ขณะเดียวกันองค์กรอาชญากรรมพัฒนาทักษะและเทคนิคในการก่ออาชญากรรมของตัวเอง แบ่งงานกันทำ แยกออกเป็นหน่วยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยแต่ละหน่วยจะเชื่อมต่อประสานกันเป็นเครือข่ายแบ่งฝ่ายในการทำงาน
เช่น ฝ่ายอุปกรณ์ (ออกแบบเว็บไซต์) ฝ่ายจัดหาทรัพยากร (ข้อมูลส่วนบุคคล ซิมผี บัญชีม้า) ฝ่ายปฏิบัติการ (ผู้ควบคุมงาน เทรนงาน พนักงานหลอกลวงที่อิงตามสัญชาติเหยื่อ) และฝ่ายการเงิน (ผู้คุมคนกดเงินออก คนฟอกเงิน) ทำให้สามารถก่ออาชญกรรมในระดับใหญ่แบบพร้อม ๆ กันได้ ในระดับข้ามชาติ ระบบนี้ ถูกเรียกว่า ระบบนิเวศอาชญากรรมออนไลน์ (cybercrime ecosystem) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ในการขจัดวงจรอาชญากรออนไลน์ จึงไม่สามารถปล่อยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อสู้เพียงลำพังได้ เพราะระบบนิเวศอาชญากรรมนั้นสัมพันธ์กับโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคมดิจิทัล เครือข่ายข้ามพรมแดน จึงต้องสร้างความร่วมกันระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือระหว่างประเทศภายในอาเซียนเพื่อจัดการกับแหล่งกบดานของอาชญากร ซึ่งในวันที่ 17 ธ.ค. 68 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สสส. ได้จัดงานสัมมนาวิชาการ มาตรการรับมืออาชญากรรมออนไลน์
มาตรการรับมืออาชญากรรมออนไลน์
นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยสถิติความเสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์ว่ามียอดพุ่งสูงถึงเกือบ 100 ล้านบาท และได้วิเคราะห์ว่า มาตรการปัจจุบันยังก้าวตามไม่ทันพลวัตของอาชญากร โดยเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาผ่าน 3 ระยะสำคัญ คือ
การยกระดับมาตรการเชิงรุกก่อนเกิดเหตุ (Prevention) หัวใจสำคัญคือการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากมิจฉาชีพใช้ข้อมูลที่รั่วไหลจากหน่วยงานต่าง ๆ มาสร้างบทพูด (Script) ในการหลอกลวงได้อย่างแม่นยำ
ข้อเสนอคือต้องบังคับใช้กฎหมาย PDPA อย่างจริงจังและมีการตรวจสอบระบบความปลอดภัยข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ในทางเศรษฐศาสตร์จำเป็นต้อง “เพิ่มต้นทุนในการทำความผิด” โดยเฉพาะการกวดขันเรื่องซิมม้าและบัญชีม้าให้มิจฉาชีพเข้าถึงได้ยากและมีราคาสูงขึ้นจนไม่คุ้มต่อการลงทุน
การสร้างระบบอัตโนมัติในสงครามความเร็ว (Detection & Intervention) ในช่วงขณะเกิดเหตุ “ความเร็ว” คือตัวกำหนดโอกาสในการได้เงินคืน ปัจจุบันแม้กฎหมายจะให้อำนาจธนาคารระงับบัญชีได้ทันที แต่กระบวนการสื่อสารระหว่างธนาคารยังมีความล่าช้า
นวลน้อย ตรีรัตน์ มีข้อเสนอให้เปลี่ยนจากระบบที่ต้องใช้พนักงานกดยืนยัน มาเป็นการใช้ “ระบบอัตโนมัติ” (Automated Interbank Communication) ที่สามารถส่งสัญญาณระงับบัญชีปลายทางเป็นทอด ๆ ได้ทันที เพื่อให้ทันต่อวงจรการโอนเงินที่เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
การเยียวยาแบบเบ็ดเสร็จและความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน (Recovery) เมื่อเกิดความเสียหายแล้ว มาตรการต้องครอบคลุมทั้งการตัดวงจรฟอกเงินในสินทรัพย์ดิจิทัลและการเยียวยาจิตใจเหยื่อที่มีอาการ PTSD โดยต้องจัดตั้งศูนย์บริการแบบ One-stop Service เพื่อลดภาระของประชาชน
ประเด็นสำคัญที่สุดคือการเสนอให้สถาบันการเงินต้องมี “ส่วนร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหาย” หากพบว่าระบบมีช่องโหว่หรือละเลยการตรวจสอบพฤติกรรมบัญชีม้าที่ผิดปกติ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ภาคธนาคารยกระดับการป้องกันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
การฟอกเงินและการปรับตัวของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ปัจจุบันมิจฉาชีพไม่ได้ใช้เพียง “บัญชีม้า” บุคคลธรรมดา แต่พัฒนาไปสู่การใช้ “บัญชีนิติบุคคล” โดยการจดทะเบียนบริษัทบังหน้าและจ่ายภาษีเพื่อให้เงินดูสะอาดขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแตกเงินเป็นก้อนเล็กเพื่อเลี่ยงระบบตรวจจับ ก่อนจะแปลงเป็น สินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งโอนย้ายข้ามพรมแดนได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านระบบธนาคารปกติ
ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์จึงผูกติดอย่างแนบแน่นกับปัญหาความมั่นคงชายแดน ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่อับกฎหมาย ฐานปฏิบัติการมักตั้งอยู่ในพื้นที่ที่กฎหมายไทยไปไม่ถึง แต่โครงสร้างพื้นฐาน อย่างไฟฟ้า สัญญาณมือถือ และอินเทอร์เน็ต จากไทยกลับส่งไปถึง เมื่อมีการกดดันจากรัฐ มิจฉาชีพจะปรับตัวไปใช้ อินเทอร์เน็ตดาวเทียม หรือกระจายตัวเป็นฐานย่อยในเมืองหลวงเพื่อพรางตัว
ทศพล ทรรศนพรรณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า วงจรการฟอกเงินของแก๊งเหล่านี้เปลี่ยนไปจากเดิม
“เป้าหมายสูงสุดของอาชญากรรมไซเบอร์คือ “เงิน” และเมื่อได้เงินมาแล้วสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือ “การตัดเส้นทาง” เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ติดตามได้ ในอดีตเราอาจจะเห็นการโอนเข้าบัญชีม้าแถวที่ 1 แถวที่ 2 แล้วก็ถอนเงินสดออก แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่แค่นั้น
ปัจจุบันพบว่า เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Hybrid Money Laundering” หรือการฟอกเงินแบบผสมผสานครับ ทันทีที่เงินถูกหลอกโอนเข้าบัญชีม้าแถวที่ 1 มันจะถูกแตกออกเป็นก้อนเล็ก ๆ ทันทีครับเพื่อหลบเลี่ยงระบบการตรวจจับของธนาคารที่มักจะแจ้งเตือนเมื่อมียอดโอนสูง ๆ จากนั้นเงินเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยัง “บัญชีนิติบุคคล” ครับ นี่คือการปรับตัวที่สำคัญ มิจฉาชีพหันมาใช้การจดทะเบียนบริษัทบังหน้าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และใช้การจ่ายภาษีบังหน้าเพื่อให้เงินดูสะอาดขึ้น ก่อนที่จะแปลงเงินเหล่านี้เป็น “สินทรัพย์ดิจิทัล” หรือ USDT ซึ่งเป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในวงการสีเทาครับ”
ทศพล ทรรศนพรรณ ย้ำว่า เหตุผลที่ต้องเป็น USDT เพราะมีราคาคงที่และโอนข้ามพรมแดนได้โดยไม่ต้องผ่านระบบ SWIFT ของธนาคาร เมื่อแปลงเป็น Crypto แล้ว เงินเหล่านี้จะไปโผล่ที่ไหนก็ได้ในโลก บางครั้งถูกนำไปฟอกผ่านการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ หรือการลงทุนในคาสิโนตามแนวชายแดน
จุดนี้เองที่ทำให้การติดตามเงินกลับมาคืนผู้เสียหายนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเราไม่มีความร่วมมือระดับสากลที่เข้มข้นกว่านี้
เจ้าของบัญชีม้า จากเหยื่อสู่ผู้ต้องหา
ปัจจุบันวงจรบัญชีม้ามีลำดับขั้นและราคาที่ต่างกัน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ “ม้าสมัครใจ” ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจที่นำบัญชีไปขายผ่านกลุ่มโซเชียลมีเดียเพื่อแลกเงิน และที่น่ากังวลกว่าคือ “ม้าถูกหลอก” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการเงินกู้หรือสวัสดิการรัฐ แต่ถูกมิจฉาชีพหลอกเอาข้อมูลไปเปิดบัญชี กลุ่มนี้จึงกลายเป็นอาชญากรในสายตาของกฎหมายทันที แม้ว่าจะไม่ได้เจตนา
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาไปสู่ “บัญชีม้านิติบุคคล” ที่จดทะเบียนบริษัทบังหน้าเพื่อใช้ในการรับเงินจำนวนมากโดยไม่ให้ธนาคารสงสัย
อนรรฆ พิทักษ์ธานิน นักวิจัยจากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีบัญชีม้าว่า
“บัญชีม้าในวันนี้มีลำดับขั้นที่ซับซ้อนขึ้นมาก เราไม่ได้มีแค่ชาวบ้านเดินไปเปิดบัญชีที่ธนาคารแล้วรับเงิน 500 บาทเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ตอนนี้มีทั้ง “ม้าสมัครใจ” กับ “ม้าถูกหลอก”
ม้าสมัครใจส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเปราะบางทางเศรษฐกิจ หรือคนที่มีปัญหาหนี้สินนอกระบบ กลุ่มนี้จะถูกเข้าถึงผ่านโซเชียลมีเดีย มีกลุ่มเฟซบุ๊ก กลุ่มไลน์ที่ประกาศรับสมัครงานบังหน้า หรือบอกตรง ๆ เลยว่ารับซื้อบัญชีพร้อมซิมการ์ด ซึ่งราคามันพุ่งสูงขึ้นตามระดับความน่าเชื่อถือของบัญชี ถ้าเป็นบัญชีที่เดินบัญชีมานาน (บัญชีออมสินหรือบัญชีที่ดูสะอาด) ราคาอาจจะสูงถึง 3,000 – 5,000 บาทเลยทีเดียว
แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่าคือ “ม้าถูกหลอก” หรือกลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อซ้ำซ้อน เช่น กลุ่มคนที่ต้องการกู้เงินออนไลน์ แล้วมิจฉาชีพหลอกว่าต้องขอชื่อและข้อมูลบัญชีเพื่อไปทำเรื่องกู้ หรือหลอกให้เปิดบัญชีเพื่อรับเงินสวัสดิการต่าง ๆ และกลายเป็นอาชญากรในสายตาของกฎหมายทันที เมื่อเงินจากเหยื่อรายอื่นโอนเข้ามาถึง นี่คือโศกนาฏกรรมทางเศรษฐกิจที่คนจนถูกทำให้เป็นอาชญากรโดยที่เขาไม่ได้มีเจตนาจะร่วมขบวนการตั้งแต่แรก”
ความท้าทายทางกฎหมายและการพิสูจน์ผู้ต้องหา
แม้มีความพยายามติดตามและปรับปรุงกฎหมาย นโยบาย และการกำกับดูแล ให้เท่าทันสถานการณ์ปัญหา เช่น พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดมาตรฐาน Mobile banking security และแนวนโยบายการบริหารจัดการภัยทุจริตทางการเงิน ในเดือน มี.ค. 66 มาตรการจัดการบัญชีม้า ในเดือน พ.ค. 67
พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ที่กำหนดโทษไว้อย่างรุนแรงนั้น ในทางปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายยังเผชิญอุปสรรคเรื่องการพิสูจน์เจตนา ระหว่างผู้ที่ถูกหลอกกับผู้ที่สมัครใจขายบัญชี เนื่องจากบทลงโทษที่เท่ากันทำให้ชาวบ้านที่เป็นปลายแถวมักถูกจับกุม ในขณะที่ “นายหน้าม้า” หรือตัวการใหญ่ยังคงลอยนวล เพราะมีความเชี่ยวชาญในการพรางตัวผ่านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล
ทางด้าน กฤษฎา ใจแก้วทิ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวถึงกฎหมายนี้ว่า แม้ พ.ร.ก. นี้จะเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญของกฎหมายไทย ที่กำหนดความผิดเรื่องการ “เปิดบัญชีม้า” และ “จัดหาบัญชีม้า” ไว้ชัดเจน มีโทษจำคุกและปรับที่ค่อนข้างสูง
แต่ปัญหาที่พบจากการบังคับใช้กฎหมายคือ การพิสูจน์เจตนาว่าผู้ที่ถูกจับมานั้นเขามีเจตนาขายบัญชีจริง ๆ หรือเขาถูกหลอกมา เพราะบทลงโทษมันเท่ากัน ในทางปฏิบัติเราพบว่า มิจฉาชีพตัวจริง หรือ “นายหน้าม้า” (Agent) มักจะลอยนวล เพราะพวกเขาใช้เทคโนโลยีพรางตัวเก่งมาก แต่คนที่ถูกจับมานั่งอยู่ที่โรงพักคือชาวบ้านที่เป็นปลายแถวของวงจร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บัญชีม้านิติบุคคล” เพราะมิจฉาชีพใช้วิธีจ้างคนไปจดทะเบียนบริษัท แล้วใช้ชื่อบริษัทเปิดบัญชีธนาคาร บัญชีพวกนี้ธนาคารมักจะไม่ค่อยสงสัยในช่วงแรกเพราะดูเหมือนมีการทำธุรกิจจริง มียอดเงินเข้าออกสูงได้โดยไม่ผิดสังเกต
กฎหมายอาจจะต้องพัฒนาไปคุมเข้มการจดทะเบียนนิติบุคคลที่ไม่มีสถานประกอบการจริงให้มากขึ้น รวมถึงความร่วมมือกับแพลตฟอร์มอย่างเทเลแกรม (Telegram) ที่เป็นแหล่งซื้อขายบัญชีม้าขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันเรายังเข้าไปจัดการได้ยากมาก
ภัยคุกคามออนไลน์ยุค AI และการใช้ AI ต่อสู้
เนื่องจากอาชญากรรมไซเบอร์ได้ก้าวเข้าสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้มิจฉาชีพทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นภายใต้ต้นทุนที่ต่ำลง
สุพจน์ เธียรวุฒิ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กล่าวว่า ในอดีตแก๊งคอลเซ็นเตอร์อาจจะต้องใช้คนจำนวนมากในการนั่งโทรศัพท์ หรือพิมพ์แชทหลอกลวง ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องภาษาและทรัพยากรบุคคล แต่ปัจจุบันเนี่ยเขาใช้สิ่งที่เรียกว่า Generative AI เข้ามาช่วย 2 อย่างที่ทำให้มิจฉาชีพทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“อย่างแรกที่น่ากลัวมากคือ “Deepfake Voice” ที่สามารถเลียนเสียงใครก็ได้ โดยใช้ตัวอย่างเสียงเพียงแค่ 3-5 วินาทีเท่านั้น ซึ่งดูดมาจากคลิปที่โพสต์ลงโซเชียล แล้วเขาก็เอามาโทรหาญาติคุณ บอกว่าเกิดอุบัติเหตุบ้าง หรือต้องการความช่วยเหลือด่วน ซึ่งปลายสายเนี่ยฟังยังไงก็เป็นเสียงลูกหลานจริง ๆ ครับ สิ่งนี้ทำให้ความเชื่อใจมันถูกสร้างขึ้นได้ในทันที
อย่างที่สองคือ “AI Chatbots” ที่มีความฉลาดมาก สามารถโต้ตอบแชทกับเหยื่อได้พร้อมกันเป็นหมื่น ๆ คนในเวลาเดียวกัน โดยที่ใช้ภาษาที่สละสลวย ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และมีการใช้จิตวิทยาหว่านล้อมที่ถูกตั้งโปรแกรมมาอย่างดี ซึ่งตรงนี้ทำให้ปริมาณของเหยื่อเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ กล่าวได้ว่า ต้นทุนของโจรลดลงเหลือเกือบศูนย์ แต่ประสิทธิภาพมันเพิ่มขึ้นมหาศาล”
ด้วยเหตุนี้ รุ่งโรจน์ กิตติถาวรกุล สำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้เสนอการใช้ AI เป็นเครื่องมือยุติวงจรมิจฉาชีพว่า สิ่งที่จะต้องทำและเร่งทำให้เข้มข้นขึ้นคือการสร้าง Threat Intelligence Platform คือต้องมีการแชร์ข้อมูลของมิจฉาชีพร่วมกันแบบเรียลไทม์
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีการตรวจพบ Deepfake Voice หรือรูปแบบการแชทที่เป็นแพทเทิร์นของมิจฉาชีพในระบบหนึ่ง ข้อมูลนี้ต้องถูกส่งต่อไปยังเครือข่ายธนาคารและผู้ให้บริการโทรคมนาคมทันที
นอกจากนี้ยังต้องใช้ AI ในการตรวจจับสิ่งที่เรียกว่า “Behavioral Biometrics” คือพฤติกรรมการกดมือถือ การพิมพ์ หรือความเร็วในการโอนเงิน ซึ่งถ้ามันผิดปกติไปจากพฤติกรรมเดิมของเจ้าของบัญชี ระบบจะทำการ Intervene หรือแทรกแซงทันที เช่น อาจจะให้สแกนหน้าซ้ำ หรือให้ตอบคำถามยืนยันตัวตนที่ซับซ้อนขึ้น เพื่อถ่วงเวลาให้มิจฉาชีพทำงานได้ยากขึ้น

เช่นเดียวกับ นครินทร์ อมเรศ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการใช้ AI ในภาคธนาคารว่า ภาคธนาคารได้ยกระดับการป้องกันผ่านระบบ Fraud Detection โดยใช้ AI และ Machine Learning ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ รวมถึงระบบ Central Fraud Registry ที่แชร์ข้อมูลบัญชีดำระหว่างธนาคารแบบเรียลไทม์ และมาตรการสแกนใบหน้าที่เข้มข้นขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสูงสุดยังคงเป็นเรื่อง “ความเร็ว” ของโจร และการใช้อารมณ์ข่มขู่ที่ทำให้เหยื่อยอมทำธุรกรรมหรือให้รหัสผ่านด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นจุดที่เทคโนโลยีป้องกันได้ยากที่สุด
“ในมุมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เราให้ความสำคัญกับการสร้าง “Resilience” หรือความยืดหยุ่นของระบบการเงิน มาตรการที่เราออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกการส่งลิงก์ผ่าน SMS การจำกัดจำนวนบัญชี หรือการให้สแกนหน้าเมื่อโอนเงินเกิน 50,000 บาท สิ่งเหล่านี้คือการ “เพิ่มต้นทุน” ให้กับโจร”
และในอนาคตจะมีการสร้าง “Central Fraud Registry” ที่แลกเปลี่ยนข้อมูลระดับเส้นทางการเงิน ระหว่างสถาบันการเงินแบบเรียลไทม์ เพื่อให้เห็นภาพว่า เมื่อเงินถูกโอนออกจากบัญชีเหยื่อ ธนาคารปลายทางต้องได้รับสัญญาณเตือนทันที และสามารถกักเงินก้อนนั้นไว้ได้ก่อนที่จะถูกโอนต่อเป็นบัญชีม้าแถวที่ 2 หรือ 3
นครินทร์ อมเรศ ย้ำว่า “ภาคการเงินยังได้พัฒนาเรื่อง Responsible AI คือการใช้ AI มาช่วยคัดกรองความเสี่ยงโดยไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และต้องมีความแม่นยำสูง เพื่อไม่ให้กระทบกับการทำธุรกรรมปกติของประชาชน อย่างไรก็ตาม ภัยไซเบอร์นั้นไม่มีพรมแดน ภาคธนาคารต้องคุยกับค่ายมือถือ ค่ายมือถือต้องคุยกับตำรวจ และตำรวจต้องคุยกับหน่วยงานต่างประเทศครับ ระบบนิเวศนี้ถึงจะอยู่รอดได้”
ข้อเสนอเชิงนโยบายการตัดโยงใยอาชญากรรมไซเบอร์
ทางด้าน รังสิมันต์ โรม คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ได้เสนอทางออกเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ เป็น 3 ประเด็นดังนี้
- การใช้พื้นที่สีเทาชายแดนที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์มี “ศูนย์สั่งการ” หลักอยู่ตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือพื้นที่คาสิโน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่การบังคับใช้กฎหมายเข้าไม่ถึง อาชญากรกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับทุนสีเทาข้ามชาติและผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ดังนั้นการปราบปรามไม่สามารถทำได้แค่ภายในประเทศ แต่ต้องจัดการกับโยงใยที่พัวพันถึงอิทธิพลนอกกฎหมายเหล่านี้ด้วย
- มาตรการการเปิดบัญชีธนาคารยังคงมีช่องโหว่ มิจฉาชีพจึงสามารถกว้านซื้อบัญชีจากชาวบ้านที่ยากจนในราคาไม่กี่ร้อยกี่พันบาท เพื่อใช้เป็นทางผ่านของเงินที่หลอกลวงมาได้ เงินเหล่านี้ถูกโอนต่อกันเป็นทอด ๆ ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที จนยากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะอายัดได้ทัน ดังนั้นจึงต้องมีระบบ AI และ Data Sharing ระหว่างธนาคารที่ต้องทำงานแบบ Real-time จริง ๆ ไม่ใช่ต้องรอหนังสือราชการไป ๆ มา ๆ ที่ใช้เวลา
- ขณะที่ศูนย์สั่งการขององค์กรอาชญากรรมอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร เช่นเสาสัญญาณโทรศัพท์และสัญญาณอินเทอร์เน็ตนั้นมาจากฝั่งไทย ถูกส่งข้ามพรมแดนไปให้แก๊งเหล่านี้ใช้หลอกลวงคนไทยเอง ดังนั้นรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. ต้องจริงจังในการตัดสัญญาณในจุดเสี่ยง หรือการควบคุมการใช้ซิมการ์ดจำนวนมากที่ผิดปกติ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ข้อมูลคนไทยรั่วไหลง่าย ต้นตอปัญหาสแกมเมอร์
- ขยายคุมเข้มบัญชีม้า ให้แบงก์ร่วมรับผิดชอบ
- ช่องโหว่กระบวนการยุติธรรม เปิดช่องอาชญากรรมออนไลน์




