“แม่น้ำกกเป็นชีวิตของคนเชียงราย ไม่เคยคิดว่าจะถึงวันที่เราต้องเปลี่ยนแหล่งน้ำดิบ เพราะแม่น้ำเส้นนี้อยู่มาก่อนเราจะเกิด แต่วันนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่เราต้องระวัง”
คำพูดของ “รัตติกร แสงสุวรรณ” เจ้าของร้านอาหารในเขตเทศบาลนครเชียงราย สะท้อนความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคเหนือแห่งนี้ เมื่อน้ำประปาที่ผลิตจากแม่น้ำกก ซึ่งเคยเป็นแหล่งน้ำสะอาดมายาวนาน กลับกลายเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่กล้าดื่ม ไม่กล้าใช้ และต้องหันไปพึ่งพาน้ำซื้อทั้งหมด
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่สะสมมาจากการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู ที่ตรวจพบในแม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง แม้น้ำประปาที่ผ่านกระบวนการบำบัดแล้วค่าที่ตรวจพบจะไม่เกินมาตรฐานที่กรมอนามัยกำหนด แต่ความไว้วางใจของประชาชนกว่า 1.2 แสนคนที่พึ่งพาน้ำประปาจากแหล่งน้ำนี้ได้สูญเสียไปแล้ว
วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้จบแค่ที่ปัญหาคุณภาพน้ำ แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงความมั่นคงของภูมิภาค ห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญระดับโลก และสิทธิขั้นพื้นฐานของชุมชนในการเข้าถึงน้ำสะอาด ที่กำลังถูกคุกคามจากกิจกรรมเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน

Thai PBS Policy Watch พาลงพื้นที่เจาะลึกสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของชาวเชียงราย กับแผนการย้ายแหล่งน้ำดิบผลิตน้ำประปาครั้งประวัติศาสตร์ของเมืองที่กำลังดำเนินการ และความซับซ้อนของปัญหาที่ไม่ได้มีเพียงแม่น้ำกกแห่งเดียว แต่กำลังขยายวงกว้างไปตามแนวชายแดนไทย-ลาว-เมียนมา
เมื่อน้ำประปาหายไปจากโต๊ะอาหาร
ในครัวเรือนของ “รัตติกร แสงสุวรรณ” น้ำประปาที่เคยใช้ดื่มและทำอาหารหายไปแล้วกว่าครึ่งปี เปลี่ยนมาเป็นถังน้ำซื้อที่ต้องสั่งเข้ามาสัปดาห์ละสองครั้ง แทนที่จะเป็นสัปดาห์ละหนึ่งครั้งเหมือนเดิม
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่มีข่าวการตรวจพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุปลาในแม่น้ำป่วยเป็นตุ่ม สัญญาณเตือนภัยนั้นชัดเจนเกินกว่าจะเพิกเฉย
รัตติกรเล่าว่า ตอนแรกครอบครัวของเธอยังพยายามใช้น้ำประปาโดยใช้เครืองกรองน้ำเอง แต่กลิ่นคลอรีนที่แรงผิดปกติทำให้หยุดใช้ในที่สุด บางครั้งแม้จะต้มน้ำแล้ว กลิ่นก็ยังไม่หาย ยิ่งในฐานะเจ้าของร้านอาหาร เธอไม่กล้าเสี่ยงใช้น้ำประปาเลย ทั้งสำหรับลูกค้าและการประกอบอาหาร
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเดียว เพราะผิวหนังของเธอเริ่มเกิดผื่นขึ้นตามข้อพับหลังอาบน้ำประปา ตอนแรกคิดว่าแพ้อากาศ แต่เมื่อไปพบแพทย์ ก็ได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้น้ำประปาโดยตรง เธอต้องเปลี่ยนมาเก็บน้ำไว้ในถังให้ตกตะกอนก่อนอาบ อาการจึงค่อย ๆ ดีขึ้น
เรื่องราวของรัตติกรไม่ใช่กรณีเดียว ในชุมชนของเธอ แทบไม่มีครัวเรือนใดกล้าใช้น้ำประปาดื่มกินอีกต่อไป ทุกบ้านต้องพึ่งพาน้ำซื้อ 100% สำหรับการดื่มและทำอาหาร
แม้การประปาส่วนภูมิภาคจะยืนยันว่าน้ำที่ผ่านการบำบัดมีคุณภาพและอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย แต่กลุ่มชาวเชียงรายที่ติดตามข้อมูลตรวจสอบน้ำกก กลับพบว่าค่าปนเปื้อนในแต่ละจุดยังเกินมาตรฐาน
“ผลตรวจแต่ละครั้งยังเกินมาตรฐานทุกเดือน เราเลยไม่มั่นใจเลยว่าประปาซึ่งผลิตจากแม่น้ำกก จะปลอดภัยจริงหรือไม่” รัตติกร กล่าว

ชีวิตที่หลีกเลี่ยงน้ำประปาไม่ได้
ขณะที่ “มธุรส เปล่งใส” ชาวบ้านในเขตตำบลรอบเวียง อ.เมืองเชียงราย เผชิญกับความจริงที่ว่า น้ำประปายังคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวัน
ครอบครัวของเธอหยุดใช้น้ำประปาดื่มมาหลายเดือนแล้ว แต่ยังคงต้องใช้สำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ทั้งการล้างหน้า แปรงฟัน รดน้ำต้นไม้ และให้น้ำสัตว์เลี้ยง เพราะในอำเภอเมืองเชียงราย คนส่วนใหญ่ไม่มีบ่อบาดาล ทุกคนต้องพึ่งพาน้ำประปาแต่เพียงแหล่งเดียว
แม้จะไม่มั่นใจในคุณภาพน้ำ แต่คนในอำเภอเมืองเชียงรายแทบไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะไม่มั่นใจก็ต้องอาบ ต้องซัก ต้องใช้ เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความกังวลของมธุรสไม่ได้จำกัดแค่ในปัจจุบัน แต่ยังขยายไปถึงผลกระทบระยะยาว
“เรารู้ว่าเขาพยายามชี้แจง มีคนออกมาชิมน้ำ โชว์ล้างหน้า แต่ไม่มีผลวิจัยยืนยันเลยว่า ถ้าเราดื่มน้ำแบบนี้ไป 10 ปี 20 ปี จะไม่เป็นมะเร็ง หรือไม่มีผลต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงกับพืชผักของเรา” มธุรส กล่าว
เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องโลหะหนักอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาที่สะสมมานาน ถ้าต้นน้ำมีปัญหา เราในปลายน้ำก็ต้องรับกรรม การย้ายแหล่งน้ำจึงเป็นทางออกเดียวที่พอจะช่วยได้
เธอสะท้อนความรู้สึกส่วนตัวว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเชียงรายซึ่งเคยเป็นเมืองน้ำสะอาดจะมาถึงวันที่ประชาชนต้องกลัวน้ำประปาในบ้านตัวเอง ตั้งแต่เด็กเธอกินน้ำกก เล่นน้ำกก มันคือเส้นเลือดใหญ่ของชีวิต แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ต้องระวัง

แผนย้ายแหล่งน้ำดิบผลิตประปา หนีน้ำกกปนเปื้อน
ท่ามกลางความวิตกกังวลของประชาชน การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงรายได้เปิดเผยแผนการย้ายแหล่งน้ำดิบอย่างเป็นทางการ
” อภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์” ผู้จัดการ กปภ.สาขาเชียงราย อธิบายว่า แผนดังกล่าวมีที่มาจากการตรวจพบสารหนูในแม่น้ำกกเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานตามประกาศกรมอนามัย แต่ก็สร้างความไม่สบายใจแก่ประชาชนในพื้นที่เป็นวงกว้าง
หน่วยงานตระหนักดีว่า แม้กระบวนการผลิตน้ำประปาจะยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานปลอดภัย แต่หน้าที่หลักของ กปภ.คือการผลิตน้ำที่สะอาดและปลอดภัยต่อการบริโภค การปรับปรุงกระบวนการผลิตและการวางแผนย้ายแหล่งน้ำดิบจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
ในระยะเฉพาะหน้า กปภ.ได้เพิ่มขั้นตอนพรีคลอรีน ซึ่งเป็นกระบวนการเติมคลอรีนก่อนการตกตะกอนเพื่อช่วยแยกโลหะหนักออกจากน้ำ นอกจากนี้ยังมีการใช้สารเคมีเพิ่มเติมสองชนิดคือโพลีอะลูมิเนียมคลอไรด์และโซเดียมไฮดรอกไซด์ เพื่อเร่งการตกตะกอนของสารหนูที่อยู่ในรูปของตะกอนดิน
กระบวนการปรับปรุงนี้ทำให้ค่าความขุ่นของน้ำประปาลดลงจาก 180 NTU (เคยสูงสุด 10,000 NTU ช่วงน้ำท่วม) เหลือไม่เกิน 1 NTU หลังผ่านการกรอง ซึ่งดีกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้
สำหรับแผนระยะยาว กปภ.วางแผนย้ายแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปยังแม่น้ำลาว โดยตั้งจุดผลิตที่บริเวณฝายแม่ลาว และส่งน้ำเข้ามาในเขตเมืองเชียงรายซึ่งอยู่ห่างประมาณ 34 กิโลเมตร โครงการนี้จะช่วยขยายพื้นที่ให้บริการน้ำประปาไปยังชุมชนที่เคยอยู่นอกเขตบริการ และรองรับจำนวนผู้ใช้น้ำที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 41,539 ครัวเรือนในปี 2568 เป็น 66,639 ครัวเรือนในปี 2589
งบประมาณ 2,176 ล้าน คาดเริ่มปี 2571
แม้แผนจะชัดเจน แต่กระบวนการดำเนินการกลับต้องใช้เวลานาน โครงการมีวงเงินงบประมาณรวม 2,176 ล้านบาท คาดว่าจะเสนอในปีงบประมาณ 2571 และหากผ่านการพิจารณาก็จะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2571-2572
“อภิศักดิ์” อธิบายเหตุผลของความล่าช้าว่า ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณางบปี 2570 ทำให้ไม่สามารถบรรจุโครงการในปีนี้ได้ ต้องเสนอในปี 2571 ซึ่งเป็นไปตามระบบราชการ ไม่ใช่ความล่าช้าของหน่วยงาน
ในระหว่างที่รอแผนระยะยาว กปภ.ได้รับอนุมัติงบประมาณ 5 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงและติดตั้งระบบจ่ายสารเคมีใหม่ที่สถานีผลิตน้ำวังคำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมคุณภาพน้ำ
นอกจากแผนสำหรับเมืองเชียงรายแล้ว อำเภอแม่สายก็มีแผนปรับเปลี่ยนแหล่งน้ำเช่นกัน โดยจะยกเลิกการใช้น้ำจากแม่น้ำสายซึ่งได้รับผลกระทบจากเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ และหันไปใช้น้ำจากแม่น้ำโขงแทน โดยมีจุดผลิตที่อำเภอเชียงแสน

ภาคปชช.จี้รัฐของบฯกลาง ย้ายแหล่งน้ำดิบ อย่ารอจนสายเกินไป
“สืบสกุล กิจนุกร “อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสนอให้รัฐบาลใช้งบกลางเพื่อเร่งดำเนินการโครงการย้ายแหล่งน้ำดิบทันที โดยให้เหตุผลว่า ผลตรวจจากทั้ง กปภ.และห้องแล็บอิสระต่างพบสารโลหะหนักและสารเคมีตกค้าง แม้ไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ถือเป็นสัญญาณความเสี่ยงต่อสุขภาพประชาชนกว่า 1.2 แสนคนในเขตเทศบาลนครเชียงราย
“มันไม่ควรมีเลยครับ ต่อให้ไม่เกินมาตรฐานก็ตาม เพราะเมื่อมีการบริโภคทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการดื่ม ทำอาหาร หรือล้างของกินของใช้ สารเหล่านี้ย่อมสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรารู้ว่าในพื้นที่ต้นน้ำกกมีเหมืองแร่หายากที่มีกรรมภาพรังสี แต่ยังไม่มีหน่วยงานไหนลงไปตรวจสอบอย่างจริงจัง” สืบสกุลกล่าว
เขามองว่า การรอถึงปี 2571 นั้นนานเกินไป โดยเฉพาะเมื่อต้นทุนการผลิตน้ำประปาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการใช้สารเคมีและกระบวนการบำบัดที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อผู้บริโภคได้เช่นกัน
“งบพันล้านซื้อความปลอดภัยให้คนทั้งจังหวัดได้ 100 ปี มันคุ้มค่ามากกว่าการรอให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา” เขากล่าว
สืบสกุลย้ำว่า การย้ายแหล่งน้ำไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงน้ำสะอาด ปัญหานี้กระทบโดยตรงต่อสิทธิด้านสุขภาพและสิทธิชุมชน เพราะชาวบ้านในลุ่มน้ำไม่เพียงสูญเสียแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค แต่ยังถูกตัดขาดจากวิถีชีวิตที่พึ่งพาแม่น้ำ เช่น การประมง การท่องเที่ยว และประเพณีท้องถิ่น

“มิติภูมิรัฐศาสตร์” เมื่อปัญหาไม่ได้จบแค่แม่น้ำกก
ปัญหาของแม่น้ำกกไม่ใช่กรณีเดียวในภูมิภาค ดร.สืบสกุลเชื่อมโยงปัญหานี้กับแนวโน้มที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือด้านแร่สำคัญระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
เขาเตือนว่าข้อตกลงลักษณะนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพและสิทธิชุมชน เพราะจะส่งเสริมให้เกิดการสำรวจและทำเหมืองมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีแหล่งแร่หายาก แม่น้ำสาละวินก็เริ่มมีการปนเปื้อนสารโลหะหนักจากฝั่งเมียนมาแล้ว และแนวโน้มแบบเดียวกันกำลังเกิดขึ้นตลอดแนวชายแดนตั้งแต่เชียงรายถึงระนอง
ที่น่าเป็นห่วงคือ กรมควบคุมมลพิษเตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบแม่น้ำกระบุรี จังหวัดระนอง หลังพบสัญญาณปนเปื้อน ส่วนแม่น้ำโขงเองก็มีรายงานจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงว่าพบโลหะหนักเพิ่มขึ้นในช่วงแขวงเกาะแก้ว สปป.ลาว ซึ่งเป็นต้นน้ำฝั่งตรงข้ามเชียงราย
“ข้อมูลจากศูนย์ Stimson Center ชี้ว่าลาวมีการทำเหมืองแร่ตลอดประเทศ และทั้งหมดคือน้ำต้นทางของแม่น้ำโขงที่ไหลลงสู่อีสานของไทย นี่คือเหตุผลที่เราต้องเฝ้าระวัง เพราะมันเป็นห่วงโซ่เดียวกันของระบบนิเวศน้ำในภูมิภาค” ดร.สืบสกุลกล่าว
เขาชี้ให้เห็นรูปแบบที่ซ้ำกันคือ เหมืองอยู่ฝั่งโน้น แต่ผลกระทบข้ามพรมแดนมาถึงฝั่งไทย ทั้งในแม่น้ำกก สาละวิน และกระบุรี โดยเจ้าของเหมืองส่วนใหญ่เป็นทุนจากจีน ตั้งแต่ขุด ผลิต ไปจนถึงรับซื้อ
ปัญหานี้ไม่ได้เป็นเพียงประเด็นสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น แต่เกี่ยวพันกับภูมิรัฐศาสตร์และห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ ต้องการนำเข้าแร่สำคัญมากขึ้นจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจเพิ่มการทำเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมักละเลยมาตรฐานสิ่งแวดล้อม
ทำไมฝายดักตะกอนจึงไม่ใช่คำตอบ
ย้อนไม่นานนี้หน่วยงานรัฐเคยเสนอแนวทางหนึ่งคือการสร้าง “ฝายดักตะกอน” เพื่อกรองมลพิษในแม่น้ำกก แต่ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธโดยประชาชนส่วนใหญ่
สืบสกุลเปิดเผยว่า หลังจากกรมทรัพยากรน้ำจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นที่อำเภอแม่อายและตัวเมืองเชียงราย ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าเป็นโครงการที่ขาดการศึกษาความเป็นไปได้ และไม่ได้ตอบโจทย์การแก้ปัญหาที่แท้จริง
“โครงการฝายดักตะกอนเป็นแนวคิดของรัฐบาลชุดก่อน ที่พยายามจะเร่งแสดงผลงาน แต่ไม่มีฐานข้อมูลวิจัยรองรับ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม วิศวกรรม และผลกระทบต่อระบบน้ำ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องยุติไป” เขากล่าว
การปฏิเสธข้อเสนอนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนต้องการแนวทางแก้ไขที่ตรงจุดและมีการศึกษาอย่างรอบด้าน ไม่ใช่โครงการเพื่อแสดงผลงานทางการเมืองเท่านั้น

ความซับซ้อนของการแก้ปัญหาระดับนโยบาย
แม้การย้ายแหล่งน้ำดิบจะเป็นทางออกสำหรับประชาชนในระยะสั้น แต่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุยังคงเป็นความท้าทายใหญ่
สืบสกุลระบุว่า หลายกรรมาธิการทั้งฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเริ่มศึกษาและจัดทำรายงานเสนอรัฐบาล เพื่อให้เกิดการแก้ไขตั้งแต่ต้นเหตุ นั่นคือการเจรจาระหว่างรัฐไทยกับเมียนมา จีน และกลุ่มกองกำลังท้องถิ่นในพื้นที่ทำเหมือง
กระบวนการนี้ซับซ้อนและต้องใช้เวลา เพราะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และอำนาจของกลุ่มต่าง ๆ ในพื้นที่ชายแดน
“แม้จะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา แต่ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถรอได้ เพราะผลกระทบเกิดขึ้นทุกวัน สิ่งที่ทำได้ทันทีคือการย้ายแหล่งน้ำดิบ เพื่อหยุดความเสี่ยงที่กระทบต่อชีวิตผู้คนก่อน” สืบสกุล ย้ำ
ความหวังและความเจ็บปวดของคนเชียงราย
ท่ามกลางความไม่แน่นอนและการรอคอยที่ยาวนาน ประชาชนเชียงรายยังคงมีความหวังว่าสายน้ำจะฟื้นคืนได้ “มธุรส เปล่งใส” กล่าวว่า “เรายังมีหวัง ถ้าต้นน้ำฟื้นได้ ปลายน้ำก็จะดีขึ้น วันหนึ่งน้ำกกอาจกลับมาใสเหมือนเดิม แต่ต้องเริ่มจากการหยุดทำร้ายมันก่อน”
เธอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาจัดการอย่างจริงจังกับต้นตอของปัญหาการปนเปื้อน “ถ้ามีใครสักคนปล่อยสารพิษลงต้นน้ำ นั่นมันคือการฆ่าคนทั้งลุ่มน้ำ คุณต้องไปจัดการ ไม่ว่าจะรัฐบาลไหนก็ต้องพิทักษ์คนในประเทศก่อน เงินทองยังไม่สำคัญเท่าชีวิตคน”
สำหรับกรณีเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน มธุรสมองว่าเป็นสาเหตุหลักของการปนเปื้อน และไม่ควรปล่อยให้ดำเนินต่อ “ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาไม่ทำกัน เพราะกระบวนการมันก่อสารพิษปนเปื้อน ประเทศเราและเพื่อนบ้านกลับยอมเพราะเห็นมูลค่าเงินมากกว่าชีวิต เราอยากให้หยุดก่อนที่จะสายเกินไป”
ขณะที่รัตติกรมองว่า สาเหตุของปัญหาน่าจะมาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำ ซึ่งทำให้น้ำเน่าเสียและปนเปื้อน “ถ้าไม่จัดการต้นทาง ปัญหาก็ไม่มีวันจบ การฟื้นฟูแม่น้ำไม่น่าจะทำได้ใน 1-2 ปี อย่างน้อยต้อง 10 ปีขึ้นไปกว่าน้ำจะกลับมาสะอาด”
ข้อเสนอของภาครัฐที่กำลังพิจารณาย้ายแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปยังเขื่อนแม่สวยหรือแม่น้ำแม่ลาว “ถ้าย้ายไปแหล่งอื่นจะมั่นใจขึ้นมาก อย่างแม่น้ำแม่ลาวไม่ได้รับน้ำจากฝั่งพม่าเหมือนแม่น้ำกก คนเชียงรายส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย เพราะแม่น้ำกกตอนนี้น่าจะฟื้นยากในระยะสั้น”
ความท้าทายระหว่างมาตรฐานกับความเชื่อมั่น
“อภิศักดิ์ ” ในฐานะผู้จัดการ กปภ.สาขาเชียงราย เปิดใจถึงความท้าทายที่หน่วยงานเผชิญอยู่ “เหตุผลสำคัญคือประชาชนไม่ยอมรับแหล่งน้ำจากแม่น้ำกก แม้กระบวนการผลิตของเราจะควบคุมคุณภาพได้ แต่เมื่อคนในพื้นที่รู้สึกไม่มั่นใจ กปภ.ก็ต้องปรับตัวตามข้อเรียกร้องนั้น เราไม่ได้ย้ายเพราะผลิตไม่ได้ แต่เพราะอยากให้ประชาชนมั่นใจที่สุด”
เขา ยืนยันว่าระบบผลิตน้ำประปาในปัจจุบันสามารถควบคุมคุณภาพน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยได้อย่างต่อเนื่อง ค่าการตรวจสารหนูอยู่ที่น้อยกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร จากมาตรฐานกรมอนามัยที่กำหนดไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร
สารเคมีทั้งหมดที่ใช้ในกระบวนการผลิตเป็นสารปรับปรุงคุณภาพน้ำที่ปลอดภัยและอยู่ในรายการที่อนุญาตให้ใช้ในการผลิตน้ำประปา การผลิตอยู่ภายใต้การควบคุมของห้องแล็บ และผลตรวจคุณภาพน้ำต้องส่งให้กรมอนามัยตรวจสอบเป็นระยะ
อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าข้อมูลทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การย้ายแหล่งน้ำจึงเป็นทั้งความจำเป็นทางเทคนิคและทางสังคม แต่ในฐานะคนเชียงราย นายอภิศักดิ์กล่าวว่าส่วนตัวเขายังเชื่อว่ากระบวนการผลิตของ กปภ.สามารถรับมือกับคุณภาพน้ำจากแม่น้ำกกได้ แต่การฟื้นฟูแม่น้ำให้กลับมาสะอาดดังเดิมอาจต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ
“ผมคิดว่าแม่น้ำกกยังมีโอกาสกลับมามีชีวิตได้ ถ้าในอนาคตรัฐบาลไทยและประเทศเพื่อนบ้านสามารถตกลงเรื่องมาตรฐานการทำเหมืองได้จริง และมีระบบบำบัดก่อนปล่อยน้ำลงสู่ลำน้ำ แต่ตอนนี้ เรายังไม่มีข้อมูลว่าฝั่งโน้นจัดการอย่างไร จึงต้องเตรียมทางเลือกไว้ก่อน” อภิศักดิ์ กล่าว
บทเรียนน้ำกก เมื่อสิทธิน้ำสะอาดถูกคุกคาม
แม่น้ำกกปนเปื้อน ไม่ใช่เพียงปัญหาท้องถิ่น แต่เป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบนิเวศน้ำข้ามพรมแดน ความท้าทายของการบังคับใช้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาค และความสำคัญของการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงน้ำสะอาด
ใน “มิติสิทธิมนุษยชน” การเข้าถึงน้ำสะอาดเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ชาวเชียงรายกำลังถูกกีดกันจากสิทธินี้โดยปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ขณะที่ “มิติความมั่นคงระหว่างประเทศ” มลพิษข้ามพรมแดนจากกิจกรรมเหมืองในประเทศเพื่อนบ้านเป็นประเด็นที่ต้องการการเจรจาและความร่วมมือในระดับทวิภาคีและพหุภาคี
แต่ในระยะเฉพาะหน้า “สืบสกุล”กล่าวไว้ว่า “ถ้าการประปาทำสำเร็จ จะเป็นสัญญาณสำคัญให้หน่วยงานอื่น ๆ มองเห็นทางออก และเริ่มคิดถึงแนวทางรับมือกับมลพิษข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง นี่คือการปกป้องสิทธิในการมีชีวิตและน้ำสะอาดของคนเชียงรายอย่างแท้จริง”
โครงการย้ายแหล่งน้ำดิบจึงไม่ใช่เพียงโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของรัฐในการปกป้องสิทธิของประชาชน และเป็นก้าวแรกของการรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนที่กำลังคุกคามภูมิภาค
แม่น้ำกกอาจต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับมาสะอาด แต่ความหวังของชาวเชียงรายยังคงอยู่ อย่างที่มธุรสบอกว่า “เรายังมีหวัง ถ้าต้นน้ำฟื้นได้ ปลายน้ำก็จะดีขึ้น วันหนึ่งน้ำกกอาจกลับมาใสเหมือนเดิม แต่ต้องเริ่มจากการหยุดทำร้ายมันก่อน”
และนั่นคือบทเรียนสำคัญที่สุดจากวิกฤตครั้งนี้ การพัฒนาที่แท้จริงไม่ได้วัดจากมูลค่าเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากความสามารถในการปกป้องสิทธิพื้นฐานของประชาชน รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงน้ำสะอาด สิทธิในสุขภาพที่ดี และสิทธิในการมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
สายน้ำแม่กกกำลังรอการกลับคืน แต่กว่าจะถึงวันนั้น คนเชียงรายไม่รอแล้ว ต้องการย้ายแหล่งน้ำดิบผลิตน้ำประปาหนีจากแม่น้ำกกที่ปนเปื้อน ขณะเดียวกันก็ยังมีแม่น้ำสายอื่นๆ ที่เสี่ยงเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกันกับแม่น้ำกก ที่เกิดจากการทำเหมืองแร่หายากในประเทศเพื่อนบ้าน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
- อะไรคือเบื้องหลัง MOU แร่หายาก ไทย -สหรัฐ?
- การเมืองไม่นิ่ง ไร้เจ้าภาพ แก้พิษน้ำกกปนเปื้อน
- จากเหมืองอัคราถึงแม่น้ำกก จะรับมืออย่างไร เมื่อพบสารหนูในเด็ก




