อ.นอร์เบิร์ตหรือบางคนก็เรียกกันเล่นๆ สไตล์มลายูว่า “แบนอร์” ได้ทุ่มเทเวลาฝังตัวอยู่ในประเทศไทยและภาคใต้เพื่อทำงานเสริมสร้างความรู้ด้านสันติภาพให้กับภาคประชาสังคมและกลุ่มคนที่หลากหลายในภาคใต้และเปิดพื้นที่ให้เกิดการสนทนาข้ามกลุ่ม เอื้อให้เกิดการสนทนาแลกเปลี่ยน สร้างความเข้าใจ แสวงหาจุดร่วมเพื่อขับเคลื่อนงานด้านสันติภาพมายาวนาน
วันนี้ อ.นอร์เบิร์ตในวัย 81 ปีได้จากพวกเราไปแล้ว แต่มรดกจากการขับเคลื่อนทางความคิดที่ได้สร้างไว้ยังคงมีอิทธิพลสำคัญต่อการสร้างสันติภาพในชายแดนใต้
หลังการปะทุขึ้นของความรุนแรงในปี 2547 มีกลุ่มประชาสังคมเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แม้ว่ากลุ่มต่างๆ เหล่านี้จะทำงานในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพ แต่พวกเขาก็มีภูมิหลัง มุมมองและความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันและก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันมากนัก
อ.นอร์เบิร์ตได้เสนอความคิด “พื้นที่กลางสร้างสันติภาพจากคนใน” (Insider Peacebuilders Platform, IPP) ขึ้นในช่วงปี 2554 ซึ่งเป็นช่วงที่ยังไม่มีการพูดคุยสันติภาพอย่างเป็นทางการ
ก่อนมาทำงานในประเทศไทย อ.นอร์เบิร์ต ซึ่งเป็นนักวิจัยอาวุโสของมูลนิธิเบิร์กฮอฟ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศเยอรมันเคยขับเคลื่อนงานด้านสันติภาพที่ศรีลังกามาก่อน
ศรีลังกาเผชิญกับการเคลื่อนไหวต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธในภาคเหนือและภาคตะวันออกของกลุ่ม Liberation Tigers of Tamil Eelam (LTTE) เพื่อเรียกร้องเอกราชให้กับชาวทมิฬ
แม้ว่ารัฐบาลจะเปิดให้มีกระบวนการสันติภาพอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ล้มเหลว รัฐบาลหันไปใช้การปราบปรามทางการทหารแทน ซึ่งอ.นอร์เบิร์ตมองว่าปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้กระบวนการสันติภาพในศรีลังกาล้มเหลวเป็นเพราะการพูดคุยเป็นกระบวนการระหว่างชนชั้นนำเท่านั้น ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เป็น “คนใน” จึงทำให้กระบวนการมีความเปราะบาง
กระบวนการสันติภาพหลายแห่งในโลก มักมี “คนนอก” คือองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ เข้ามาขับเคลื่อนเพื่อผลักดันให้เกิดข้อตกลงสันติภาพ ซึ่งก็เป็นปัญหาเช่นเดียวกัน เมื่อประชาชนในพื้นที่ไม่มีส่วนร่วม “คนใน” ขาดความรู้สึกเป็นเจ้าของ สันติภาพที่เกิดจากการตกลงกันระหว่างชนชั้นนำจึงมีความเปราะบางเช่นเดียวกัน
อ.นอร์เบิร์ตเป็นหัวเรือสำคัญในการทำ “วง IPP” ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2554 ซึ่งยังคงดำเนินอยู่จนถึงปัจจุบัน มีการจัดวงมากว่า 40 ครั้งแล้ว วง IPP เป็นความร่วมมือกับหลายสถาบันทางการศึกษาและองค์กรที่ขับเคลื่อนเรื่องสันติภาพทั้งในและต่างประเทศ
ในการทำเวทีแต่ละครั้งผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประชาสังคม และมีนักวิชาการ นักธุรกิจ เจ้าหน้าที่รัฐเข้าร่วมอีกบางส่วน รวมกันประมาณ 50-60 คน โดยการสนทนาเป็นวงปิด ใช้หลักการที่เรียกกันว่า Chatham House Rule โดยผู้เข้าร่วมจะไม่เปิดเผยว่าใครพูดอะไรในวงนั้น เพื่อทำให้เกิดความสบายใจในการนำเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยบทสนทนาหลักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องความเคลื่อนไหวของกระบวนการสันติภาพและบทบาทที่ผู้เข้าร่วมสามารถที่จะช่วยหนุนเสริมได้
ฐานคิดสำคัญในการทำวง IPP มาจากทฤษฎีเรื่อง “สามเหลี่ยมแห่งการสร้างสันติภาพ” ในหนังสือเรื่อง Building Peace: Sustainable Reconciliation in Divided Societies (สร้างสันติภาพ: ความปรองดองที่ยั่งยืนในสังคมที่แตกแยก) ของ John Paul Lederach ซึ่งเป็นนักวิชาการชาวอเมริกันด้านการสร้างสันติภาพผู้มีชื่อเสียง
Lederach ได้แบ่งการสร้างสันติภาพเป็นสามระดับ กล่าวคือ ระดับที่หนึ่งเป็นกลุ่มผู้นำทางการเมืองและการทหารที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้ง ซึ่งโดยมากก็คือตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มต่อต้าน ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มที่ถูกจับตาโดยสื่อมวลชน พวกเขามักจะมีจุดยืนที่แข็งกร้าวในประเด็นต่างๆ ซึ่งต้องยืนหยัดต่อหน้าคู่เจรจาและกลุ่มมวลชนสนับสนุนเบื้องหลัง การถอยจึงเป็นการเสียหน้าหรือแสดงถึงความอ่อนแอ การเจรจาเพื่อแสวงหาจุดร่วมและทางออกทางการเมืองจึงอาจไม่บรรลุผล หากดำเนินการเฉพาะในกลุ่มชนชั้นนำระดับหนึ่งเท่านั้น
ผู้นำในระดับ 2 คือกลุ่มคนระดับกลางซึ่งไม่ได้มีบทบาทโดยตรงในการเจรจาระดับที่หนึ่ง พวกเขาอาจเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพยกย่องในสังคม เป็นผู้นำกลุ่มวิชาชีพหรือทางสังคมต่างๆ เช่น ผู้นำศาสนา นักวิชาการ องค์กรด้านมนุษยธรรม ผู้นำระดับสองนี้มักจะสามารถเชื่อมต่อกับผู้นำบนโต๊ะเจรจาได้ แต่พวกเขาไม่ถูกจำกัดเรื่องการต้องแสดงท่าทีและจุดยืนที่แข็งกร้าวกับคู่เจรจา ในขณะเดียวกันพวกเขาก็สามารถเชื่อมต่อกับผู้นำในระดับรากหญ้าได้ การที่ผู้นำระดับสองไม่ถูกสื่อมวลชนจับตาทำให้มีความยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหวได้มากกว่า นอกจากนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ก็มักมีเครือข่ายความสัมพันธ์ข้ามกลุ่มอัตลักษณ์ที่กำลังขัดแย้งกันด้วย
ส่วนผู้นำระดับสาม คือผู้นำรากหญ้าซึ่งเป็นกลุ่มมวลชนใหญ่ในสังคม ซึ่งอาจจะยังต้องเผชิญกับการต่อสู้ดิ้นรนในการหาเลี้ยงชีพและรักษาความปลอดภัยของตนในแต่ละวัน ผู้นำกลุ่มนี้อาจจะเป็นผู้นำชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานช่วยเหลือเยียวยาในระดับรากหญ้า พวกเขาเป็นผู้นำที่สามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก ความหวาดกลัว ความทุกข์ยากของประชาชนได้ดีที่สุด
ที่มา: ‘ภาคประชาสังคม’ ไร้อำนาจต่อรองในกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้/ปาตานี?
หากเราดูสามเหลี่ยมแห่งการสร้างสันติภาพในสามระดับนี้ จะเห็นได้ว่าเส้นแบ่งความขัดแย้งเป็นเส้นแบ่งตามกลุ่มทางศาสนา ชาติพันธุ์ มากกว่าชนชั้น ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ ”แนวตั้ง” มากกว่า “แนวขวาง” หากดูในบริบทความขัดแย้งในชายแดนใต้ เราจะเห็นว่ามีชาวมลายูมุสลิมและไทยพุทธอยู่ทั้งสามระดับ
ฉะนั้น ผู้นำในระดับต่างๆ จึงสามารถจะสื่อสารในแนวตั้งข้ามระดับไปยังกลุ่มที่มีอัตลักษณ์ร่วมกันได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถจะสื่อสารในแนวขวางข้ามกลุ่มอัตลักษณ์ไปยังผู้นำที่อยู่ในระดับเดียวกันแต่มีอัตลักษณ์ที่แตกต่าง ซึ่งรวมถึงคู่ขัดแย้งได้ด้วย
งานที่อ.นอร์เบิร์ตและคณะทำอยู่ในระดับ 2 เป็นหลัก ซึ่งเป็นการสร้างพื้นที่กลางให้ผู้นำระดับสองจากหลายๆ ภาคส่วนได้มีโอกาสมาพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อร่วมเป็นพลังในการขับเคลื่อนการสร้างสันติภาพในชายแดนใต้ เป็นการสร้างโอกาสให้เกิดการสนทนาข้ามกลุ่มอัตลักษณ์ โดยหวังว่าพวกเขาจะสามารถสื่อสารไปยังผู้นำในระดับหนึ่งในโต๊ะพูดคุย และระดับสามซึ่งเป็นผู้นำชุมชนได้ด้วย
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ความรุนแรงในชายแดนใต้ได้เพิ่มสูงขึ้น มีหลายเหตุการณ์ที่พลเรือนเป็นเหยื่อ ทั้งสามเณร เด็กและคนชรา ทำให้สังคมใหญ่เกิดการตั้งคำถามกับการเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็น ท่ามกลางกระแสที่สังคมไทยไม่เข้าใจ กระทั่งดูเบา ด้อยค่าการพูดคุยสันติภาพ มีการตั้งคำถามว่า “คุยกับโจร/ฆาตกรทำไม” ในสถานการณ์ที่ความโกรธแค้นพลุ่งพล่าน เราได้เห็นผู้นำในพื้นที่จากกลุ่มชาวพุทธซึ่งเป็นกลุ่มอัตลักษณ์เดียวกันผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงออกมาสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าการพูดคุยสันติภาพ ซึ่งเชื่อว่าผู้นำเหล่านี้ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากการร่วมวง IPP มาบ้างไม่มากก็น้อย
หลังเหตุการณ์กราดยิงรถกระบะของตำรวจขณะรับพระสงฆ์ออกบิณฑบาตใน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ในวันที่ 22 เม.ย. 2568 ส่งผลให้สามเณรอายุ 16 ปีเสียชีวิต ท่านขาวหรือพระครูโฆษิตาสุตาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดบูรพาราม อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ท่านขาวสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าการพูดคุยสันติภาพ เขากล่าวว่า “แม้จะมีความไม่เชื่อมั่นเพราะคุยมากี่ปีแล้ว ล้มเหลวหรือไม่ แต่เราต้องสนับสนุนให้พูดคุยเพื่อสันติภาพ โดยใช้สันติวิธีเป็นหลัก เพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชนที่บริสุทธิ์ ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบไม่ใช่ใคร…ชาวพุทธ แต่โดนกันหมดจากความรุนแรง สุดท้ายก็มาถึงพระจนได้” ท่านขาวเสนอว่าอยากขอให้มีพระและอิหม่ามเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ในโต๊ะเจรจาด้วย
ในขณะที่ พงษ์ศักดิ์ พรหมสัง ประธานสมาพันธ์ไทยพุทธจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้กล่าวกับสื่อมวลชนหลังเหตุการณ์ยิงสามเณรเช่นกันว่าชาวพุทธมองว่าสถานการณ์การทำร้ายผู้บริสุทธิ์มาจากความล่าช้าในการตั้งคณะพูดคุยฯ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามส่งสัญญาณด้วยการก่อเหตุกับผู้อ่อนแอ จึงอยากให้มีการพูดคุยอย่างจริงจัง และใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเข้มข้นและดูแลประชาชนที่บริสุทธิ์ทั้งพุทธและมุสลิม “เราจะก้าวข้ามความโหดร้าย ประณามการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ พี่น้องมุสลิมไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงครั้งนี้ รู้สึกเสียใจไม่ต่างกับเรา”
หลังกลับจากการเรียนปริญญาเอกในช่วงปี 2564 ผู้เขียนได้มีโอกาสประเมินโครงการจากแหล่งทุนหนึ่งที่สนับสนุนวง IPP ผู้เขียนได้ให้ข้อเสนอแนะในรายงานว่าควรจะมีการทำงานเพื่อเชื่อมโยงผู้นำระดับสองและหนึ่งมากขึ้น เพราะแม้ว่านักวิชาการและนักขับเคลื่อนด้านสันติภาพจะทำงานความคิดกับผู้นำในระดับสองไปพอสมควรแล้ว หากผู้นำในระดับหนึ่งยังคงมีบางส่วนที่ไม่เข้าใจเรื่องกระบวนการสันติภาพ การขับเคลื่อนงานด้านสันติภาพก็จะยากมาก
เราได้เห็นปรากฎการณ์นี้ในช่วงเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงยังคงกังขากับแนวทางการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งผ่านกระบวนการสันติภาพ นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม 2567 รัฐบาลยังไม่ได้ตั้งคณะพูดคุยฯ ชุดใหม่ การเจรจาอย่างเป็นทางการหยุดชะงักลง แม้ว่ากระบวนการสันติภาพจะไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ชั่วข้ามคืน
การดำเนินการส่วนใหญ่ใช้เวลาหลายปี กระทั่งหลายทศวรรษ แต่บทเรียนจากหลายแห่งในโลกนี้แสดงให้เห็นว่าสันติภาพที่เกิดจากกระบวนการสันติภาพนั้นมีความยั่งยืนมากกว่าการปราบปรามด้วยการทหาร งานขับเคลื่อนความคิดที่อ.นอร์เบิร์ตได้ก่อร่างสร้างไว้จึงยังต้องการการสานต่ออีกมากในอนาคต
ผู้เขียนอยากจะปิดท้ายด้วยคำไว้อาลัยจากเพื่อนร่วมงานของอ.นอร์เบิร์ตบนหน้าเว็บไซต์มูลนิธิเบิร์กฮอฟซึ่งสรุปถึงเขาไว้ได้อย่างดียิ่ง “นอร์เบิร์ตเป็นผู้นำแถวหน้าของการแปรเปลี่ยนความขัดแย้งมานานหลายทศวรรษ โดยผสมผสานความเข้มแข็งทางปัญญาเข้ากับความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเห็นอกเห็นใจ เขาเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในความเป็นไปได้ของสันติภาพที่ยั่งยืน แม้ในบริบทที่เปราะบางและท้าทายที่สุด เขานำพาความหวังมาสู่ชุมชนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง ผลงานบุกเบิกของเขาซึ่งโดดเด่นด้วยงานวิจัยที่ก้าวหน้าผสมผสานกับการมีส่วนร่วมในเชิงปฏิบัติอย่างถึงลูกถึงคนในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยากลำบากยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้สร้างสันติภาพทั่วโลก”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
ยุติโจมตีพลเรือน เดินหน้าเจรจา เพื่อดับไฟใต้
การพูดคุยสันติภาพในภาคใต้: ความเสี่ยงของการถอยกลับ (1)
ปัญหาการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือต่อรอง กับความเสี่ยงของการถอยกลับ