เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 68 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งบังคับโทษจำคุก 1 ปี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ มาจาก 3 ประเด็นหลัก คือ การส่งตัวนายทักษิณ จำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำไม่ได้เป็นไปตามระเบียน ราชทัณฑ์ และ อาการป่วยไม่ได้ฉุกเฉิน รพ.ราชทัณฑ์ สามารถรักษาได้
ขณะที่บังคับโทษไม่เป็นไปตามกฎหมาย โดยการที่รักษาตัวใน รพ.ตำรวจ ถือว่าจำเลยได้ประโยชน์ จึงไม่อาจถือระยะเวลาในการรักษาตัวใน รพ.ตำรวจ เป็นระยะเวลาของโทษจึงต้องบังคับโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ
สำหรับคดีคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ เริ่มขึ้นนับจากวันที่ 22 ส.ค. 2566 นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับไทย หลังลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศนานกว่า 17 ปี ก่อนจะมีการนำตัวไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยศาลได้แจ้งคำพิพากษารวม 3 คดี มีโทษจำคุกรวม 8 ปี
จากนั้นได้นำตัวนายทักษิณ ส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นกลุ่มเปราะบางอายุเกิน 60 ปี มีโรคประจำตัวที่ต้องเฝ้าระวัง เบื้องต้นกักตัว 10 วันที่แดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำ ต่อมากลางดึก นายทักษิณมีอาการป่วยกำเริบ แน่นหน้าอก-ความดันขึ้นสูง จึงมีการส่งตัวรักษาต่อที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ และรักษาต่อเรื่อยมา
กระทั่งวันที่ 31 ส.ค. 2566 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชหัตถเลขา ตามที่นายทักษิณ ได้ยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ความว่าเคยดำรงตำแหน่งนายกฯ ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ มีความจงรักภักดี ยอมรับการกระทำผิดและสำนึกในความผิด และขณะนี้อายุมาก มีปัญหาสุขภาพ
ซึ่งความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึงพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษเหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี เพื่อจะได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ช่วยเหลือและทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคม และประชาชน
อย่างไรก็ตาม สังคมได้ตั้งข้อสงสัย อาการป่วยของนายทักษิณ ว่าอาจจะเป็นการป่วยทิพย์เพื่อไม่ให้มีการเข้าไปรับโทษในเรือนจำ โดยเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.ประชาธิปัตย์ เข้ายื่นคำร้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไต่สวนกรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้นายทักษิณไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ ไม่ถูกจำคุกตามคำพิพากษา แต่ศาลฎีกาฯ ยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่านายชาญชัย ไม่ใช่ผู้เสียหายของคดีดังกล่าว โดยใช้อำนาจศาลฎีกาฯ พิจารณาคดี ที่อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุก ซึ่งศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร
ศาลฏีกาฯไต่สวนพยาน ๓๑ ปาก
กระทั่งเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2568 เมื่อ เวลา 10 นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บค 1/2568 กรณีศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนว่าการบังคับโทษพันตำรวจโท หรือนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมือคดีถึงที่สุดในคดีหมายเลขแดงที่อม 4/2551 คดีหมายเลขแดงที่ออม 5/2551 และคดีหมายเลขแดง ที่อม 10/2552 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่
โดยให้โจทก์จำเลย ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นคำชี้แจงข้อเท็จจริง
โจทก์ จำเลย ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นคำชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลพร้อมเอกสารประกอบ
ทั้งนี้ศาลได้ไต่สวนพยาน 31 ปาก โดยคดีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่า ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจำเลย หรือไม่ เห็นว่าการไต่สวนเพื่อตรวจสอบว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่ มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองไว้ ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ข้อ 61 วรรคสอง
ศาลฯมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษจำเลย
แม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 แต่การนำตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำด้วย
มิใช่ว่า เมื่อเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือกรมราชทัณฑ์ใช้อำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วจะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาล ดังนั้นหากความปรากฏแก่ศาลว่าอาจมีการ บังคับโทษผู้ต้องขังในคดีนี้ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นศาลที่มีคำพิพากษาและออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดย่อมมีอำนาจไต่สวน และตรวจสอบว่า การที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ
และอธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จำเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำ ต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัวเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และ เป็นการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89 หรือไม่
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า การไต่สวนของศาลเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งของศาลที่ให้ยกคำร้องเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 หรือไม่ เห็นว่า ที่มาของประเด็นที่ศาลนี้ได้วินิจฉัย ตามที่ นายชาญชัยยื่นคำร้องมาก่อนหน้านี้ทั้งสองฉบับก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดี ตามคำร้องฉบับแรกที่ยื่นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ว่า เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้องฉบับที่สองที่ยื่นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า กรณีตามคำร้องที่ยื่นมีการทุเลาการบังคับโทษตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 หรือไม่
ส่วนที่มาแห่งประเด็นแห่งคดีของการไต่สวนครั้งนี้ กำหนดประเด็นการไต่สวนตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรณีอาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล ซึ่งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้มาก่อน
ทั้งการไต่สวนของศาลก็ไม่ได้อาศัยเนื้อหาตามคำร้องของนายชาญชัยแต่อย่างใด การดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในชั้นนี้ จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลตามคำร้องทั้งสองฉบับ
ส่งตัวรักษานอกเรือนจำ ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ราชทัณฑ์
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า มีการบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่
ศาลได้ไต่สวนข้อเท็จจริง ในวันที่ 22 สิงหาคม 2567 หลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับตัวจำเลยไว้ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้นำ ตัวจำเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมีแพทย์ประจำทัณฑ์สถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ตรวจร่างกายจำเลยขณะรับตัวและสรุปประวัติการรักษาโรคของจำเลยจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลต่างประเทศ รวม 10 โรค
อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่มีเพียง โรคที่แพทย์ประจำทัณฑ์สถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เห็นว่าจำเลยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและโรคหัวใจเนื่องจากทัณฑ์สถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง และ โรคไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากทัณฑ์สถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีคลินิกโรคตับ จึงมีความเห็นว่าจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ
แต่อยู่ในภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน สอดคล้องกับความเห็นของศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา
แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวร ว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เวลา 22 นาฬิกา จำเลยแจ้งว่ามีอาการ อ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง วัดความดันโลหิตจำเลยได้ 178/8 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย 36 องศาเซลเซียส พยาบาลเวรทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไป รักษาตัวนอกเรือนจำ
หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจำเลยไปที่ทัณฑ์สถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนดังกล่าว และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ห่างจาก เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเพียง 200 เมตร ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และ กฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับขั้นตอนดังนี้
กล่าวคือ เมื่อผู้ต้องขังป่วยต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็วตามมาตรา 55 วรรคหนึ่ง ประกอบกฎกระทรวงดังกล่าวข้อ 2 วรรคหนึ่ง หากแพทย์เห็นว่าผู้ต้องขังรักษาตัวในสถานพยาบาลของเรือนจำแล้วจะไม่ทุเลาดีขึ้น และแพทย์ พยาบาล หรือ เจ้าพนักงานเรือนจำ ซึ่งผ่านการอบรมด้านการพยาบาล เสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจำ พาผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำจึงให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้
การส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563
ป่วยฉุกเฉิน รพ.ราชทัณฑ์ สามารถรักษาได้
นอกจากนี้ การส่งตัวจำเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำแบบฉุกเฉิน เนื่องจากจำเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุม ว่า
เมื่อส่งตัวจำเลยไปถึงโรงพยาบาลตำรวจได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา (มภร.) ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจว่า ด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขัง หรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วย ของโรงพยาบาลตำรวจ พ.ศ. 2557 ที่กำหนดแนวทางการตรวจรักษาในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไว้ในข้อ 53 ว่าในกรณีนอกเวลาราชการ แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุจะเป็นผู้ให้การตรวจ รักษา และกำหนดแนวทางการรับตัวผู้ป่วยคดีไว้ในห้องผู้ป่วยไว้ในข้อ 6.2 ว่า ให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วย ที่โรงพยาบาลตำรวจจัดไว้
สำหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่น ประกอบกับได้ความเห็นจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์ และศาสตราจารย์นายแพทย์ไชยรัตน์ ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจำเลยในคืนที่รับตัวสรุปได้ ว่า
เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา เอกสารหมาย ศ.2 แผ่นที่ 14 และที่ 15 พบว่าในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ที่มีการส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และ ไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจำเลยในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 หรือ หลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว และได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น และนายแพทย์พงศ์ภัค ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ
สรุปได้ว่า ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลม และยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจ ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถ รักษาได้ ไม่จำต้องส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ
เชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอกแต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ
นอกจากนี้ยังได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัยและนายแพทย์พงศ์ภัคอีกว่า อาการของจำเลยตามที่ระบุในเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจนับแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไปนั้น ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจำเลยได้
ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ พันตำรวจเอกนายแพทย์ชนะ ก็เบิกความยืนยันว่า อาการของจำเลย ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 จำเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ จึงเห็นได้ว่า อาการแน่นหน้าอกของจำเลยหากเกิดขึ้นจริงดังที่จำเลยอ้าง อาการของจำเลยก็ทุเลาดีขึ้น และจำเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป
พบไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลัง
สำหรับการรักษาจำเลยที่โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่วันที่๒ สิงหาคม๒๕๖๖ จนถึงวันที่จำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 นั้น
แพทย์โรงพยาบาลตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่ 15 กันยายน 2566 วันที่ 18 ตุลาคม 2566 และวันที่ 21 ธันวาคม 2566 เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน 60 วัน และ 220 วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ
ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งฉีกขาด เพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ และ มิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจ และ การผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม แพทย์เคยเสนอจำเลยให้ผ่าตัด ภายหลังจากจำเลยอยู่โรงพยาบาลตำรวจแต่จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจำเลยแต่อย่างใดจนกระทั่งจำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจ
การบังคับโทษจำคุกไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริง หรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่า ตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน แต่จำเลยมีเพียงโรคประจำตัว ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ และ สภาวะร่างกายของจำเลยเอง
นอกจากนั้นยังได้ความว่า จำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ และโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลัง และเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการ และเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยในโรงพยาบาลตำรวจขยายระยะเวลาออกไป
สั่งจำคุก 1 ปี ไม่รวมระยะเวลารักษาตัวชั้น 14
จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลย เพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จำเลยเหลือโทษจำคุกต่อไป อีก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับการลดโทษ
และต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2566 แต่หามีผลทำให้การบังคับโทษจำคุกจำเลย สิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการ พักการลงโทษจำเลยจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ จำเลย จึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง