ThaiPBS Logo

เศรษฐกิจไทยอาการหนัก ส่งออกต่ำ-ท่องเที่ยวซึม

12 มิ.ย. 256815:22 น.
เศรษฐกิจไทยอาการหนัก ส่งออกต่ำ-ท่องเที่ยวซึม
  • นโยบายภาษีของ ทรัมป์ ยังอยู่อีกนาน ขึ้นกับว่าไทยจะโดนเก็บภาษีหนักหรือเบา คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคในครึ่งปีหลัง ทั้งปี 68 เติบโต 1.4 – 1.8%
  • ส่งออกมีแนวโน้มหดตัวลงลึก มีผลไปถึงภาคการผลิต และถูกซ้ำเติมจากสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้าไทย ขณะที่รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยเป็นรายได้หลักของไทย มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 19 เดือน
  • แผนกระตุ้น 1.57 แสนล้านบาทของรัฐบาล อาจกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้จำกัด
กสิกรไทย คาดปีนี้เศรษฐกิจไทยถดถอย จากภาคส่งออกมีแนวโน้มหดตัวลงลึกจากผลกระทบภาษีสหรัฐฯ และภาคการผลิตถูกดันจากสินค้าจีนทะลัก ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงไม่หยุดแต่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง ประเมินงบรัฐบาล 1.57 แสนล้านบาทช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จำกัด

เศรษฐกิจไทยในปี 68 มีแนวโน้มเติบโตลดลง ปัจจัยหลักจากกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ที่ขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง หลังใกล้ครบกำหนดเลื่อนการขึ้นภาษี 90 วันภายในวันที่ 9 ก.ค. นี้

แต่การเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ ยังไม่เกิดขึ้น ขณะที่ทางฝั่ง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ถูกศาลการค้าสหรัฐฯ สั่งระงับนโยบายขึ้นภาษี แต่ทรัมป์ ก็ได้ยื่นอุทธรณ์เรื่องนี้ต่อศาลอุทธรณ์ จนล่าสุดศาลฯ มีคำสั่งให้สามารถใช้นโยบายขึ้นภาษีได้ชั่วคราว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มาตรการภาษีนำเข้าของ ทรัมป์ จะพบเจออุปสรรคอีกมาก แต่ในระยะยาวนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน โดยหลังหมดเวลาชะลอขึ้นภาษีสิ่งที่จะเกิดขึ้นคาดว่ามี 2 แบบ คือ

  • อัตราภาษีเพิ่มกลับขึ้นไปที่เดิมตามที่ ทรัมป์ เคยประกาศไว้
  • สหรัฐฯ ชะลอขึ้นภาษีออกไปตลอดทั้งปี

ขณะที่เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบในครึ่งปีหลัง โดยศูนย์วิจัยกสิกร มองว่า มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) หากไทยโดนภาษีสหรัฐฯ ที่ 36% คาดเศรษฐกิจปี 68 จะเติบโต (จีดีพี) เหลืออยู่ที่ 1.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่หากสหรัฐฯ ชะลอวันขึ้นภาษีออกไปอีก จีดีพีไทยจะเติบโตที่ 1.8% YoY (ปี 67 เติบโตที่ 2.5%)

ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัว มาจากภาคการส่งออก ที่ถือเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสำคัญ โดยคาดว่าจะหดตัวลงลึกในช่วงครึ่งหลังของปี 68 เพราะได้มีการเร่งส่งออกสินค้าจำนวนมากก่อนที่สหรัฐฯ จะประกาศขึ้นภาษี และอุปสงค์ (ความต้องการ) ทั่วโลกก็มีแนวโน้มลดลง เพราะผลจากภาษีสหรัฐฯ

กรณีไทย หากสหรัฐฯขึ้นภาษีเต็มพิกัด คาดส่งออกไทยจะติดลบ 0.5% ซึ่งจะทำสินค้าไทยให้แข่งขันทั้งในตลาดสหรัฐฯ และจีนได้ยาก เพราะมีต้นทุนที่สูงกว่า แต่หากโดนภาษีที่ 10% คาดส่งออกไทยจะเติบโตเล็กน้อย 0.5% ซึ่งแตกต่างจากปี 67 ที่เติบโต 5.4%

ภาคการผลิตไทยก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน หากโดนภาษีสหรัฐฯในอัตราสูง จะกระทบสินค้าได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์, อุปกรณ์ไฟฟ้า, ผลิตภัณฑ์ยาง, เครื่องจักรกล, เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์, ผลิตภัณฑ์พลาสติก, อาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารกระป๋อง/แปรรูป

นอกจากนี้ ผู้ผลิตไทยก็จะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคา หากจีนส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ไม่ได้ ก็จะต้องหาทางระบายสินค้าในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะทำให้สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้าไทย

หากพิจารณาสินค้าจีนที่จะได้รับผลกระทบภาษีสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์, ผลิตภัณฑ์ยาง, ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม, เคมีภัณฑ์, เม็ดพลาสติก, ทองแดง, ยางพารา, ไม้และผลิตภัณฑ์, ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และผลไม้สด แช่เย็นแช่แข็ง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไทยนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยในปี 52 มีสัดส่วน 20% ของสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งประเทศ และในปี 68 คาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากว่า 30% องสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งประเทศ

อีกหนึ่งเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่สำคัญของไทย คือ ภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยมีแนวโน้มลดลงมาตั้งแต่ต้นปี 68 จากจำนวนระดับเกือบ 4 ล้านคนในเดือน ม.ค. ล่าสุดเดือน พ.ค. ลดลงเหลือต่ำกว่า 2.5 ล้านคน ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี (19  เดือน)

คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีนี้จะหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยประมาณการอยู่ที่ 34.5 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนที่ 35.5 ล้านคน 

สำหรับเงินเฟ้อไทย กสิกรไทยปรับลดคาดการณ์ทั้งปี จาก 0.5% เหลือ 0.3% โดยมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะผลจากสินค้าจีนราคาถูกนำเข้ามาไทยจำนวนมาก ซึ่งผลต่อตระกร้าเงินเฟ้อ

แต่ปัจจุบันไทยยังไม่เข้าข่ายเงินฝืด แม้เงินเฟ้อทั่วไปจะติดลบ 2 เดือนติดต่อกัน แต่เงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมอาหารสดและน้ำมัน) ยังคงเป็นบวก และการบริโภคยังคงเติบโต

สถานการณ์หนี้เสีย (NPL) คาดการณ์ว่าจะแย่ลงจากปีก่อน โดยประมาณจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.70 – 2.97% ต่อสินเชื่อโดยรวม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี และหนี้ที่เคยถูกปรับโครงสร้างในปีที่ก่อนก็เริ่มวนกลับมาเป็นหนี้เสียอีกครั้ง

แต่เชื่อว่า NPL จะไม่สูงไปกว่าที่ประมาณการ โดยสถาบันการเงินจะยังคงพยายามจัดการหนี้เสีย และหนี้ที่เริ่มครบกำหนดวันชำระ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ และจัดขายหนี้เสียออกไป

สำหรับงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลแปลงมาจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และจะใช้พยุงเศรษฐกิจในมาตรการเกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะด้านน้ำ บรรเทาผลกระทบจากการส่งออก ภาคการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจชุมชน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ประสิทธิผลของการใช้เม็ดเงินดังกล่าว ขึ้นกับการทำโครงการ ความรวดเร็วในการเบิกจ่าย และจะมีประสิทธิภาพเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้มากแค่ไหน

แต่คาดว่าจะช่วยกระตุ้น จีดีพี ได้จำกัดเพียง 0.2 – 0.3% อีกทั้งรัฐบาลเหลือพื้นที่กู้เงินอีกจำนวนไม่มากราว 17,000 ล้านบาทเท่านั้น จึงควรต้องระมัดระวังการใช้เงินให้ดี

การรับมือผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะรัฐบาลต้องเตรียมแผนรับมือและช่วยเหลือธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบภาษีสหรัฐฯ และผลกระทบการแข่งขันด้านราคาจากสินค้าน้ำเข้า ควบคู่กับหาตลาดสร้างดีมานต์ (ความต้องการ)ให้กับสินค้าไทย และหาทางช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการ

ในภาคการท่องเที่ยวรัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว และกระตุ้นตลาดต่างชาติเที่ยวไทย 3 กลุ่มหลัก คือ 1. กลุ่มที่พำนักระยะสั้น แต่ใช้จ่ายต่อวันมาก คือ จีนและสิงคโปร์ 2. กลุ่มที่พำนักนาน แม้ใช้จ่ายต่อวันไม่มาก คือ ยุโรป อเมริกา และ 3. กลุ่มที่พำนักนาน ใช้จ่ายต่อวันมาก คือ ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสหรัฐอาหรับเอมิเรต และซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้ควรกระตุ้นให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศด้วย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

ไทยเสี่ยงเงินฝืด จากภาษีทรัมป์ ฉุดเศรษฐกิจชะลอ สินค้าจีนทะลัก

สงครามการค้าล่าสุด ธปท.คาด “แรง-นาน” กว่าครั้งก่อน

เศรษฐกิจไทยดิ่งไตรมาส 4 “ของแพง คนรายได้ไม่พอ”

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

นโยบายการคลัง (Fiscal Policy)

นโยบายการคลัง เป็นการดำเนินนโยบายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นหรือชะลอการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยใช้เครื่องมือที่สำคัญของรัฐบาล คือ การใช้จ่ายของรัฐบาล (รายจ่าย) และการเก็บภาษี (รายได้) รวมถึงการก่อหนี้สาธารณะของรัฐบาล

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

การค้า

นโยบายการค้าของไทย เผชิญกับความท้าทายมากขึ้น จากสงครามการค้า ทำให้มีความเสี่ยงจากการแยกตัวของห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งทำให้ไทยต้องเลือกข้างระหว่างสหรัฐ-จีน แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามดำเนินนโยบายเป็นกลางและประสานผลประโยชน์ทุกฝ่าย

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: