฟ้ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ความต้องการไฟฟ้าของโลกเติบโตในอัตรา 2.6% ต่อปี และการผลิตไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
เอเชีย-แปซิฟิกเป็นทวีปที่มีความต้องการสูง การผลิตไฟฟ้าในเอเชีย-แปซิฟิกคิดเป็น 52% ของการผลิตทั้งหมดของโลก ซึ่งเพิ่มมา 5% จากปีก่อน การผลิตในอเมริกาเหนือและยุโรปเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 2.2% และ 1.5% ตามลำดับ
หากไม่รวมน้ำมัน การผลิตไฟฟ้าจากทุกแหล่งผลิตเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา พลังงานลมและแสงแดดผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 53% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลก ในเวลาเดียวกัน กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำเพิ่มขึ้นไปที่ 32% ของปริมาณไฟฟ้าทั่วโลก
พลังงานลมและแสงแดดเพิ่ม แต่ยังน้อย
การผลิตพลังงานจากลมและแสงแดดเพิ่มขึ้นจาก 13 เป็น 15% ในปี 2024 ซึ่งเอเชีย-แปซิฟิกเป็นทวีปที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นมากที่สุด จีนเป็นผู้ผลิตมากถึง 91% ของการเติบโตพลังงานลมและแสงแดดในทวีป และสามารถคิดเป็น 57% ของทั่วโลก
47% ของการติดตั้งพลังงานแสงแดดและพลังงานลมนั้นอยู่ที่ประเทศจีน หรือเทียบเป็นประมาณเกือบสองเท่าของกำลังการติดตั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปรวมกัน
28% ของไฟฟ้าในสหภาพยุโรป หรือ European Union มาจากพลังงานลมและแสงแดด โดย 2024 เป็นปีแรกที่พลังงานแสงแดดสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าการผลิตไฟฟ้าที่มาจากการเผาผลาญถ่านหิน
สำหรับ พลังงานนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น 3% ในปี 2024 ซึ่งสามารถคิดเป็น 5% ของความต้องการพลังงานทั่วโลก ซึ่งกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจาก ประเทศญี่ปุ่นและฝรั่งเศส
ที่มา: Energy Stitute
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
โลกแปรปรวนหนักใน 5 ปีจากนี้ไป ฝนถล่มซีกโลกภาคเหนือ-น้ำแข็งละลาย