สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) วิเคราะห์ปัญหาความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ในรายงาน การวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนแลความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยปี 2567 โดยชี้ให้เห็นว่า “เงาสะท้อนความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรมยุคดิจิทัล: เมื่ออาชญากรรมออนไลน์ไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี”
รายงานดังกล่าวระบุว่าความก้าวหน้าทางดิจิทัล ได้ก่อให้เกิดภัยคุกคามรูปแบบใหม่ คือ อาชญากรรมออนไลน์ ที่สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและสภาพจิตใจของผู้เสียหาย แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งจะพบว่า ปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของไทย
3 รูปแบบมิจฉาชีพหลอกลวงมากที่สุด
รูปแบบของอาชญากรรมออนไลน์ในปัจจุบันมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงให้ลงทุน การซื้อขายสินค้าที่ไม่ตรงตามจริง หรือการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อนำไปใช้ในทางมิชอบ สะท้อนจากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center : AOC) ในช่วงวันที่ 1 พ.ย.66 ถึง 31 ต.ค.67 พบว่า ช่องทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากที่สุด ได้แก่
- เว็บไซต์ สร้างความเสียหายถึง 1,148 ล้านบาท จาก 16,510 คดี
- คอลเซ็นเตอร์ (Call Center) มูลค่าความเสียหาย 945 ล้านบาท จาก 22,299 คดี
- เฟซบุ๊ก (Facebook) สร้างความเสียหาย 718 ล้านบาท จาก 26,804 คดี
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถิติ แต่อาจเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของใครบางคน อนาคตทางการศึกษาของบุตรหลาน และความมั่นคงในชีวิตที่สูญสลายในชั่วพริบตา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เหยื่อเป็นกลุ่มเปราะบาง-ขาดความรู้
ทั้งนี้ รายงานประจำปี 2567 ของศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ (ศชอ.) ภายใต้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ระบุว่า จำนวนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์มีจำนวน 35,358 เรื่อง ลดลงร้อยละ 21.76 จากปี 2566 ที่มีจำนวน 45,190 เรื่อง
อย่างไรก็ตามปัญหาหลักยังคงวนเวียนอยู่กับการหลอกลวงรูปแบบเดิม ๆ ซึ่งมักพุ่งเป้าไปยังกลุ่มที่มีความเปราะบาง หรือขาดความรู้เท่าทันทางเทคโนโลยี โดยปัญหาที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด คือ การซื้อขายสินค้าออนไลน์ เช่น ได้รับสินค้าที่ไม่ตรงตามโฆษณา หรือไม่ได้รับสินค้าเลย จำนวน 15,050 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 42.56 รองลงมาคือ เว็บไซต์ผิดกฎหมาย เช่น เว็บไซต์พนัน เว็บไซต์แอบอ้างหรือปลอมแปลงตัวตนเพื่อหลอกขายสินค้า จำนวน 11,371 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 32.16 และการหลอกให้ลงทุนหรือทำงานออนไลน์จำนวน 1,564 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 4.42
ความเหลื่อมล้ำในศูนย์ AOC 1441
การจัดตั้งศูนย์ AOC และการเปิดสายด่วน 1441 เป็นมาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์โดยให้บริการแบบเบ็ดเสร็จตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งสามารถดำเนินการอายัดบัญชีม้าได้ภายในเวลาเฉลี่ยเพียง 10 นาที อันเป็นการยับยั้งความเสียหายเบื้องต้นได้อย่างทันท่วงที และช่วยลดภาระของประชาชนในการประสานงานกับธนาคารด้วยตนเอง
มาตรการเชิงรุกดังกล่าวส่งผลให้สถิติการแจ้งความคดีออนไลน์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปลายปี 2567 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหลายพันคดีต่อเดือน สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิผลของมาตรการดังกล่าวในระดับหนึ่ง แต่การเข้าถึงบริการนี้เป็นเพียง “ก้าวแรก” ในกระบวนการยุติธรรมที่ยังคงเต็มไปด้วยอุปสรรคซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ระบบที่ซับซ้อนและไม่เท่าเทียมปัญหาสำคัญที่ยังคงซ่อนอยู่ในกระบวนการยุติธรรมดิจิทัล คือ ต้นทุนในการเข้าถึงความเป็นธรรมซึ่งแตกต่างกันไปตามเศรษฐฐานะและความสามารถของประชาชนแต่ละกลุ่ม ดังนี้
1.ความเหลื่อมล้ำด้านข้อมูล ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะทราบถึงการมีอยู่ของเบอร์สายด่วน 1441 หรือเข้าใจขั้นตอนการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ประชากรในพื้นที่ห่างไกล หรือผู้ที่มีระดับการศึกษาไม่สูง มักมีแนวโน้มจะตกเป็นเหยื่อได้ง่าย และมักเลือกที่จะปล่อยผ่าน เพราะรู้สึกว่ายุ่งยากและซับซ้อนเกินกว่าจะต่อสู้
2.ภาระการพิสูจน์ที่ตกอยู่กับผู้เสียหาย ถึงแม้จะสามารถอายัดบัญชีได้อย่างรวดเร็ว แต่การดำเนินคดีในชั้นต่อไปยังต้องอาศัยหลักฐานจากผู้เสียหาย ซึ่งต้องใช้ทั้งเวลา ความรู้ และทรัพยากรจำนวนมาก แต่สำหรับประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ การจะต้องลางานเพื่อไปให้การกับตำรวจ หรือเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี ถือเป็นภาระที่เกินกว่ากำลังจะรับได้
3.ความเสียหายเล็กน้อยที่ไม่ถูกนับรวม โดยคดีที่มีมูลค่าความเสียหายไม่มาก เช่น มูลค่าหลักร้อยหรือหลักพันบาท มักไม่ได้รับความสนใจในระบบกระบวนการยุติธรรม แม้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้เสียหายบางราย ดังนั้นการดำเนินคดีที่ใช้ต้นทุนสูงเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้รับ ทำให้เหยื่อต้องจำใจยอมรับความสูญเสีย
4.การเยียวยาที่ยังมาไม่ถึง การอายัดบัญชีเป็นเพียง “การหยุดยั้ง” ความเสียหายในเบื้องต้น แต่ไม่ใช่ “การเยียวยา” ที่แท้จริง เพราะการจะได้ทรัพย์สินกลับคืนมา ต้องผ่านกระบวนการฟ้องร้องทางแพ่งที่ซับซ้อน ใช้ระยะเวลานาน และมีค่าใช้จ่ายสูง โดยหลายกรณีต้องอาศัยความช่วยเหลือจากทนายความ ส่งผลให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้าไม่ถึงกระบวนการดังกล่าว และจำต้องยุติความคาดหวังไว้เพียงแค่การเห็นผู้กระทำผิดถูกดำเนินคดีทางอาญา โดยไม่สามารถกู้คืนทรัพย์สินที่สูญเสียไปได้
อาชญากรรมออนไลน์เป็นบททดสอบสำคัญของกระบวนการยุติธรรมไทย การมีอยู่ของศูนย์ AOC และความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นความก้าวหน้าในการสร้างกลไกป้องกันที่มีประสิทธิภาพ แต่หากต้องการยกระดับจากการป้องกัน ไปสู่การสร้างหลักประกันแห่งความยุติธรรมที่ครอบคลุมทุกกลุ่มประชาชนอย่างแท้จริง
ภาครัฐจำเป็นต้องลดต้นทุนแฝงในการเข้าถึงความยุติธรรม โดยให้ความรู้ทางกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรม สร้างช่องทางการให้คำปรึกษาทางกฎหมายที่เข้าถึงง่าย พัฒนาระบบติดตามคดีออนไลน์ที่มีความโปร่งใสและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ตลอดจนปรับปรุงกลไกการเยียวยาความเสียหายสำหรับคดีเล็กน้อย ให้สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูง เพื่อให้มั่นใจว่าในยุคที่สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากแรงขับเคลื่อนของเทคโนโลยีดิจิทัล จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และความยุติธรรมจะไม่ใช่สิทธิพิเศษสำหรับคนบางกลุ่มอีกต่อไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: