“ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ”
การประกาศผ่านเฟซบุ๊ก ของ “อนุทิน ชาญวีรกุล” นายกรัฐมนตรี เมื่อเวลา 22.05 น. ของคืนวันที่ 11 ธ.ค.68 เป็นที่ชัดเจนว่า กระบวนการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. เป็นอันยุติลง เนื่องจากการประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรี
การประชุมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 มีข้อถกเถียงหลักในมาตรา 256/28 ว่าด้วยการมีเงื่อนไขใช้เสียง สว. 1 ใน 3 เพื่อเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ หรือการคงอำนาจ สว.ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่นำมาสู่การประกาศยุบสภา
การฟื้นอำนาจสว.ในการโหวตรัฐธรรมนูญใหม่ ทำให้ที่ประชุมรัฐใช้เวลาในการอภิปรายข้อถกเถียงดังกล่าว โดยความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ทิศทาง โดยกลุ่ม สว. สีน้ำเงิน เห็นควรให้คงเงื่อนไขใช้เสียง สว. 1ใน 3 ในการโหวตเห็นชอบรัฐธรรมนูญ ขณะที่ พรรคประชาชน ต้องการให้ใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งรัฐสภา ตามที่คณะกรรมาธิการมีมติไปก่อนหน้านั้น
สว.สีน้ำเงิน ยก 4 เหตุผลคงอำนาจ วุฒิสภา
สว. กลุ่มใหญ่ ที่มักจะถูกเรียกว่า “ สว. สีน้ำเงิน” ต้องการให้คงอำนาจของ สว. “ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3” ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของวุฒิสภา ในการผ่านความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ภายหลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ กรรมาธิการเสียงข้างมาก ได้ตัดเงื่อนไขดังกล่าวออกไปให้มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของ 2 สภา
ตาม มาตรา 256/28 (ฉบับ กมธ.เสียงข้างมาก) กำหนดให้มติเห็นชอบของรัฐสภา “ต้องได้เสียง เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา หรือต้องมีเสียงสมาชิกรัฐสภา 351 คน จากสมาชิก 700 คน หรือ จากสส. 500 คน สว. 200 คน โดยไม่เงื่อนไขระบุว่าต้องมีคะแนนเห็นชอบจาก สว. 1 ใน 3 ของจำนวน สว. หรือ 67 คน จากทั้งหมด 200 คน
พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์ สว. และ กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า การคงอำนาจ 1 ใน 3 ของ สว. ในการผ่านร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อรักษาดุลยภาพแห่งอำนาจโครงสร้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นหัวใจสำคัญของการแบ่งแยกอำนาจที่แตะต้องไม่ได้
1. เพื่อให้ สว. ทำหน้าที่เป็น เบรกนิรภัยให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะถ้าตัดเสียง สว. 1 ใน 3 ออกไปจะปูทางสู่เผด็จการรัฐสภา เกิดประเด็นพวกมากลากไป ทำให้แก้กติกาอะไรก็ได้โดยไร้คนคันค้าน
โดยระบุว่า สส. เป็นเหมือนคันเร่งทำงานให้ประชาชนอย่างรวดเร็ว แต่ สว. ทำหน้าที่เป็น เบรก หากตัดเสียง สว. ออก เท่ากับกำลังขับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์แรงจัด แต่ไร้ระบบเบรก ต้องถามว่ามีใครกล้าขับรถยนต์ที่มีแต่คันเร่ง ไม่มีเบรกได้หรือไม่
2.การกำหนดเงื่อนไข 1 ใน 3 ไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็นหลักประกันคุณภาพว่าการแก้ไขกติกาประเทศได้ผ่านการกลั่นกรองหลักวิชาการ ไม่ใช่ผ่านเพราะมติพรรคสั่งมาให้ดำเนินการ
3 .การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามทฤษฎีต้องแก้ไขยาก แต่รัฐธรรมนูญ 2560 มีฉันทามติเสียงมหาชน 16 ล้านเสียงที่รับรอง ในการทำประชามติ การตัดอำนาจของ สว. ส่วนนี้ จึงเท่ากับเป็นการละเลยสิ่งที่ประชาชนเห็นชอบมา
4 .อำนาจ สว.มี ความชอบด้วยกฎหมายและผูกพันตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในคำวินิจฉัยที่ 4/2564 และ 18/2568 ยืนยันว่า ต้องมี สว. เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ถึง 4 ครั้ง ดังนั้น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีผลผูกพันทุกองค์กร การร่างโดยขัดหรือแย้งเจตนารมณ์ที่ศาลวางหลักแบ่งแยกอำนาจไว้ อาจนำไปสู่ปัญหาความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในอนาคต และทำให้กระบวนการที่ทำมาทั้งหมดสูญเปล่า
ขณะที่ สว. เสียงข้างน้อย อภิปรายคัดค้านการคงอำนาจ 1 ใน 3 ของสว. คือ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส โดยเห็นว่า การมอบอำนาจให้ สว. ไม่ใช่การถ่วงดุล แต่เป็นการขโมยอำนาจไปให้กลุ่มก๊วนที่ฮั้วกันมาตามที่ทราบกันดี จึงอยากชวน สว. ให้ลงมติสนับสนุน กมธ.เสียงข้างมาก เพื่อกู้ภาพลักษณของวุฒิสภา
“ภูมิใจไทย” โหวตหนุนคงอำนาจ สว,
หลังการใช้เวลาถกเถียงมาตรา 256/28 อำนาจ สว. ที่ประชุมรัฐสภาได้ลงมติ 2 ครั้ง โดยครั้งแรก ฝ่ายที่เห็นว่าควรมีเงื่อนไข สว. 1 ใน 3 ชนะโหวตด้วยคะแนน 312 ต่อ 290 เสียง
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เสนอให้นับคะแนนอีกครั้ง เนื่องจากผลโหวตแพ้ชนะหากกันไม่เกิน 30 คะแนน ทำมให้ รัฐสภาเริ่มลงมติอีกครั้งด้วยวิธีการขานชื่อ
แต่การโหวตครั้งที่สอง ฝ่ายที่เห็นว่าควรมีเงื่อนไข สว.1 ใน 3 ชนะโหวต มีมติ 329 ต่อ 302 โดยมี สส. พรรคภูมิใจไทย (ภท.) พรรคร่วมรัฐบาล และ สว. ร่วมโหวตสนับสนุนการคงอำนาจของวุฒิสภาเอาไว้
ทั้งนี้ ก่อนการลงมติ “ณัฐพงษ์” หัวหน้าพรรคประชาชน ประกาศ เรียกร้องให้ยุบสภา หากให้คงเสียง 1 ใน 3 ของ สว. ต่อไป เพราะไม่สามารถยอมรับให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้เดินไปได้ ผมคงต้องร้องขอให้นายกฯ ยุบสภา
ขณะที่มีกระแสข่าวว่า สส. ฝ่ายค้าน ทั้งเพื่อไทยและประชาชนได้ล่ารายชื่อ สส. เพื่อเตรียมญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151
กระทั่ง ต่อมาในเวลา 22.05 น. นายอนุทินโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ”
เส้นทางร่างกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ย้อนรอยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนที่จะมีการประกาศยุบสภา นับจาก พรรคประชาชน และ พรรคภูมิใจไทย ลงนาม MOA แก้ไข รัฐธรรมนูญ ขณะที่วันที่ 10 ก.ย. 68 ศาล รธน.วินิจฉัยจัดทำ รธน.ใหม่ ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 และ 2 ทำพร้อมกันได้ ชี้รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกคนร่าง รธน. ได้โดยตรง
การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงต้องออกแบบภายใต้คำวินิจฉัยศาล รธน. ตามไทมไลน์ดังนี้
- 14-15 ต.ค. 68 การประชุมร่วมรัฐสภาวาระแรก พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วย สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 3 ฉบับ ที่เสนอโดยพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย มีเพียงร่างของพรรคประชาชนและภูมิใจไทยเท่านั้น ที่เข้าสู่ชั้นกรรมาธิการร่วมของ 2 สภา เพื่อปรับรวมเนื้อหาให้ร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลักด้วยคะแนนเสียง 300 คะแนน ขณะที่ร่างของพรรคภูมิใจไทยได้ 287 คะแนน เป็นร่างประกบในการพิจารณา
- 20 ต.ค. 68 วันแรกของการประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฯ (กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ) มีข้อถกเถียงสำคัญคือ ทำอย่างไรให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญหรือ สสร. ให้ได้มากที่สุด แต่ต้องเป็นไปในทางอ้อมเพื่อไม่ให้ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
- 10-11 ธ.ค. 68 ประชุมสภาเพื่อพิจารณาในวาระ 2 จากนั้นรัฐสภาจะนำญัตติเรื่องประชามติขึ้นมาพิจารณา เพื่อให้ส่งคำถามประชามติคำถามที่หนึ่งให้กับรัฐบาลซึ่งถามว่าประชาชนเห็นชอบที่จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
- 11 ธ.ค. 68 หลังจากที่สมาชิกรัฐสภามีมติเสียงข้างมากในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256/28 ว่าด้วยการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญของรัฐสภา ให้มีเงื่อนไขใช้เสียงเห็นชอบของ สว. จำนวน 1 ใน 3 ของวุฒิสภา จนนำมาสู่การประกาศยุบสภา ซึ่งเป็นเหตุให้พรรคประชาชนจะยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
รัฐสภาเห็นชอบส่งคำถามประชามติ
แม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไปไม่ถึงฝั่ง แต่รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ “คำถามประชามติ ครั้งแรก” และแจ้งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติต่อไป
5 ญัตติ 5 คำถาม ประกอบด้วย
- นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว. : “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
- พรรคภูมิใจไทย : ท่านเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่หรือไม่”
- พรรคเพื่อไทย : ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
- พรรคประชาชาติ : “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
- พรรคประชาชน : “ท่านเห็นชอบที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”
ท้ายที่สุดที่ประชุมรัฐสภามีมติ 494 ต่อ 1 เสียง เห็นด้วยให้ส่ง “คำถามที่ 1” ไปให้ ครม. ดำเนินการต่อไป งดออกเสียง 9 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ขอให้รัฐสภาพิจารณาคำถามประชามติว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อส่งให้ ครม. ดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติครั้งแรก
อ้างการเมืองภายใน เหตุผล ยุบสภาฯ
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 12 ธ.ค ซึ่งถือเป็น เนื้อหาการขอยุบสภาที่มีใจความยาว หากเที่ยบกับการประกาศยุบในรัฐบาลที่ผ่านมา
เนื้อหาพ.ร.ฎ. ยุบสภาผู้แทนราษฎร ระบุเหตุผลการยื่นขอยุบสภา ว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ ให้ประกาศว่า ด้วยนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลฯ ว่า ตามที่รัฐบาลได้เข้ารับหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2568 โดยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งประกอบด้วยพรรคการเมืองหลายพรรคเข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล แต่มิได้มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
ในระหว่างที่ประเทศได้เผชิญความท้าทายหลายประการเพราะความไม่แน่นอนรอบด้านทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และภูมิรัฐศาสตร์ของโลก รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
รัฐบาลได้เร่งดำเนินการทุกวิถีทางในการบริหารราชการแผ่นดินให้สามารถแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศที่รุมเร้าให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็ว รวมทั้งมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยและสันติสุขให้เกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง อันจะนำพาการเมืองการปกครองของประเทศให้ก้าวหน้า เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน อาทิ การผลักดันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การเร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า การขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและชุมชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ
การช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ การป้องกันและปราบปรามบ่อนการพนัน การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยไซเบอร์ และการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ การเร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง รวมทั้งกำหนดมาตรการในการดำเนินการเพื่อรองรับและลดผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน
แต่การบริหารราชการแผ่นดินจำเป็นต้องมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม โดยที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่มีปัญหารุมเร้าในหลาย ๆ ด้าน ส่งผลให้รัฐบาลไม่อาจบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพ หากปล่อยให้สภาวการณ์เป็นอยู่เช่นนี้ย่อมจะเกิดความไม่มั่นคงทางการเมืองและกระทบต่อความเชื่อมั่นของนานาประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ อันจะนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อระบบรัฐสภาและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในที่สุด
ทางออกที่เหมาะสมคือการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป อันเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชนเจ้าของอำนาจสูงสุดโดยเร็ว เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และให้ได้มาซึ่งรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากและมีเสถียรภาพที่ได้รับอาณัติที่ชอบธรรมจากประชาชน เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปโดยราบรื่นและเรียบร้อยสืบไป
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 103 และมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้มีการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไปในวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศกำหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันที่ พ.ร.ฎ. นี้ใช้บังคับ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:


