รัฐบาลของอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ออกประกาศนโยบายล่าสุดว่าให้ไทยมีเป้าหมายทำ Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมตั้งใจจะทำให้สำเร็จปี 2065 ขยับมาเป็นปี 2050 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมไทยและนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศไทย
เป้าหมายของนโยบายนั้น ประกาศได้ แต่จะทำได้แค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่อง เพราะที่ผ่านมา ประเทศไทยแทบไม่ได้ทำอะไรมากนัก (แม้จะพยายามบอกว่าทำมากมาย) ขณะที่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ PDP ฉบับใหม่ (PDP2025) ยังไม่สามารถประกาศใช้ได้ และมักจะอ้างเหตุผลว่าประเทศไทยปล่อยก๊าซในสัดส่วนที่น้อยมาก
ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ใช่ Major Global Emitter แต่ธนาคารโลกมองว่าการที่จะบรรลุ Net Zero ถือว่าเป็นข้อยาก เพราะประเทศไทยเพิ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก ภาคที่พิ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลมากที่สุดคือ ภาคอุตสาหกรรม ภาคพลังงาน และการคมนาคม
ในปี 2024 ภาคพลังงานใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไป 2 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด (คิดเป็น 59% จากก๊าซธรรมชาติ และ 10% จากถ่านหิน)
ธนาคารโลกชี้ว่าการเปลี่ยนการใช้พลังงานจะต้องการการเปลี่ยนระดับโครงสร้างและสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ เช่น Grid management และการลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งนี้การลงทุนภาครัฐอาจไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อน ต้องอาศัยการช่วยเหลือจากภาคเอกชนด้วย
ในด้านของกฎหมาย ธนาคารโลกมองว่าประเทศไทยมีกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงานหลายฉบับบที่ ‘ทับซ้อน’ กันอยู่ เช่น พรบ. พลังงานแห่งชาติ ปี 35 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าประเทศไทย และแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก เป็นต้น และตอนนี้ยังมีพรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ยังอยู่ในขั้นตอนการคุย พรบ. นี้จะช่วยกำกับราคาซื้อ-ขายคาร์บอน และทิศทางกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องว่างในกฎหมายอยู่มากไม่ว่าจะเป็นด้านความรับผิดชอบ การตรวจสอบ และการกำหนดว่าหน่วยงานไหนจะเป็นผู้ดูแลราคาคาร์บอน เป็นต้น ข้อน่ากังวลคือความไม่เป็นเอกภาพในทิศทางของการขับเคลื่อนการใช้พลังงานของประเทศไทย
นอกจากนี้ Data Center จะเป็นความท้าทายใหม่ของไทยในการจัดการมลพิษ Data Center หรือ ศูนย์ข้อมูล เป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่จะผลักดันให้ไทยก้าวมาเป็นชั้นนำด้านการจัดเก็บและบริหารข้อมูล เพราะแนวโน้มของโลกในการใช้ดิจิทัลจะมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น และมีการคาดการณ์ว่าการลงทุนจะสูงถึง 7.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027 หรือเทียบเท่าเป็น 1% ของ GDP ประเทศ แต่อุตสาหกรรมนี้จะใช้พลังงานมหาสาร คิดเป็น 1-3% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด และยังใช้ทรัพยากรน้ำและสร้างคาร์บอนจำนวนมากในกระบวนการ
World Bank วิเคราะห์สิ่งที่ไทยควรทำ
ไทยต้องลงทุนและปฏิรูปกฎหมายในภาคต่างๆ ที่ก่อมลพิษสูงในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม การคมนาคม เกษตรกรรม และป่าไม้
ตัวอย่าง ในด้านการคมนาคม ประเทศไทยมีการผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ดีแต่มีอีกหลายด้านที่ต้องเดินต่อ มีเพียง 10% ของคนที่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะเดินทาง อีก 90% ใช้รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ ถึงแม้ตัวเลขจะต่ำแต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดการปล่อยคาร์บอนของรถขนส่งสาธารณะ รถบัสขนส่งในกรุงเทพฯ มีความล้าสมัยมาก อายุการใช้งานสูงถึง 25 ปี จึงไม่แปลกที่จะปล่อยมลพิษในปริมาณที่มาก
รถอีกประเภทที่ก่อมลพิษสูงคือ Heavy-duty Vehicles (HDVs) หรือยานพาหนะสำหรับงานหนัก รถประเภทนี้เจออุปสรรค์หลายอย่าง ทั้งการเปลี่ยนและพัฒนาระบบให้เป็นไฟฟ้าที่ล่าช้า และแบตเตอรี่มีข้อจำกัดในการเดินทางระยะยาว
ในเรื่องนี้ธนาคารโลกมองว่า ไทยควรเปลี่ยนจุดโฟกัสจากการให้เงินช่วยเหลือการซื้อรถยนต์ EV มาเป็นส่งเสริมด้านระบบโครงสร้างมากขึ้น เช่น ลงทุนขยายสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ให้ครอบคลุมทั้งประชาชนทั่วไปที่ใช้รถยนต์ EV รวมถึงคนใช้รถ EV ที่เป็น Heavy-duty อีกด้วย การเปลี่ยนจากรถ HDVs ให้มาเป็นรถไฟฟ้ายังเป็นโจทย์ที่ยาก จุดนี้อาจเป็นช่องว่างในการนำเชื้อเพลิงชีวภาพที่ปล่อยคาร์บอนต่ำกว่ามาเป็นประโยชน์ต่อ HDVs ก็เป็นได้ และควรมีการกำหนดอายุการใช้งานของรถยนต์ส่วนบุคคลที่ 10-15 ปี และรถโดยสารอยู่ที่ 7-10 ปี
อีกสิ่งที่ต้องทำคือ ลดการปล่อยก๊าซของภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบันการปล่อยมลพิษมีความกระจุกตัวสูง มีเพียง 5% ของโรงงานที่เป็นผู้รับผิดชอบของการปล่อยก๊าซถึง 94% ในอุตสาหกรรมโรงงาน Top 1% ของผู้ปล่อยมลพิษเป็นคนปล่อย 77% ของมลพิษทั้งหมด ในขณะที่สร้างมูลค่าทางตลาดได้ 60% และมีการรับจ้างงานเพียง 41%
สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ ติดตั้ง Emission Trading Scheme (ETS) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาษีคาร์บอน สิ่งนี้คือโครงสร้างที่อำนวยการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต เป้าหมายคือเพื่อจูงใจให้โรงงานอุตสาหกรรมเปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ รัฐบาลสามารถเจาะจงไปที่ผู้ปล่อยมลพิษสูงหรือโรงงานใหญ่ๆ ได้ การทำมาตรการลักษณะนี้ นอกจะเป็นการช่วยลดการปล่อยมลพิษของโรงงานใหญ่ๆแล้ว ยังสามารถช่วยลดค่าธุรการและลดค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการจ้างงานสูงแต่ปล่อยมลพิษในปริมาณที่น้อย
นอกจากนี้รัฐบาลควรมีมาตรฐานการชัดเจนสำหรับการใช้พลังงานในตึก-อาคาร หรือแม้อุปกรณ์ที่ใช้ในบ้านและระดับอุตสาหกรรม และควรสนับสนุนการเงินทั้งในรูปแบบของ Subsidies และให้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยบ้านเรือนและธุรกิจให้สามารถนำเทคโนโลยีประหยัดพลังงานมาใช้ได้
ภาพรวมของนโยบายและเครื่องมือทางการเงินเพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้

Source: Xavier Cirera and Philip Grinsted (2025) “Fostering Green Technology Adoption. A Toolkit for Policymakers” World Bank.
ไทยขยับ Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ให้ทันเพื่อน
แม้รัฐบาลนี้มีเป้าหมายทำ Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี และหวังว่าจะช่วยให้ประเทศไทย ‘เท่าทันโลก’ เพราะเป้าหมายเดิมปี 2065 จะทำให้ไทยบรรลุการเป็น Net Zero ช้ากว่าประเทศอื่นๆ 111 ประเทศ ถึง 11 ปี และมีความเสี่ยงสูงต่อการหลุดวงจรการค้าโลก เพราะประเทศและบริษัทต่างๆ ล้วนมีแนวโนมจะเลือกซื้อสินค้าและบริการเฉพาะจากประเทศและบริษัทที่มีเป้าหมาย Net Zero ไม่ช้าไปกว่าเป้าหมายที่ประเทศหรือบริษัทของตนเองกำหนดไว้
การตั้งเป้า Net zero เร็วขึ้น 15 ปี ของภาครัฐ จะช่วยสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยปรับตัวได้ เท่าทันกับจังหวะก้าวของโลก
แม้เป้าหมายใหม่ Net Zero 2050 จะถือเป็นความก้าวหน้า แต่ SCB EIC หน่วยงานวิจัยของธนาคารไทยพาณิชย์มองว่า ในระดับโลก ไทยเพียงแค่ “กลับเข้าสู่ มาตรฐานสากล” เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น, สหภาพยุโรป และเวียดนาม ที่ได้ประกาศเป้าหมาย Net zero 2050 ไปก่อนแล้ว การจะทำให้นโยบายนี้สำเร็จจะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง ภาคเอกชนจะไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างลำพังได้ แต่ต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ
SCB เน้นเอกชนที่ปรับตัวจะได้เปรียบ
SCB EIC มองว่านโยบาย Net zero 2050 จะทำให้อุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีแนวโน้มเติบโต จากความต้องการใช้สินค้าและบริการที่จะเพิ่มขึ้น ตัวอย่างอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้แก่
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่ อุปทานของพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด เช่น โรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แผงโซลาร์
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อาทิ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของรถไฟฟ้า เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ สถานีชาร์จ
- กลุ่มอุตสาหกรรมจัดการของเสีย อาทิ ธุรกิจ Recycle ธุรกิจจัดการขยะและน้ำเสีย
- กลุ่มอุตสาหกรรม วัสดุฐานชีวภาพ เช่น พลาสติกชีวภาพ
- กลุ่มอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ เช่น ไฮโดเจน เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) และ
- กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS)
กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย New S-Curve ที่รัฐบาลไทยกำลังให้การส่งเสริมอยู่แล้ว ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและผลิตรถยนต์ ไฟฟ้าจะได้รับยกเว้นภาษีนิติบุคคลเป็นระยะเวลา 8 ปี หรือผู้ซื้อรถไฟฟ้าจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 50,000 – 100,000 บาท เป็นต้น
อุตสาหกรรมปล่อยมลพิษเยอะ
ในทางตรงกันข้าม อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง จะต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ให้เปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเร็วขึ้นกว่าเดิม 15 ปี
มาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐจะเร่งทยอยออกมา เช่น การตั้งเป้าหมายรับซื้อพลังงานหมุนเวียน การเก็บภาษีคาร์บอน และการบังคับใช้ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System: ETS) จะสร้างแรงกดดันให้อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษสูงจะยังสามารถเติบโตต่อได้ หากสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางในการมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่า อุตสาหกรรมเหล่านี้ได้แก่
- อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
- โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
- เคมีภัณฑ์
- วัสดุก่อสร้าง (เหล็ก ซีเมนต์)
- อะลูมิเนียม
- ขนส่ง และรถยนต์สันดาปภายใน (รถน้ำมัน) เป็นต้น
ปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ต่าง ๆ ในไทยได้มีความ พยายามในการปรับตัวบ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น บริษัท Gulf Development ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ในไทย มีการตั้งเป้าบรรลุ Net Zero 2050 และกลุ่ม ปตท. ที่มีการประกาศเป้าหมาย Net Zero 2050 เช่นเดียวกัน ทั้งสองบริษัทใหญ่มีแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและเริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว ดังนั้นโจทย์ต่อไปคือการเร่งผลักดันให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กต้อง ปรับตัวเพื่อเดินหน้าเข้าสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้นพร้อมกัน
แนวทางของภาคเอกชน
แรงกดดันจากทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สาหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นได้ผ่านการดำเนินการ 5 ขั้นตอน ดังนี้
- ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ขั้นตอนนี้จะทำให้ผู้ประกอบการทราบว่าจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมไหนในการดำเนินธุรกิจ
- ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติหรือมาตรฐานของอุตสาหกรรม โดยมาตรฐาน SBTi (Science Based Targets initatives) เป็นมาตรฐานการตั้งเป้าหมาย Net Zero ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในระดับสากล
- ค้นหาเทคโนโลยีและกลยุทธ์ที่จะช่วยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยต้องประเมินความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้
- ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการสร้างกลไกในองค์กรที่จะช่วยให้การดำเนินการตามแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบรรลุผล เช่น การกำหนดค่าตอบแทนของผู้บริหารให้ยึดโยงกับผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร
- ติดตาม ประเมินผลลรายงานผลต่อสาธารณะ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ทราบถึงความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง
รัฐต้องช่วย
ภาครัฐเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันนโยบาย Net Zero 2050 ให้สำเร็จ รัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมเพื่อช่วยผลักดันให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนให้ปรับพฤติกรรมสู่เส้นทางการลดคาร์บอน
มาตราการสนับสนุนสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ออกมาตราการสร้างแรงจูงใจสำหรับผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีความพร้อมด้านทรัพยากรแต่ขาดแรงจูงใจในการปรับตัว อาจจะเป็นการเพิ่มเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การลดรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล หรือการมอบสิทธิประโยชน์ด้านภาษีให้กับอุตสาหกรรมที่หันมาใช้พลังงานสะอาด
ส่วนที่สอง ออกมาตราการช่วยเหลือผู้ประกอบการหรือผู้บริโภคที่ขาดทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการปรับพฤติกรรม เช่นการให้ความรู้ การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการที่ขาดเงินลงทุน หรือการสนับสนุนเงินทุนต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้นำไปปรับปรุงบ้านพักให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้น
กสิกรวิเคราะห์ ไทยต้องลดการปล่อยก๊าซ 10% ต่อปี
ทางหน่วยงายวิจัยของธนาคารกสิกร KResearch ชี้ให้เห็นว่าถ้าไทยจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 ไทยต้องลดการปล่อยคาร์บอนประมาณ 10% ต่อปี โดยภาคอุตสาหกรรมเป็นภาคที่มีการปล่อยคาร์บอนมากที่สุดในประเทศคิดเป็น 24.2% หรืออยู่ที่ 59.2 ล้านตันคาร์บอน ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะผู้ผลิตซีเมนต์ สารเคมี สารทำความเย็น และโลหะ จะถูกกดดันให้เร่งปรับตัว
แนวทางปรับตัวสำหรับอุตสาหกรรมดังกล่าว เช่น เร่งมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนที่ทำได้ทันที ลงทุนในเทคโนโลยีเชิงลึก และเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว
ทั้งนี้ภาครัฐควรมีภาพและแผนการในการไปสู่ Net Zero 2050 ที่ชัดเจน เพื่อเป็นตัวช่วยกำกับทิศทางให้ภาคเอกชนได้ดำเนินการตามได้ดี และควรแยกมาตราการความช่วยเหลือให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นมาตราการและข้อบังคับใช้สำหรับโรงงานและอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูงว่าจะทำอย่างไร ในส่วนขององค์กรขนาดเล็กหรือผู้ประกอบการรายย่อยที่อาจขาดทรัพยากรทั้งด้านการเงินและความรู้ในการปรับตัวว่าจะทำอย่างไร
ฉะนั้นแล้วภาครัฐควรให้ความสำคัญต่อความต้องการที่แท้จริงสำหรับแต่ละภาคส่วน องค์กรขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรที่พร้อมอาจจะเข้ามาช่วยองค์กรอื่นๆ ในการปรับตัวและแบ่งปันความรู้เพื่อให้ประเทศก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
ที่มา:
- https://www.scbeic.com/th/detail/file/product/9917/hbmd7rzdca/Flash-Net-zero-2050-20251001.pdf
- https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/Net-Zero-SBU419-FB-30-09-25.aspx
- Thailand Country and Development Report
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: