เมื่อความล้มเหลวเชิงระบบกลายเป็นหายนะของผู้คน จากวิกฤตน้ำท่วมในปี 2568 เริ่มตั้งแต่หลายพื้นที่ในอยุธยา ไปจนถึงหาดใหญ่ ไม่ได้เป็นเพียง”ภัยธรรมชาติ”ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นผลมาจาก “ความล้มเหลวเชิงระบบ” ของการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศอย่างชัดเจน
จากความเสียหายและผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ สะท้อนให้เห็นว่ากลไกของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ไม่มีอาจรับมือกับ “ภัยพิบัติขนาดใหญ่”ได้
Thai PBS Policy Watch คุยกับ นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย ประธานแพทย์ชนบท ซึ่งขณะนี้กลายเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัย จากมหาอุทกภัยหาดใหญ่ และ ผศ.สิตางศุ์ พิลัยหล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ ซึ่งเผยให้เห็นภาพที่น่าวิตกของการจัดการภัยพิบัติที่ขาดการประสานงาน ขาดการเตรียมพร้อม และขาดผู้รับผิดชอบ หรือ ผู้ใช้อำนาจในแบบ “ซิงเกิล คอมมานด์” ในการสั่งการเหตุการณ์
หาดใหญ่เผชิญวิกฤตที่หนักที่สุดในรอบหลายปี
นายแพทย์สุภัทร บอกว่า สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ในครั้งนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี โรงพยาบาลสะบ้าย้อยที่อยู่ในอำเภอถัดไปที่ต้องส่งผู้ป่วยมาโรงพยาบาลศูนย์หาดใหญ่ ถูกตัดขาดจากเส้นทางคมนาคมทางบกทั้งหมด ทำให้การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยต้องพึ่งพาเฮลิคอปเตอร์เป็นหลัก โดบในช่วงเช้าวันที่ 25 พ.ย. มีการส่งผู้ป่วยวิกฤต 2 ราย ได้แก่ ผู้ป่วยหายใจล้มเหลวที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ขณะเดียวกันยังมีหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูง 3-4 ราย ที่รอความช่วยเหลือทางอากาศ
ระบบโรงพยาบาลในพื้นที่ประสบปัญหาหนัก โดยเฉพาะโรงพยาบาลหาดใหญ่ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสงขลา เครื่องปั่นไฟสำรองถูกน้ำท่วมทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ ระบบไฟฟ้าล่มทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อการให้บริการทางการแพทย์อย่างรุนแรง โรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่อย่างโรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ก็ประสบปัญหาเดียวกัน

default
ไฟฟ้าดับและสัญญาณอินเทอร์เน็ตล่มในวงกว้าง ทำให้การประสานงานเป็นไปอย่างยากลำบาก แม้แต่นายแพทย์สุภัทรเองก็ติดอยู่นอกเมืองเพราะน้ำท่วมเส้นทาง ครอบครัวของเขาต้องอพยพขึ้นชั้นสองของบ้าน และเขาต้องหาจุดชาร์จแบตเตอรีจากค่ายทหารเพื่อให้สามารถประสานงานช่วยเหลือต่อไป
หนึ่งในปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือระบบการอพยพที่ไม่ได้รับการวางแผนอย่างเหมาะสม นายแพทย์สุภัทรชี้ให้เห็นว่า จุดอพยพหลายแห่งที่ถูกกำหนดไว้กลับไม่เหมาะสมเมื่อระดับน้ำสูงขึ้น พื้นที่เหล่านั้นถูกน้ำล้อมจนไม่สามารถเข้าถึงทางรถยนต์ได้ ต้องพึ่งเรือทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนจำกัดอย่างมาก
ที่สำคัญกว่านั้นคือ การประกาศอพยพเกิดขึ้น หลังจากน้ำท่วมสูงแล้ว ประกอบกับไฟฟ้าดับและสัญญาณสื่อสารล่ม ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากไม่รู้ว่าจะอพยพไปที่ใดและไม่สามารถติดต่อประสานงานได้ นี่คือความล้มเหลวพื้นฐานของระบบเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ
ระบบการช่วยเหลือที่ล้มเหลว-ล่าช้า
ปัญหาหลักไม่ใช่การขาดแคลนกำลังคนหรือเพราะเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ประสบภัยเช่นกัน แต่อยู่ที่การไม่มีระบบที่แท้จริงในการรับมือ ตามหลักการบริหารสาธารณภัย หน่วยงานรัฐควรมีแผนเตรียมพร้อม วางโครงสร้างบูรณาการ และเมื่อเกิดเหตุให้ประกาศใช้งานทันที แต่ครั้งนี้พบว่า
การบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐยังไม่จริง-แม้จะมีความพยายามช่วยเหลือจากหลายภาคส่วน ทั้งอาสาสมัคร หน่วยกู้ภัย และกลุ่มจิตอาสา แต่ปัญหาคือการไม่มีระบบกลางเชื่อมโยง มีชุมชนหลายแห่งที่ติดอยู่ในน้ำขอความช่วยเหลือโดยไม่รู้ว่าต้องประสานใคร บางครั้งโทรมาหานายแพทย์สุภัทรโดยตรง ซึ่งเขาต้องกระจายต่อไปยังผู้เกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าความช่วยเหลือจะถึงมือชาวบ้านหรือไม่
การประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก – ถ้ามีการประเมินความรุนแรงอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก ควรมีการนำเรือจากหลายหน่วยงานเป็นร้อยลำเข้าพื้นที่ทันที รวมถึงเฮลิคอปเตอร์จากจังหวัดอื่น ไม่ใช่เพียงไม่กี่ลำที่มีอยู่ในพื้นที่สงขลา
ทรัพยากรไม่เพียงพอและมาช้า – เรือช่วยเหลือมีน้อยเกินไปอย่างชัดเจน ทีมกู้ภัยทางน้ำไม่เพียงพอและขาดความชำนาญในบางพื้นที่ การระดมทรัพยากรล่าช้าและกระจัดกระจาย
ไม่มีศูนย์กลางสั่งการที่ชัดเจน
นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดที่นายแพทย์สุภัทรเน้นย้ำ การช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมเป็นไปแบบอาสาสมัครและกลไกฉุกเฉินแบบกระจัดกระจาย โดยไม่มีศูนย์กลางที่ชัดเจน ทำให้เกิดความสับสนและความล่าช้าในการส่งอาหาร น้ำ และอพยพผู้ประสบภัย
มีข้อมูลการแจ้งเหตุรวบรวมมาแล้วมากกว่า 3,000 เคส แบ่งประเภท แบ่งพื้นที่ ส่งให้ทีมลงช่วยเหลือ แต่ปัญหาคือรถเข้าไม่ถึง ไปแล้วน้ำลึกกว่าที่คาด ติดต่อผู้ร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่ได้ ต้องการเรือแต่เรือมีน้อยมาก ทีมเรือที่มีก็อ่อนล้ามาก และมักไม่มีรายการปิดเคสกลับมา
บางชุมชนอาจมีหลายหน่วยงานส่งความช่วยเหลือซ้ำ บางจุดอาจไม่ได้รับอะไรเลย เพราะไม่มีระบบจัดการแบบเป็นลำดับขั้นตอน นี่คือความล้มเหลวพื้นฐานในการบริหารจัดการภัยพิบัติที่ทุกประเทศพัฒนาแล้วมีระบบรองรับ
นายแพทย์สุภัทรชี้ว่า รัฐควรบอกให้ประชาชนรู้ล่วงหน้าเลยว่า ถ้าเกิดเหตุรุนแรง จุดอพยพอยู่ตรงไหน จะไปอย่างไร ใช้อะไรขนย้าย แต่ครั้งนี้ไม่มีใครรู้ เรารู้แล้วว่าปลายเดือนพฤศจิกายนทุกปีมีโอกาสน้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ แต่ระบบราชการและการประสานงานยังไม่พร้อมเชิงระบบจริง

ข้อมูลพยากรณ์ฝนที่คลาดเคลื่อน
ขณะที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิตางศุ์ พิลัยหล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกกว่านั้น โดยเฉพาะในเรื่องข้อมูล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่คลาดเคลื่อนมาตั้งแต่ต้นฤดูฝน
กรมอุตุนิยมวิทยาประเมินฝนต่ำกว่าความเป็นจริงหลายครั้ง ตั้งแต่พายุวิภาที่คาดการณ์ต่ำกว่าจริงกว่า 100 มิลลิเมตร จนทำให้จังหวัดน่านเกิดความเสียหายหนัก ต่อเนื่องถึงช่วงพายุคัลแมกีที่ข้อมูลมาล่าช้าและไม่แม่นยำ
ความคลาดเคลื่อนของข้อมูลส่งผลให้หน่วยงานด้านน้ำไปเฝ้าผิดจุด เดิมคาดว่าน้ำจะลงเขื่อนสิริกิติ์ซึ่งมีความเสี่ยงสูง จึงเน้นการบริหารที่นั่น แต่ฝนกลับตกหนักที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งเขื่อนภูมิพล ทำให้ต้องเริ่มพร่องน้ำแบบกระชั้นชิด ทั้งที่ลุ่มภาคกลางมีน้ำเต็มอยู่แล้ว
ปัญหาคือ เขื่อนไม่สามารถพร่องน้ำได้รวดเร็วแบบเปิดทิ้งทีเดียว ต้องค่อยๆ ปรับในหลายวัน ถ้ารู้ช้าก็แก้ไม่ทัน นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อยุธยาประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก
ผู้บริหารเปลี่ยนกลางฤดูน้ำ กลไกสะดุดทันที
อีกปัญหาสำคัญที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิตางศุ์ ชี้ให้เห็นคือ การเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูงในช่วงเวลาวิกฤต ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภายใต้การนำของเลขาธิการ สุรสีห์ กิตติมณฑล มีการประชุมเตรียมความพร้อมและกำหนดนโยบายพร่องน้ำจากเขื่อนเพื่อรองรับฝนล่วงหน้า แม้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่ก็มีทิศทางชัดเจน
แต่เมื่อเลขาธิการเกษียณวันที่ 1 พฤศจิกายน ช่วงที่สถานการณ์เริ่มวิกฤต กลับเป็นช่วงรอยต่อที่ผู้นำใหม่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนภายในหลายหน่วยงาน ทำให้ช่วงเวลาที่ควรต้องตัดสินใจเชิงระบบ กลับเต็มไปด้วยความลังเลและต้องใช้เวลาเรียนรู้งาน
ผู้บริหารใหม่มาถึงตอนที่สถานการณ์หนักแล้ว อยุธยากำลังวิกฤต ในขณะที่ฝนยังไม่ยอมหยุดตามปกติของต้นเดือนพฤศจิกายน นี่คือตัวอย่างของการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ไม่คำนึงถึงความต่อเนื่องในการทำงาน
ลานีญา: สัญญาณเตือนที่ถูกเพิกเฉย
อาจเป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือ แม้จะรู้ว่าปีนี้เป็นปีลานินญ่า จึงประเมินได้แต่แรกว่าภาคใต้จะท่วมแน่ แต่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติกลับไม่เรียกประชุมประเมินสถานการณ์น้ำฝนล่วงหน้า ทั้งที่มีสัญญาณชัดเจนจากช่วงพายุคัลแมกีแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติกำลังอยู่ระหว่างเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรและตำแหน่งผู้บริหาร ขณะที่ข้อมูลน้ำฝนและน้ำท่าในพื้นที่ภาคใต้ก็มีไม่มากอยู่แล้ว ทำให้การบริหารยิ่งสะเปะสะปะ เจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยาเองก็มีการโยกย้าย ทำให้การให้ข้อมูลไม่ชัดเจน
หาดใหญ่ถูกน้ำหลากจากเส้นทางผิดปกติ
เหตุการณ์ที่หาดใหญ่เกิดขึ้นเป็นสองระลอก ระลอกแรกคือน้ำหลากจากคอหงส์ซึ่งเป็นเส้นทางที่ไม่ใช่ทางน้ำท่วมปกติ น้ำไหลเข้าตัวเมืองเร็วกว่าที่คาด เนื่องจากมาจากเส้นทางที่แทบไม่เคยเป็นต้นน้ำของเหตุการณ์รุนแรงมาก่อน แต่ไม่มีการประเมินไว้ล่วงหน้า
ระลอกที่สองคือน้ำหลากจากต้นน้ำสะเดาซึ่งเป็นเส้นน้ำปกติที่ควรถูกคาดการณ์ได้ แต่หลังระลอกแรกจบลง ก็ยังไม่มีการประเมินสถานการณ์ใหม่ ทั้งที่มีฝนตกหนักทางต้นน้ำสะเดา ผลคือระลอกที่สองหนักยิ่งกว่าเดิมทั้งปริมาณและความเร็ว ฝนตกในหลายพื้นที่ถึง 300-400 มิลลิเมตร
พระราชกำหนดฉุกเฉิน แต่ไร้ซิงเกิลคอมมานด์
อีกประเด็นที่น่าวิตกที่สุดคือ แม้รัฐบาลจะประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ที่ชัดเจน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิตางศุ์อธิบายว่า เมื่อคืนหลังนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ร้อยโทธรรมนัส พรหมเผ่า ดูแลสถานการณ์ ทุกคนคิดว่าจะมีการตั้งศูนย์บัญชาการที่ชัดเจน แต่พอช่วงบ่าย คณะรัฐมนตรีกลับมีมติให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาดูแลอีกที ทำให้ไม่รู้เลยว่าตกลงใครเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์กันแน่
หน้างานจึงกลับไปอยู่ในสภาวะสับสนเหมือนเดิม เพราะหน่วยงานไม่ทราบว่าจะต้องรับคำสั่งจากใคร ขณะที่การปฏิบัติงานไม่ต่อเนื่อง รัฐบาลตั้งแล้วตั้งอีก แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าซิงเกิลคอมมานด์ตัวจริงคือใคร
ฝั่งน้ำไร้ศูนย์บัญชาการตามกฎหมาย
ปัญหายิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อพิจารณาในส่วนของการบริหารจัดการน้ำ ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ ฝั่งน้ำต้องมีศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจน้ำ และต้องสามารถเรียกหน่วยงานด้านน้ำทั้งหมด เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา มาประเมินสถานการณ์ร่วมกัน แต่ปีนี้ไม่มีการตั้งศูนย์ส่วนหน้า ไม่มีศูนย์บัญชาการน้ำ ทั้งที่กฎหมายกำหนดให้มีอย่างชัดเจน
ผู้รับผิดชอบหลักในระดับประเทศควรเป็นรองนายกรัฐมนตรีโสภณ ซารัมย์ ซึ่งกำกับดูแลด้านน้ำ และเหนือขึ้นไปคือนายกรัฐมนตรี แต่จนถึงขณะนี้ไม่ปรากฏบทบาทการทำงาน
คำถามคือ ศูนย์บัญชาการฝั่งน้ำอยู่ที่ไหน และจะบูรณาการเข้ากับฝั่งกระทรวงมหาดไทยได้อย่างไร ถ้าท้ายที่สุดคนที่ควรเป็นแกนกลางกลับไม่ทำงาน
ความล้มเหลวของการประสานงาน
ก่อนหน้านี้ทหาร โดยเฉพาะทัพเรือภาค 2 เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ทั้งงานด้านข้อมูล การรับแจ้งเหตุ การสื่อสาร และการกระจายความช่วยเหลือ แต่ด้วยขีดความสามารถที่จำกัด ไม่สามารถรองรับภาระได้ทั้งหมด
การขาดซิงเกิลคอมมานด์ที่ชัดเจนส่งผลให้การทำงานของหน่วยงานต่างๆ ไม่สอดประสานกัน บางพื้นที่อาจได้รับความช่วยเหลือซ้ำซ้อน ขณะที่บางพื้นที่อาจถูกมองข้ามไป ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เสนอ 6 นโยบายต้องเร่งแก้ไข
จากการวิเคราะห์สถานการณ์ ชัดเจนว่าประเทศไทยต้องปฏิรูประบบบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างจริงจัง โดยมีข้อเสนอหลักดังนี้
- จัดตั้งศูนย์สั่งการกลาง 24 ชั่วโมง
ต้องมีศูนย์บัญชาการที่ชัดเจน มีผู้รับผิดชอบสูงสุดที่มีอำนาจเต็มในการสั่งการและประสานงานทุกหน่วยงาน ไม่ใช่การแต่งตั้งที่ซ้ำซ้อนและสับสน ศูนย์นี้ต้องทำงาน 24 ชั่วโมงตลอดช่วงวิกฤต มีระบบการรับแจ้งเหตุที่เป็นหนึ่งเดียว และสามารถติดตามสถานะการช่วยเหลือแต่ละเคสได้แบบเรียลไทม์
- จัดทำแผนผังชุมชนและระบบติดตามผู้ติดอยู่ในพื้นที่
ต้องมีฐานข้อมูลชุมชนที่ละเอียด แยกตามซอยหรือบ้านทีละจุด เพื่อให้สามารถติดตามทุกครัวเรือนได้อย่างเป็นระบบ แม้บางบ้านติดอยู่ชั้นสามหรือชั้นสี่อาจต้องรอน้ำลด 3-5 วัน แต่เราจะมีข้อมูลครบว่าแต่ละบ้านมีคนอยู่เท่าไหร่ มีอาหารเพียงพอหรือไม่ และต้องส่งความช่วยเหลือแบบไหน
- เตรียมทรัพยากรและอุปกรณ์เพียงพอ
ต้องมีการสำรองเรือ รถกู้ภัย อาหารสำรองในปริมาณที่เพียงพอต่อการรับมือสถานการณ์วิกฤต ไม่ใช่เพียงอุปกรณ์ที่มีอยู่ในพื้นที่ แต่ต้องมีแผนการระดมทรัพยากรจากจังหวัดใกล้เคียงหรือภูมิภาคอื่นอย่างรวดเร็ว
- สร้างความตระหนักล่วงหน้า
บ้านทุกหลังในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมควรทราบล่วงหน้าว่าถ้าเกิดเหตุรุนแรง จุดอพยพอยู่ตรงไหน จะไปอย่างไร ใช้อะไรขนย้าย ต้องมีการซ้อมอพยพเป็นประจำทุกปีก่อนฤดูฝน ไม่ใช่รอจนน้ำท่วมแล้วจึงมาประกาศอพยพ
- ปฏิรูประบบพยากรณ์และเตือนภัย
ข้อมูลคือหัวใจของการบริหารจัดการภัยพิบัติ ประเทศไทยต้องลงทุนปรับปรุงระบบพยากรณ์อากาศและน้ำให้มีความแม่นยำมากขึ้น
- เพิ่มความแม่นยำของการพยากรณ์ฝน
กรมอุตุนิยมวิทยาต้องได้รับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและบุคลากรเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ โดยเฉพาะในกรณีพายุและฝนตกหนัก ความคลาดเคลื่อน 100 มิลลิเมตรอาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างการเตรียมพร้อมที่ทันท่วงทีกับหายนะที่เกิดขึ้น
- พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า
ต้องมีระบบที่สามารถประเมินความเสี่ยงล่วงหน้าอย่างน้อย 3-7 วัน และสื่อสารไปยังพื้นที่เสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ช่องทางหลากหลาย ไม่ใช่เพียงอินเทอร์เน็ตที่อาจขาดหายในช่วงวิกฤต
- บูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน
ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นๆ ต้องถูกรวมเข้าด้วยกันและวิเคราะห์แบบองค์รวม ไม่ใช่แยกส่วนอย่างที่เป็นอยู่
- หลีกเลี่ยงการโยกย้ายผู้บริหารระหว่างช่วงวิกฤต
ควรมีนโยบายที่ชัดเจนว่าตำแหน่งผู้บริหารสำคัญในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการภัยพิบัติไม่ควรมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงฤดูฝน (พฤษภาคม-พฤศจิกายน) หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยน ควรมีระยะเวลาทับซ้อนอย่างน้อย 1-2 เดือนเพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์
- สร้างระบบการทำงานที่ไม่พึ่งพาบุคคล
ต้องมีคู่มือการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ระบบข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และทีมงานที่มีความพร้อมสูง เพื่อให้การเปลี่ยนผู้บริหารไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานมากเกินไป
- เสริมสร้างศักยภาพของทีมงาน
การฝึกอบรมและซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติควรเป็นกิจกรรมประจำ ไม่ใช่ทำเพียงครั้งเดียวแล้วเก็บไว้ในตู้ ทุกคนในทีมต้องรู้บทบาทหน้าที่ของตนและสามารถทำงานได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ
- ใช้ประโยชน์จากข้อมูลลานินญ่าและปรากฏการณ์ภูมิอากาศ
ปัญหาที่หาดใหญ่สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะมีข้อมูลว่าปีนี้เป็นปีลานินญ่าซึ่งหมายถึงฝนตกหนักในภาคใต้ แต่ไม่มีการนำข้อมูลนี้มาใช้วางแผนรับมืออย่างจริงจัง ประเทศไทยต้องจัดทำแผนรับมือเฉพาะสำหรับปีลานินญ่า
เมื่อรู้ว่าจะเป็นปีลานินญ่า ควรมีการประชุมวางแผนตั้งแต่ต้นปี กำหนดพื้นที่เสี่ยง จัดเตรียมทรัพยากร และเตรียมแผนอพยพล่วงหน้า ไม่ใช่รอจนฝนตกแล้วจึงมาตื่นตัว
ติดตามข้อมูลภูมิอากาศโลกอย่างใกล้ชิด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องติดตามข้อมูลจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกและศูนย์พยากรณ์อากาศนานาชาติอย่างสม่ำเสมอ และนำมาปรับใช้กับบริบทของไทย
พัฒนาโมเดลพยากรณ์เฉพาะภูมิภาค โดยภาคใต้มีลักษณะภูมิประเทศและรูปแบบฝนที่แตกต่างจากภาคอื่น ต้องมีการพัฒนาโมเดลพยากรณ์ที่เหมาะสมเฉพาะ โดยเฉพาะการคาดการณ์เส้นทางน้ำหลากที่อาจผิดปกติอย่างที่เกิดขึ้นที่หาดใหญ่
สี่จังหวัดชายแดนใต้กำลังเผชิญความเสี่ยงสูง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิตางศุ์เตือนว่า น้ำท่วมไม่ได้เกิดเฉพาะหาดใหญ่ จังหวัดสตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กำลังจะเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน เวลาที่เหลืออยู่น้อยมาก ประเทศต้องเรียนรู้จากกรณีหาดใหญ่ทันที
การสั่งอพยพตอนที่น้ำสูงถึงคอคือบทเรียนชัดมากว่ามันสายเกินไปแล้ว ดังนั้นทั้ง 4 จังหวัดต้องเตรียมพร้อมทันที อย่าให้เหตุการณ์ซ้ำรอยแบบหาดใหญ่
สิ่งที่ต้องทำในระยะสั้นทันที ประเมินสถานการณ์อย่างถูกต้อง โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและกรมอุตุนิยมวิทยาต้องประชุมประเมินสถานการณ์ร่วมกันทันที โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม โมเดลพยากรณ์ และประสบการณ์จากหาดใหญ่
เตรียมการอพยพล่วงหน้า ระบุพื้นที่เสี่ยงสูงและเริ่มการอพยพผู้ที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำทันที ไม่ใช่รอจนน้ำท่วมแล้วจึงสั่งอพยพ จุดอพยพต้องสูงพ้นน้ำและเข้าถึงได้ง่าย
ระดมทรัพยากร นำเรือ รถกู้ภัย เฮลิคอปเตอร์ และบุคลากรจากพื้นที่อื่นเข้ามาช่วยเหลือทันที ไม่ใช่รอจนสถานการณ์วิกฤตแล้วจึงขอความช่วยเหลือ
สื่อสารกับประชาชน ใช้ทุกช่องทางในการสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ทั้งวิทยุชุมชน หอกระจายข่าว แอปพลิเคชัน และเจ้าหน้าที่ประจำหมู่บ้าน ให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องทำอย่างไร และจะอพยพไปที่ใด
ตั้งศูนย์บัญชาการชัดเจน กำหนดผู้รับผิดชอบสูงสุดอย่างชัดเจน ไม่ใช่มีการแต่งตั้งซ้ำซ้อนจนทุกคนสับสน ศูนย์บัญชาการต้องมีอำนาจเต็มในการสั่งการทุกหน่วยงาน
ทบทวนกฎหมายและกลไกการบริหารจัดการภัยพิบัติ พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ อาจต้องได้รับการทบทวนให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องสายการบังคับบัญชา อำนาจหน้าที่ และกลไกการประสานงาน
ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ระบบระบายน้ำในเมืองใหญ่อย่างหาดใหญ่ต้องได้รับการปรับปรุง เขื่อนและอ่างเก็บน้ำต้องมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น คันกั้นน้ำและระบบปั๊มน้ำต้องมีประสิทธิภาพสูง
พัฒนาเทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น Big Data, AI, IoT และดาวเทียม ในการเฝ้าระวัง พยากรณ์ และจัดการภัยพิบัติ ระบบแจ้งเตือนต้องทันสมัยและเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องการความมุ่งมั่นและการตัดสินใจของผู้นำประเทศอย่างจริงจัง ต้องมีการกำหนดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน จัดสรรทรัพยากรอย่างเพียงพอ และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีเจตจำนงทางการเมืองในการปฏิรูประบบบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างจริงจัง
ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหลายแสนคนกำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่ใช่เพราะธรรมชาติโหดร้าย แต่เพราะระบบของรัฐล้มเหลว นี่คือบทเรียนที่ประเทศไทยต้องจดจำและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง มิฉะนั้น เราจะต้องเผชิญวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า และต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างไม่จำเป็นต่อไป
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง





