ปี 68 ถูกระบุว่าเป็นปีที่ ความเสี่ยงภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศสูงขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของฝนและมรสุมในภูมิภาคไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากภาวะโลกร้อนที่ได้ทะลุขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้ว
อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น ตั้งแต่ปี 67 และในปี 68 ได้การยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์และองค์กรอุตุนิยมโลก( WMO) ว่าโลกเข้าสู่ยุคที่ ภัยพิบัติสุดขั้ว (Extreme Climate Event) รุนแรงและถี่ขึ้น เช่น คลื่นความร้อน ไฟป่า น้ำท่วม ภัยแล้ง และปะการังฟอกขาว
สัญญาณเตือนเหล่านี้ กำลังบอกว่า โลกเข้าใกล้ “จุดพลิกผัน (Tipping Point)” ที่ผลกระทบจะรุนแรงจนยากจะย้อนกลับได้ แม้โลกจะหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้วก็ตาม
ความแปรปรวนของสภาพอากาศ ส่งผลโดยตรงกับ ภัยพิบัติในประเทศไทยในปี68 ที่หลายเหตุการณ์ภัยพิบัติมาจากภาวะโลกร้อน และความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ทั้งภาวะน้ำท่วม และแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ จนเรียกได้ว่า “ปี 68 เป็นปีแห่งภัยพิบัติสุดขั้ว”

1. แผ่นดินไหวเมียนมา “ตึกสตง.ถล่ม”
เหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่ใหญ่และรุนแรง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากเกิดขึ้น ในช่วงไตรมาสแรกของปี 68 ในวันที่ 28 มีนาคม คือ เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ขนาด 7.7 แมกนิจูด ที่ตอนกลางของเมียนมา บริเวณรอยเลื่อนสะกาย ใกล้เมืองมัณฑะเลย์
แรงสะเทือนของแผ่นดินไหว ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในเมียนมาหลายพันคน และรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้ทั่วไทย โดยมีอาคารสูงและโครงสร้างหลายแห่งสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและท่วมถึง 63 จังหวัด รวมถึงตึกสูงในกรุงเทพฯ
แม้ศูนย์กลางแผ่นดินไหวไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่รู้สึกได้กว้างขวางทั่วประเทศและสร้างผลกระทบมากที่สุดในรอบหลายสิบปี เพราะส่งผลให้อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง) ที่กำลังก่อสร้าง ถล่มลงมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนอย่างน้อย 95 คน
บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์ ครั้งนั้นทำให้เกิดการตรวจสอบปัญหาคอรัปชั่นนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายก่อสร้างอาคาร พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องทั้ง พ.ร.บ.วิศวกร พ.ศ. 2542 มาตรการการก่อสร้างอาคาร และ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
ขณะที่ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งได้มีการออกกฎกระทรวงฉบับที่ 49 ปี 2540 กำหนดให้อาคารสูงเกินกว่า 15 เมตร ใน 10 จังหวัด ต้องออกแบบโครงสร้างให้สามารถต้านแผ่นดินไหว ต่อมาปี 2550 ได้ออกกฎกระทรวงขยายพื้นที่เพิ่มเป็น 22 จังหวัด ปี 2564 ออกกฎกระทรวงที่กำหนดการรับน้ำหนัก ความมั่นคงของอาคาร และพื้นที่รองรับอาคารในการต้านแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ขยายเพิ่มเป็น 43 จังหวัด
2. พายุโซนร้อนวิภา ถล่มภาคใต้
หลังภัยพิบัติจากโครงสร้างทางธรณี เหตุการณ์ที่สอง ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากความแปรปรวน จากภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของปรากฎการณ์ใหญ่อย่าง “เอลนีโญ-ลานีญา” ที่สัญญาณความผิดปกติตั้งแต่ปี 67 ที่”เกิดขึ้นบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ภัยพิบัติเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ปรากฎการณ์ลานีญา เริ่มส่งผลกระทบต่อฤดูฝนปี 68 ทำให้ปริมาณมีฝนมากเกือบจะเท่ากับปี 54 หรือใกล้เคียงกับปริมาณฝนในช่วง 65 ส่งผลให้ ปี 68 อิทธิพลของ“ลานีญา” ทำให้ฝนตกในปริมาณมาก เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่
ผลกระทบจากฝนตกหนักเริ่มจาก “พายุโซนร้อนวิภา” เคลื่อนเข้าสู่ไทย ในวันที่ 19-21 กรกฎาคม 68 ซึ่งพายุเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้ฝั่งอันดามัน ระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง และฝั่งอ่าวไทย ชุมพร, สุราษฎร์ธานี มีฝนตกหนักและคลื่นลมแรง.
กระทั่งวันที่ 22-24 กรกฎาคม 68 พายุอ่อนกำลังลงและเคลื่อนตัวเข้าสู่ภาคเหนือ แต่ยังส่งผลให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้แรงต่อเนื่อง ทำให้ภาคใต้บางส่วนและจังหวัดอื่นๆ ยังคงได้รับผลกระทบจากฝนตกหนัก
พื้นที่ภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบหนักมาก คือ น่าน, เชียงราย, พะเยา, ลำปาง, เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และอีสาน เลย, หนองคาย, บึงกาฬ, อุดรธานี, สกลนคร, นครพนม. มีประชาชนได้รับผลกระทบจำนวนมาก
3 พายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” (Kajiki) น้ำท่วมเหนือ-อีสาน
จากนั้นในช่วงปลายเดือนสิงหาคม พายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” (Kajiki) ได้เคลื่อนผ่านไทยช่วงวันที่ 24-27 ส.ค. ก่อให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมาก ลมแรง และน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ น่าน, เชียงใหม่, ลำพูน)
ขณะที่ภาคอีสาน เลย, หนองคาย, อุดรธานี รวมถึงบางส่วนของภาคกลาง, ตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ทำให้มีประกาศเตือนภัยและต้องเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากอย่างต่อเนื่อง.
เคลื่อนเข้ามาทางตอนเหนือของไทย ส่งผลให้เกิด น้ำท่วม ดินถล่ม และฝนตกหนักในภาคเหนือ-อีสาน
แม้พายุ “คาจิกิ” จะมีความรุนแรงน้อยกว่าพายุ “วิภา” ที่พัดถล่มภาคเหนือเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ผลกระทบยังคงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะปริมาณฝนสะสมในช่วง 25–27 สิงหาคม ที่อาจสูงเกิน 300 มิลลิเมตรในหลายจังหวัดของภาคอีสานและภาคเหนือ
ขณะที่พื้นที่ลุ่มต่ำและใกล้ทางน้ำใน จ.น่าน เช่น อ.เชียงกลาง ปัว ท่าวังผา เมือง และเวียงสา กำลังเผชิญความเสี่ยงน้ำไหลหลากและน้ำล้นตลิ่งอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งผ่านพายุ “วิภา” มาเมื่อเดือนก่อน และยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำอีกรอบ
4.พายุ “คัลแมกี” กระทบน้ำล้นเขื่อนลุ่มเจ้าพระยา
พายุ “คัลแมกี” (Kalmaegi) ในเดือนพฤศจิกายน เรียกได้ว่าเป็นพายุหลงฤดู เพราะเข้ามาในช่วงที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค 68
พายุ “คัลแมกี” ซึ่งเป็นพายุไต้ฝุ่น ส่งผลกระทบทำให้ฝนตกหนัก ในเดือนพ.ย. ทำให้เขื่อนหลักหลายแห่ง โดยเฉพาะเขื่อนเจ้าพระยาในภาคกลาง และเขื่อนในภาคอีสาน มีปริมาณน้ำเกือบเต็มความจุ หรือล้นเกินความจุ เช่น เขื่อนน้ำอูน 100%)จึงต้องเร่งระบายน้ำปริมาณมาก ทำให้เกิดน้ำท่วมหลายแห่ง
เช่นเดียวกับเขื่อนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น เขื่อนเจ้าพระยาระบาย 2,900 ลบ.ม./วินาที เพื่อรองรับฝนตกหนักต่อเนื่องจากพายุ ทำให้เกิดน้ำล้นเขื่อนและน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ท้ายเขื่อนสำคัญ เช่น ชัยนาท อยุธยา สุพรรณบุรี กำแพงเพชร และบางส่วนของอีสาน
5. ถนนสามเสนทรุด- ภัยพิบัติทางธรณี
ไม่เพียงผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่ ยังเกิดเหตุการณ์ที่เป็นภัยพิบัติรูปแบบทางธรณีวิทยาที่มีความรุนแรงสูงมากในเมืองใหญ่ เมื่อวันที่ 24 ก.ย 68 เกิด โพรงยุบถนน (sinkhole) ขนาดใหญ่บริเวณถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
สาเหตุการยุบเกิดจากการกัดเซาะดินบริเวณที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (ช่วงสถานีโรงพยาบาลวชิระ) ทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่เนื่องจากดินไหลเข้าอุโมงค์และสถานี, ท่อประปาแตก น้ำรั่วไหล
ผู้เชี่ยวชาญชี้สาเหตุจาก ชั้นดินอ่อน + น้ำ + กิจกรรมการก่อสร้าง ซึ่ง กทม. ได้ประกาศเป็นเขตประสบภัยพิบัติและเร่งแก้ไขปัญหาโดยการถมทรายซีเมนต์และอุดรอยรั่ว พร้อมอพยพประชาชนและจัดการจราจร.
เหตุการณ์ครั้งนี้ แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่เป็นเหตุการณ์ที่เป็นภัยพิบัติรูปแบบทางธรณีวิทยาที่มีความรุนแรงสูงมากในเมืองใหญ่
6. มหาอุทกภัยใต้ น้ำท่วมหาดใหญ่
ในเดือน พ.ย 68 มหาอุทกภัยใต้ น้ำท่วมหาดใหญ่และ 9 จังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ถือเป็น “ภัยพิบัติครั้งใหญ่”ของปี 68 เนื่องจากมีความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก
อุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เริ่ม ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย 68 ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์น้ำท่วมตามฤดูกาล แต่เป็นวิกฤตที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหาจาก ปรากฏการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว และ ความเปราะบางเชิงโครงสร้างของลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา
ข้อมูลสำคัญจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ยืนยันว่า ระดับน้ำครั้งนี้ สูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดเมื่อปี พ.ศ. 2553 ปริมาณฝนสะสมสูงถึง 630 มิลลิเมตร ใน 3 วัน คือ วันที่ 19–21 พ.ย. ซึ่งมากกว่าปริมาณสูงสุดของปี 53 มีปริมาณฝน 428 มม. เป็นปรากฏการณ์ฝนตกหนักในรอบหลายสิบปี
ขณะที่คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติระบุว่า ปริมาณฝนครั้งนี้สูงที่สุดในรอบหลายปี ส่งผลให้มีน้ำหลากเข้าท่วมชุมชนมากกว่า 100 แห่ง บางพื้นที่มีระดับน้ำสูงถึง 3 เมตร บ้านเรือน ถนน และโครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหายจนการสัญจรแทบเป็นไปไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และรุนแรงกว่าหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากปริมาณฝนที่มากกว่าปกติแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้ยังมีลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งคือ “ฝนตกแช่” (Stagnant Rainfall) หรือฝนที่ตกต่อเนื่องยาวนานโดยไม่มีช่วงให้ระดับน้ำได้ลดลงเลย ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายนจนถึงหลายวันถัดมา
ฝนยังคงตกด้วยความแรงสลับเบา แต่ไม่หยุดสนิท ทำให้ดินอุ้มน้ำจนเต็ม ความสามารถในการดูดซึมน้ำลดลงจนเหลือศูนย์ น้ำผิวดินจึงไหลบ่าลงคลองอู่ตะเภาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันทั้งคืน ปริมาณน้ำที่ไหลเข้ามาแบบไม่หยุดพักนี้ ทำให้ระบบลำน้ำและระบบระบายภายในเขตเมืองไม่สามารถรับมือได้ทัน เกิดการหนุนทับชั้นแล้วชั้นเล่า จนน้ำท่วมทวีความรุนแรงขึ้นในเวลาอันสั้น
น้ำท่วมหาดใหญ่ระลอกนี้เริ่มขึ้นในวันที่ 21 พ.ย. 2568 ก่อนจะเริ่มท่วมสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 พ.ย. ในวันที่ 25 พ.ย. หลังน้ำเริ่มลดและสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในวันที่ 28 พ.ย. พบรายงานผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ตัวเลขล่าสุดของวันที่ 29 พ.ย. ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) ยืนยันผู้เสียชีวิตจากเหตุอุกทกภัยในเขตจังหวัดสงขลา รวม 126 ราย
ปี 68 ภัยพิบัติรุนแรง บทเรียนที่ไม่เคยจดจำ
ภัยพิบัติที่มีความรุนแรงมากขึ้นในปี 68 และมีแนวโน้มว่าจะเกิดถี่มากขึ้นในอนาคต เป็นสัญญาณ เตือนว่าทุกหน่วยงาน รวมทั้งประชาชนต้องพร้อมรับมือ โดยถึงเวลาที่เราต้องจดจำและมีบทเรียน ไม่ใช่แค่ถอดบทเรียน
จะเห็นได้ว่า ภัยพิบัติปี 68 มีบทเรียนจาก ภัยพิบัติน้ำท่วมปี 67 นับตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม ได้เกิดอุทกภัยฉับพลันและดินถล่มในหลายจังหวัดของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือของประเทศ ที่ต้องเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี จากอิทธิพลพายุไต้ฝุ่นยางิและพายุซูลิก และปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งทำให้ปริมาณฝนมากกว่าปกติ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหลายจังหวัด สร้างความเสียหายกว่า 19 จังหวัด มีผู้เสียชีวิต 45 คน และมีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 43,535 ครัวเรือน
บทเรียนของปี 67 ทุกหน่วยงานได้ถอดบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอย แต่ดูเหมือนว่า เราไม่ได้จดจำ ไม่มีการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม และไม่มีแผนทางปฏิบัติออกมาชัดเจน ทำให้ปี 68 ยังเป็นปีแห่งภัยพิบัติเช่นเดิม
เสียงจากเจ้าหน้าที่พยากรณ์ รายหนึ่งบอกว่า “ตราบใดที่เรายังไม่สามารถจัดระบบให้เป็นรูปธรรม และลงทุนในการยกระดับการพยากรณ์ให้แม่นยำ เราก็ยังอยู่บนความเสี่ยงภัยพิบัติที่มากขึ้นทั้ง ปี 68 หรือ ปีต่อไปก็จะมีปัญหาเดิมน้ำท่วมเสียหายเหมือนเดิม
ยกระดับระบบพยากรณ์แม่นยำ – เตือนภัย
อีกหนึ่งบทเรียนในทุกเมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ คือการบัญชาการเหตุการณ์ที่ล้มเหลว ซึ่งเสียงสะท้อนจากคนทำงาน บอกว่า เราต้องคิดว่าจะทำงานแบบไหน ที่ทำให้เราทำงานและตัดสินใจง่าย ไม่ใช่พอเกิดเหตุการณ์ ก็สั่งระดมพลประชุม ต้องไปร่วมประชุมที่มีหลายคณะ และหลายประชุม
ทำอย่างไร จะให้มีการประชุมคณะเดียว และมีข้อมูลพื้นที่ที่ดี ถูกต้อง และทุกคนเชื่อถือได้มาตัดสินใจร่วมกัน แล้วเมื่อคณะกรรมการชุดใหญ่ ประชุมตัดสินใจ สั่งการไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เป็นเอกภาพไปสู่ท้องพื้นที่ประสบภัย และประชาชนอย่างเป็นระบบไม่สับสน
ปัญหาซ้ำๆ คือ การจัดการข้อมูลพยากรณ์ ที่มีหน่วยงานเกี่ยวข้องทั้งหมด 52 หน่วยงาน แต่มาตรฐานการเก็บข้อมูลที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข้อมูลในการบริหารจัดการวิกฤติ
ตราบใดที่ไทยยังไม่ยกระดับข้อมูลให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในระดับประเทศมีความร่วมมือกัน เชื่อถือกันและทำงานร่วมกัน เราจะไม่สามารถแก้ปัญหาการพยากรณ์เพื่อการเตือนภัยล่วงหน้า เชื่อถือได้ เมื่อเกิดภัยพิบัติ สิ่งที่เราทำได้จะเป็นเพียงแค่ การถอดบทเรียนภัยพิบัติ ซ้ำซาก เท่านั้น
ระบบรับมือไม่พร้อมรับ “ภัยพิบัติ”
เช่นเดียวกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิตางศุ์ พิลัยหล้า ชี้ว่าปัญหาการจัดการน้ำเชิงโครงสร้างที่ลึกกว่านั้นคือ ข้อมูลพยากรณ์ฝนที่ผิดพลาดและล่าช้าจากกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งทำให้การบริหารจัดการน้ำไม่ตรงจุด เช่น การคาดการณ์ฝนต่ำกว่าจริง ทำให้ต้องพร่องน้ำเขื่อนกระชั้นชิด ส่งผลกระทบต่อการรับมืออุทกภัย โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคใต้ การขาดแคลนผู้นำที่มีอำนาจเต็มในการกำกับดูแลหน่วยงานน้ำ และการไม่นำข้อมูลเชิงลึกไปใช้ ทำให้การแก้ปัญหาวิกฤตน้ำไม่ทันท่วงที
ประเด็นสำคัญ เริ่มจากปัญหาข้อมูล ที่กรมอุตุนิยมวิทยาประเมินฝนต่ำกว่าความเป็นจริง เช่น พายุวิภา ทำให้การคาดการณ์ความเสี่ยงผิดพลาด และข้อมูลมาล่าช้า พายุคัลแมกี
ข้อมูลพยากรณ์ที่ล่าช้าส่งผลผลกระทบต่อการจัดการน้ำหน่วยงานด้านน้ำต้องไปเฝ้าระวังผิดจุดเช่น เขื่อนสิริกิติ์ แทนที่จะเป็นเขื่อนภูมิพล และการพร่องน้ำต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้รับมือกับน้ำท่วมภาคกลางได้ไม่ทัน
ปัญหาโครงสร้างองค์กรในภาวะวิกฤต ทำให้การตัดสินใจและการบูรณาการ 30 กว่าหน่วยงานทำได้ไม่ดีพอโดยสรุป ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวระบบทั้งหมด แต่เกิดจาก ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนแต่ต้น และ โครงสร้างการบริหารจัดการที่ยังไม่แข็งแกร่งพอ ในการรับมือภัยพิบัติ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง;




