ThaiPBS Logo

เปิดไทม์ไลน์เขียน รธน. ใหม่ เทียบแก้ ม.256 ฉบับ พท. – ปชน.

13 ก.พ. 256807:41 น.
เปิดไทม์ไลน์เขียน รธน. ใหม่ เทียบแก้ ม.256 ฉบับ พท. – ปชน.
  • ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคเพื่อไทยและฉบับพรรคประชาชน ที่จะเข้ารัฐสภา วันที่ 13 – 14 ก.พ. 2568 นี้
  • ทั้งสองร่างมีจุดประสงค์เพื่อแก้ ม.256 และเพิ่มหมวด 15/1 ทำให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตได้ง่ายขึ้น (ผ่านการลดเงื่อนไข สว.) รวมถึงเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น (ผ่านการมี สสร. จากการเลือกตั้งทั้งหมด)
  • ทั้งสองฉบับยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกันหลายประการ เช่น รูปแบบการเลือกตั้ง ระยะเวลาการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การล็อกไม่ให้แก้ในบางหมวด กระบวนการรัฐสภาหลังจากที่มีการร่างเสร็จเรียบร้อย
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน มีจุดประสงค์เพื่อแก้ ม.256 และเพิ่มหมวด 15/1 ทำให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตได้ง่ายขึ้น แต่ยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกันในหลายประเด็น

แม้หนทางในการแก้รัฐธรรมนูญยังอีกยาวไกล แต่ยังไม่ถึงขั้นสิ้นหวัง ในวันที่ 13 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับ ได้แก่ ฉบับพรรคเพื่อไทย (เสนอโดยวิสุทธิ์ ไชยณรุณ และคณะ) และ ฉบับพรรคประชาชน (เสนอโดยพริษฐ์ วัชรสินธุ และคณะ) จะเข้าสู่รัฐสภาซึ่งมีทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.)

โดยทั้ง 2 ร่างมีสาระสำคัญหลักที่ตรงกันคือ การแก้ไขมาตรา 256 (หลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ) และการเพิ่มหมวด 15/1 (การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่) เพื่อปลดล็อกการจัดทำรัฐธรรมนูญให้ง่ายขึ้น และเปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จากการเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งหากผ่านไปได้จะถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่ประเทศไทยมี สสร. จากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

 

“แก้ไขยาก – ประชาชนไม่มีส่วนร่วม” สองเหตุผลทำไมต้องแก้ไข รธน.

 

ทั้ง 2 พรรคการเมือง ระบุเหตุผลในการแก้มาตรา 256 ในทิศทางเดียวกันว่า มาตรา 256 เดิมในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 นี้ มีหลักเกณฑ์ที่เข้มงวด เช่น ในฉบับของพรรคเพื่อไทย ระบุว่าในการพิจารณา วาระ 1 ขั้นรับหลักการ ต้องอาศัยเสียง สว. เห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือในวาระที่ 3 ขั้นสุดท้าย ก็ต้องอาศัยเสียงเห็นชอบจาก สส.จากพรรคที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯ เห็นชอบไม่น้อยกว่า 20% และต้องอาศัยเสียง สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ด้วยเงื่อนไขที่เข้มงวดดังกล่าวดังกล่าวทำให้รัฐธรรมนูญปัจจุบันยากที่จะแก้ไข ไม่สอดคล้องกับลักษณะของรัฐธรรมนูญที่ควรเปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามทันสถานการณ์ประเทศ-โลก

นอกจากนี้ ทั้งสองฉบับ ระบุถึงเหตุผลในการเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อจัดให้มี สสร. จากการเลือกตั้ง เปิดทางจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับที่ประชาชนมีส่วนร่วม เนื่องจากฉบับปัจจุบันมีที่มาที่ไปจากคณะรัฐประหาร บทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยและความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

 

 

เทียบแก้ ม.256: เปิดทางแก้ รธน. ง่ายขึ้น

 

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 256 ระบุถึงหลักเกณฑ์และวิธีการแก้รัฐธรรมนูญ โดยสามารถแบ่งวิธีที่รัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญออกเป็น 3 ขั้น ได้แก่

  • ขั้น 1 เสนอแก้ไข
  • ขั้น 2 พิจารณา 3 วาระ ได้แก่
    • วาระ 1 ขั้นรับหลักการ
    • วาระ 2 ขั้นพิจารณา
    • วาระ 3 ขั้นสุดท้าย
  • ขั้น 3 ก่อนประกาศใช้

โดยในภาพรวม ทั้งฉบับพรรคเพื่อไทยและฉบับพรรคประชาชนมีการแก้ไขเพื่อลดเงื่อนไขต่าง ๆ ลง เพื่อให้แก้รัฐธรรมนูญได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะเงื่อนไข สว. โดยในหลายจุดมีการระบุว่าต้องอาศัยเสียง สว. เพื่อให้ผ่านด่านไปได้

 

ขั้น 1 เสนอแก้ไข : ลดเงื่อนไข สส. – รัฐสภา เสนอง่ายขึ้น

ในการเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ระบุว่าต้องมาจาก

  • คณะรัฐมนตรี หรือ
  • ประชาชนไม่น้อยกว่า 50,000 คน หรือ
  • สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวน สส. (100 คน) หรือ
  • สส. + สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนทั้งสองสภา (140 คน)

 

โดยในฉบับแก้ไขทั้งของสองฉบับเสนอลดจำนวนขั้นต่ำในการเสนอญัตติ เพื่อให้อาศัยเสียงในการเสนอลดลง เพื่อให้เสนอญัตติได้ง่ายมากขึ้น โดยปรับลดจาก 1 ใน 5 เป็น 1 ใน 10 หรือลดลงครึ่งหนึ่ง ได้แก่

  • สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวน สส. (50 คน) หรือ
  • สส. + สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนทั้งสองสภา (70 คน)

โดยยังคงเงื่อนไข ครม. และประชาชน 50,000 คน เหมือนเดิม

 

ขั้น 2 พิจารณา 3 วาระ : เปลี่ยนเงื่อนไขเสียง สว.

ในขั้นตอนนี้แบ่งออกเป็น 3 วาระ

วาระ 1 ขั้นรับหลักการ

ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย จากเดิมที่ต้องอาศัยเสียงของ

  • สส. + สว. ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งสองสภา (350 คน) และ
  • สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวน สว. (67 คน)

ภาพรวมทั้งสองฉบับพยายามตัดหรือเปลี่ยนเงื่อนไขของ สว. โดยในของฉบับพรรคเพื่อไทยเป็นการตัดออกเลย เหลือเพียงเงื่อนไขเดียว คือ

  • สส. + สว. ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งสองสภา (350 คน) เท่านั้น

แต่ฉบับของพรรคประชาชน ใช้วิธีการเปลี่ยนจากเงื่อนไข สว. เป็นเงื่อนไข สส. คือ

  • สส. + สว. ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งสองสภา (350 คน) และ
  • สส. ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวน สว. (334 คน)

วาระ 2 ขั้นพิจารณา

ทั้งสองฉบับไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขแต่อย่างใด ยังคงเงื่อนไขเดิมคือ

  • สส. + สว. เสียงข้างมากรับหลักการ (350 คน)
  • กรณีประชาชนเป็นผู้เสนอ ต้องให้ผู้แทนประชาชนเสนอความเห็นด้วย
  • รอ 15 วัน ค่อยพิจารณาวาระ 3

วาระ 3 ขั้นสุดท้าย

ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย มีการกำหนดเงื่อนไขไว้อย่างเข้มงวดและยากต่อการแก้ไข ได้แก่

  • สส. + สว. มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งสองสภา (351 คน) และ
  • สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 (67 คน) และ
  • สส. จากพรรคที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งใน ครม. ประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯ ไม่น้อยกว่า 20%

ฉบับพรรคเพื่อไทยเสนอให้เหลือเงื่อนไขเดียวคือ

  • สส. + สว. มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งสองสภา (351 คน)

ส่วนฉบับพรรคประชาชน ตัดเงื่อนไขพรรคฝ่ายค้านออก และเปลี่ยนจากเงื่อนไข สว. เป็นเงื่อนไข สส. (เช่นเดียวกับวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ) คือ

  • สส. + สว. มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งสองสภา (351 คน)
  • สส. ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวน สว. (334 คน)

 

ขั้น 3 ก่อนประกาศใช้ : ลดประเด็นทำประชามติ

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ระบุหากแก้ไขในประเด็นดังต่อไปนี้ ก่อนจะขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย จะต้องทำประชามติก่อน ถ้าเห็นชอบจึงจะดำเนินการทูลเกล้าฯ ถวาย ได้ ประกอบด้วย

  • หมวด 1 บททั่วไป
  • หมวด 2 พระมหากษัตริย์
  • หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
  • เรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดํารงตําแหน่งต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ
  • เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออํานาจของศาลหรือองค์กรอิสระ
  • เรื่องที่ทําให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติตามหน้าที่หรืออํานาจได้

โดยฉบับพรรคเพื่อไทย ได้ตัดบางประเด็นออก เหลือเพียง 3 ประเด็นเท่านั้นที่ต้องทำประชามติก่อน ได้แก่

  • หมวด 1 บททั่วไป
  • หมวด 2 พระมหากษัตริย์
  • หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

ในขณะที่ฉบับพรรคประชาชน เหลือเพียงประเด็นเดียวเท่านั้นที่ต้องทำประชามติ

  • หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

จะเห็นได้ว่า ฉบับพรรคเพื่อไทยยังมองว่าการแก้ไขหมวด 1 และ 2 ยังต้องทำประชามติอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับหมวด 15/1 ในมาตรา 256/9 วรรค 4 เสนอ โดยพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ต้องการให้มีการแก้ไขหมวด 1 และ 2 โดยระบุว่า “การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 และหมวด 2 ของราชอาณาจักรไทยจะกระทำมิได้” ซึ่งหากกระทำจะถือว่า “ร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันตกไป” ตามวรรค 5 ในมาตราเดียวกัน

 

ขั้น 3 ก่อนประกาศใช้ : เพิ่มจำนวนคนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ก่อนนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย สส. สว. หรือสมาชิกรัฐสภา (สส. + สว.) จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของแต่ละสภา แล้วแต่กรณี หรือคิดเป็น

  • สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 (50 คน) หรือ
  • สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 (20 คน) หรือ
  • สส. + สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 (70 คน)

ทั้ง 3 กลุ่มนี้ อาจเสนอความเห็นต่อประธานสภาที่ตนเป็นสมาชิกหรือประธานรัฐสภา ว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขัดต่อมาตรา 255 (เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง หรือรูปแบบรัฐ) หรือต้องทำประชามติก่อนหรือไม่ โดยประธานสภาดังกล่าวจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความให้เสร็จภายใน 30 วัน

ทั้งฉบับของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนเพิ่มเงื่อนไขจำนวนขั้นต่ำ ใช้จำนวนคนเสนอความเห็นมากขึ้น จากไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 เป็นไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 (เพิ่มขึ้น 2 เท่า) เป็น

  • สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 (100 คน) หรือ
  • สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 (40 คน) หรือ
  • สส. + สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 (140 คน)

 

ขั้น 3 ก่อนประกาศใช้ : ตัด “วันรอก่อนทูลเกล้าฯ ถวาย”

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 256 (7) ระบุหลังสภาลงคะแนนเสียงในวาระที่ 3 ขั้นสุดท้าย ให้รอ 15 วันก่อนนำร่างแก้ไขขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ในขณะที่ฉบับพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนตัดจำนวนวันออก ทำให้ไม่ต้องรอ 15 วัน

 

เทียบเพิ่มหมวด 15/1 : เปิดทาง สสร. จากเลือกตั้ง 100%

กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ อาจแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนใหญ่ ได้แก่

  1. เลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนนูญ (สสร.) และรับรองผลการเลือกตั้ง
  2. ประชุมครั้งแรก รวมถึงตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
  3. กระบวนการรัฐสภา
  4. ออกเสียงประชามติ และประกาศผล

ทั้ง 2 พรรคเสนอแก้ไขหมวด 15/1 เพื่อเปิดทางจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ อย่างไรก็ตาม เงื่อนไข ไทม์ไลน์ และขั้นตอนการจัดทำมีความแตกต่างกันทั้งในส่วนของรายละเอียด และระยะเวลาที่ใช้

 

เลือกตั้ง สสร. 200 คน ภายใน 60 วัน : พท. แบ่งตามจังหวัดล้วน – ปชน. แบ่งจังหวัดและบัญชีรายชื่อ

ภายหลังจากที่ข้อเสมอแก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 ประกาศใช้ จะถือว่า “มีเหตุแห่งการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่” จะต้องเลือกตั้ง สสร. ภายใน 60 วัน โดยทั้งสองฉบับกำหนดจำนวน สสร. ไว้ที่ 200 คนเท่ากัน และมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเหมือนกัน โดยแตกต่างกันที่รูปแบบการเลือกตั้ง โดยของฉบับพรรคประชาชน มีการเพิ่มการสมัครในรูปแบบบัญชีรายชื่่อ (ลักษณะคล้ายการเลือกตั้ง สส. บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค)

  • ฉบับพรรคเพื่อไทย : มาจากการเลือกตั้งโดยตามจังหวัดทั้ง 200 คน โดยใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง
  • ฉบับพรรคประชาชน : จำนวน 200 คน แบ่งเป็น
    • มาจากการเลือกตั้งตามจังหวัด 100 คน โดยใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง สมัครเป็นรายบุคคล
    • มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน โดยใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง สมัครเป็นทีม ทีมละ 20 – 100 คน เรียงลำดับผู้สมัครในแต่ละทีม

ความแตกต่างอีกจุดหนึ่งคือภาระหน้าที่ของ สสร. ที่ต้องรับผิดชอบ ของฉบับพรรคเพื่อไทยจะมีแค่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่เท่านั้น ในขณะที่ของพรรคประชาชนมีการจัดทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมด้วย

  • ฉบับพรรคเพื่อไทย : จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใน 180 วันนับตั้งแต่ประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก
  • ฉบับพรรคประชาชน : มีอำนาจและหน้าที่
    • จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใน 360 วันนับตั้งแต่ประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก
    • จัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ที่ถูกกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

หลังจากการเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองฉบับระบุว่า กกต. จะต้องรับรองผลภายใน 15 วัน หลังเลือกตั้ง (โดยฉบับพรรคประชาชนกำหนดเพิ่มเติมว่าต้องประกาศรายชื่อในราชกิจจานุเบกษา ภายใน 5 วันหลัง กกต. รับรองผล)

 

ประชุม : ตั้ง กมธ. ยกร่างฯ – พท. ระบุห้ามแก้หมวด 1 และ 2

ภายหลัง กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย จะเข้าสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เริ่มต้นจากการเปิดประชุมนัดแรก ซึ่งพรรคประชาชนกำหนดวันให้เริ่มประชุมเร็วกว่าของฉบับพรรคเพื่อไทยครึ่งเดือน (15 วัน) ดังนี้

  • ฉบับพรรคเพื่อไทย : ประชุมครั้งแรกภายใน 30 วัน หลังประกาศผล
  • ฉบับพรรคประชาชน : ประชุมครั้งแรกภายใน 15 วัน หลังประกาศผล

นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในเรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ

  • ฉบับพรรคเพื่อไทย : ตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างฯ 47 คน โดยมาจาก
    • สสร. 24 คน และ
    • ผู้เชี่ยวชาญคนนอก 23 คน (ผ่านการเสนอชื่อโดย สส. จำนวน 12 คน, สว. จำนวน 5 คน และ ครม. จำนวน 6 คน)
  • ฉบับพรรคประชาชน : ตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างฯ อย่างน้อย 45 คน โดยมาจาก
    • สสร. อย่างน้อย 2 ใน 3 และ
    • ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์คนนอก ไม่เกิน 1 ใน 3

 

จะเห็นว่าของฉบับพรรคเพื่อไทยมีสัดส่วนจาก สสร. จากการเลือกตั้ง 50% นอกจากนี้ยังล็อกให้ สส. สว. และ ครม. สามารถเสนอชื่อผู้เชี่ยวชาญเข้ามานั่งในคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ได้ ในขณะที่ฉบับพรรคประชาชนมีสัดส่วน สสร. เป็นคณะกรรมาธิการยกร่างฯ มากกว่าที่ 66.67% และไม่ได้ล็อกว่าผู้เชี่ยวชาญต้องมีที่มาที่ไปจากไหนเหมือนฉบับพรรคเพื่อไทย

ทั้งสองฉบับมีการกำหนดข้อห้ามไว้อย่างชัดเจน โดยของฉบับพรรคเพื่อไทยไม่ให้แก้หมวด 1 และ 2 ส่วนของฉบับพรรคประชาชนไม่ได้ล็อกหมวดอะไรไว้ ระบุเพียงไม่ให้เปลี่ยนแปลงการปกครองหรือรูปแบบของรัฐ

  • ฉบับพรรคเพื่อไทย : แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ไม่ได้ หากรัฐสภาวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญมีการแก้ไขให้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันตกไป
  • ฉบับพรรคประชาชน : เปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ ไม่ได้

ระยะเวลาในการร่างให้แล้วเสร็จ ห่างกันถึง 6 เดือน (180 วัน)

  • ฉบับพรรคเพื่อไทย : ร่างเสร็จภายใน 180 วัน หลังประชุมวันแรก
  • ฉบับพรรคประชาชน : ร่างเสร็จภายใน 360 วัน หลังประชุมวันแรก

เมื่อร่างเสร็จแล้วจะมีการนำเสนอต่อรัฐสภาต่อไป

 

กระบวนการรัฐสภา : พท. รัฐสภาลงมติได้ – ปชน. แสดงความเห็นได้อย่างเดียว

กระบวนการในรัฐสภาเป็นอีกจุดต่างหนึ่งที่สำคัญ โดยฉบับพรรคเพื่อไทยมีการให้รัฐสภาลงมติเห็นชอบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญตกไปได้ ในขณะที่ฉบับพรรคประชาชนไม่มีการลงมติ มีเพียงการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น

  • ฉบับพรรคเพื่อไทย : รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบภายใน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับร่าง
    • หากมีความเห็นให้แก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่ให้ความเห็นชอบ ให้ส่งร่างกลับไปยังสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมหรือลงมติยืนยันด้วยเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของ สสร. (134 คน) ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้ร่างคืน จากนั้นส่งคืนให้ประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นและส่งให้ กกต.
    • หากสภาร่างรัฐธรรมนูญไม่ลงมติยืนยันด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ภายใน 30 วัน จะถือว่าร่างรัฐธรรมนูญตกไป และให้ร่างใหม่ให้เสร็จภายใน 90 วัน
  • ฉบับพรรคประชาชน : รัฐสภาอภิปรายแสดงความคิดเห็น ไม่มีการลงมติ ภายใน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับร่าง

ทั้งสองฉบับระบุเมื่อกระบวนการรัฐสภาเสร็จสิ้นเรียบร้อย ให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ กตต. เพื่อจัดกำหนดวันออกเสียงประชามติ

  • ฉบับพรรคเพื่อไทย : ส่งให้ กกต. โดยไม่ชักช้า (ไม่ได้กำหนดว่าต้องส่งให้ กกต. ภายในกี่วัน)
  • ฉบับพรรคประชาชน : ส่งให้ กกต. ภายใน 7 วัน

 

ออกเสียงประชามติ : ภายใน 90 – 120 วัน – มีเสรีภาพแสดงความเห็น

ทั้งสองฉบับระบุให้ กกต. กำหนดวันออกเสียงประชามติไม่เร็วกว่า 90 วัน แต่ไม่ช้ากว่า 120 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญจากรัฐสภา

นอกจากนี้ ทั้งฉบับพรรคเพื่อไทยและฉบับพรรคประชาชน ระบุให้มีการเผยแพร่เนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญผ่านช่องทางต่าง ๆ และประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แตกต่างจากตอนออกเสียงประชามติในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่มีการปิดกั้นและดำเนินคดีผู้ที่ออกมารณรงค์ให้ Vote NO โดยระบุดังนี้

  • ฉบับพรรคเพื่อไทย : “…โดยให้ผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญได้แสดงความคิดเห็นโดยเสรีภาพภายใต้กรอบกฎหมาย”
  • ฉบับพรรคประชาชน : “…โดยคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนทุกคน รวมทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญอย่างเสมอภาค”

 

รวมระยะเวลา : พท. 1 ปี 3 เดือน – ปชน. 1 ปี 9 เดือน

กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ของพรรคประชาชนจะเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดช้ากว่าของพรรคเพื่อไทย ประมาณ 6 เดือน

  • ฉบับพรรคเพื่อไทย :
    • เลือกตั้ง สสร. ภายใน 60 วัน หลังมีเหตุแห่งการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
    • กกต. รับรองผล ภายใน 15 วัน หลังเลือกตั้ง
    • ประชุมครั้งแรก ภายใน 30 วัน หลังประกาศผล
    • ร่างเสร็จ ภายใน 180 วัน หลังประชุมครั้งแรก ส่งให้รัฐสภา
    • รัฐสภาลงมติ ภายใน 30 วัน หลังจากได้รับ ส่งให้ กกต.
    • กกต. กำหนดวันออกเสียงประชามติ ภายใน 90 – 120 วัน
    • กตต. ประกาศผลประชามติ ภายใน 15 วัน หลังออกเสียง
    • รวม 450 วัน (ประมาณ 1 ปี 3 เดือน) กรณีร่างฯ ไม่ได้ตกไประหว่างทาง
  • ฉบับพรรคประชาชน :
    • เลือกตั้ง สสร. ภายใน 60 วัน หลังมีเหตุแห่งการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
    • กกต. รับรองผล ภายใน 15 วัน หลังเลือกตั้ง
    • ประชุมครั้งแรก ภายใน 15 วัน หลังประกาศผล
    • ร่างเสร็จ ภายใน 360 วัน หลังประชุมครั้งแรก ส่งให้รัฐสภา
    • รัฐสภาแสดงความเห็น ภายใน 30 วัน หลังจากได้รับ
    • รัฐสภาส่งให้ กกต. ภายใน 7 วัน หลังแสดงความเห็น
    • กกต. กำหนดวันออกเสียงประชามติ ภายใน 90 – 120 วัน
    • กตต. ประกาศผลประชามติ ภายใน 15 วัน หลังออกเสียง
    • รวม 622 วัน (ประมาณ 1 ปี 9 เดือน)

 

จับตากฎหมายที่เกี่ยวข้อง : พ.ร.บ.ประชามติฯ แขวนไว้ 180 พ้นกลาง มิ.ย. 68

นอกเหนือจากร่างแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ และเพิ่มเติมหมวด 15/1 นี้ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ผ่านและใช้บังคับ จะมีการตรา พ.ร.ก. ให้มีการรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิก สสร. ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ และจะถือว่าเป็น “เหตุแห่งการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่” ซึ่งจะต้องมีการเลือกตั้ง สสร. ภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ

นอกเหนือจากร่างแก้ไขนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ในวันที่ 18 ธ.ค. 2567 สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่เห็นชอบ กับร่าง พ.ร.บ. ประชามติฯ ที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาเสร็จแล้ว เนื่องจากได้ข้อสรุปเรื่องเสียงข้างมาก 2 ชั้น (Double Majority) ซึ่งต้องมีผู้มาใช้สิทธิ์เกินครึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีผู้โหวตเห็นชอบเกินครึ่งของผู้ใช้สิทธิ ทำให้ สส. ยับยั้งร่าง พ.ร.บ. ประชามติฯ ไว้ 180 วัน เพื่อรอประกาศใช้ได้ ซึ่งจะพ้นกำหนดในวันที่ 17 มิ.ย. 2568

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

แก้รัฐธรรมนูญ

รัฐบาลแถลงนโยบายว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 โดยจะมีการจัดทำประชามติ ตามแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้วินิจฉัยมา โดยจะยึดถือการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลัก

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: