ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าสูงถึง 20-50% ขณะที่ภาวะอุปทานส่วนเกินกดดันเศรษฐกิจจีนต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกของไทยเผชิญความเสี่ยง ถูกสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 36% หากการเจรจาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ทัน 1 ส.ค.นี้
วิจัยกรุงศรีประเมินกรณีเลวร้ายหากสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้ากับไทยในอัตรา 36% มูลค่าการส่งออกจะหายไปกว่า 1.62 แสนล้านบาท และหากยกเว้นภาษีนำเข้าแก่สหรัฐฯ ไทยอาจเสี่ยงเกิดภาวะ Twin Influx ในวันที่ 7 ก.ค. ไทยได้รับจดหมายจากสหรัฐฯ แจ้งเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราสูงถึง 36% โดยจะมีผลบังคับใช้ใน 1 ส.ค.นี้
หากไม่มีข้อตกลงทางการค้าใหม่เกิดขึ้น ล่าสุดรัฐบาลไทยได้ยื่นข้อเสนอทางการค้าปรับปรุงเพิ่มเติม หลังการเจรจารอบแรกไม่ประสบความความสำเร็จ รวมถึงเร่งขอเจรจาเพื่อต่อรองให้ได้อัตราภาษีที่ลดลงต่ำกว่า 36%
หากสินค้าส่งออกของไทยต้องถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 36% ซึ่งนับเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงในบรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ และสูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งสามารถเจรจาลดอัตราภาษีเหลือ 20% (และ 40% สำหรับสินค้าที่ต้องสงสัยว่าถูกส่งผ่าน)
ในกรณีเลวร้ายนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่ามูลค่าการส่งออกของไทยจะหายไปถึง 1.621 แสนล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มสิ่งทอ เครื่องหนังและรองเท้า อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า อาหารและเครื่องดื่ม ยางและพลาสติก
ส่วนกรณีหากไทยและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงทางการค้าที่มีลักษณะคล้ายกับข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนาม โดยที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 20% ขณะที่ไทยยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอาจรุนแรงน้อยกว่ากรณีที่มีการเรียกเก็บภาษีที่ 36% ถึง 9.3 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าส่งออกที่หายไป 0.174 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ดังกล่าวอาจเป็นการแก้ปัญหาหนึ่ง แต่จะสร้างอีกปัญหาตามมา โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก
คู่แฝดมหาภัย Twin Influx ถล่มเศรษฐกิจไทย
จากแบบจำลองพบว่าในระยะยาวการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นถึง 27%หรือประมาณ 1.883 แสนล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหว อาทิ กลุ่มสินค้าเกษตร และอาหารและเครื่องดื่ม อาจเผชิญกับการหลั่งไหลเข้าของสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรากว่า 100% ขณะที่กลุ่มสินค้าอื่น ๆ เช่น ยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง สิ่งทอ เครื่องหนังและรองเท้า ยางและพลาสติก ก็อาจมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในระดับเลขสองหลักเช่นกัน
การเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯมากขึ้นเพื่อแลกกับการลดภาษีอาจนำไปสู่ภาวะ “Twin Influx” หรือ การไหลทะลักเข้าของสินค้าจากสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการไหลทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ไทย
ในท้ายที่สุด ภาวะ “Twin Influx” อาจบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมที่มีการจ้างงานถึง 28.6% ของกำลังแรงงานในปี 2567
ทั้งนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่รุนแรงขึ้น ประเทศไทยอาจมีทางเลือกตอบโต้ที่จำกัด ดังนั้น จึงควรเร่งขยายตลาดและเจรจาการค้ากับประเทศอื่นๆมากขึ้น และหันมาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาวอย่างจริงจัง เพื่อลดแรงกดดันจากนโยบายการค้าของประเทศแกนหลัก
จีนส่งออกมาในอาเซียนพุ่ง ทะลักไทยมากที่สุด
หลังสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าปรับลดภาษี Reciprocal Tariffs ระหว่างกัน การส่งออกจีนในเดือนมิ.ย.68 กลับมาเติบโตขึ้นครั้งแรกตั้งแต่มี.ค.68 อยู่ที่ 5.8% จาก 4.8% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ด้านการนำเข้าในเดือนมิ.ย.68 พลิกกลับมาเติบโตอยู่ที่ 1.1% จาก -3.4% ส่งผลให้จีนยังเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 114.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การส่งออกจีนไปสหรัฐฯ ชะลอการหดตัวอยู่ที่ -16.1% จาก -34.5% ซึ่งถูกชดเชยด้วยการการส่งออกไปอาเซียนที่ยังเติบโตแข็งแกร่งที่ 16.8% ซึ่งส่วนหนึ่งคาดว่าเกิดจากการเร่งส่งออกก่อนที่ข้อยกเว้นภาษี 90 วันของสหรัฐฯ กับชาติอื่น ๆ ยกเว้นจีนจะจบลง โดยจีนส่งออกมาไทยเติบโตสูงสุดในอาเซียนอยู่ที่ 27.9% รองลงมาคือเวียดนามที่เติบโตที่ 23.8%
ส่งออกจีนครึ่งแรกของปีเติบโตดีกว่าคาดการณ์จากการเร่งส่งออกก่อนข้อยกเว้นภาษี 90 วันกับประเทศอื่น ๆ ยกเว้นจีนจะจบลงในเดือนก.ค.68 อีกทั้งสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงเจรจาการค้ากันได้ใน พ.ค.68
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 การเติบโตของการส่งออกจีนมีแนวโน้มชะลอลง โดยเผชิญความเสี่ยงอีกหลายประการ ดังนี้
- การสิ้นสุดข้อยกเว้นภาษี 90 วันกับประเทศอื่น ๆ เมื่อ 9 ก.ค. 68 ที่ผ่านมา อัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บในประเทศอาเซียนจะกลับมาอยู่ในระดับสูง (เริ่ม 1 ส.ค.68) เช่น ประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 36% ขณะที่ประเทศที่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้อย่างเวียดนามที่ลดภาษีอยู่ที่ 20% ยังเผชิญเงื่อนไขเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ ในเรื่องสินค้าที่ประเทศอื่นส่งออกผ่านเวียดนามที่จะโดนเก็บภาษีที่ 40%
- แม้สหรัฐฯ และจีนจะบรรลุข้อตกลงทางการค้าแต่อัตราภาษีปัจจุบันที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าน าเข้าจีนยังอยู่ในระดับสูงที่ 51.1% ส่งผลให้การส่งออกจากจีนไปสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มหดตัว
- การเรียกเก็บภาษีในรายสินค้าอุตสาหกรรมที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บเพิ่มเติมคาดจะยังมีทยอยออกมาต่อเนื่อง
- แนวทางการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ อาจมีข้อยกเว้น หรือเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับจีนเพิ่มเติม ซึ่งจะกดดันการส่งออกจีนในระยะต่อไป
สหรัฐฯมีแนวโน้มชะลอ-จีนอุปทานส่วนเกิน
เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนขึ้นในครึ่งปีหลัง คาดว่าจะหนุนเฟดปรับลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐฯ ลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ 227,000 รายในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์
รายงานจาก ADP ระบุว่า ธุรกิจเอกชนลดการจ้างงานลงในเดือนมิถุนายน ซึ่งลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่เผชิญความไม่แน่นอน
ความตึงเครียดทางการค้าสูงขึ้นหลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากกว่า 27 ประเทศ ในอัตรา 20–50% รวมถึงการปรับขึ้นภาษีนำเข้าทองแดงที่ 50% โดยจะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม นอกจากนี้ ยังมีแผนขึ้นภาษีนำเข้ายาในอัตราสูงถึง 200% ซึ่งอาจซ้ำเติมห่วงโซ่อุปทานและค่าครองชีพของผู้บริโภค
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้ท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากแรงกดดันด้านการค้า นโยบายจำกัดผู้อพยพ สภาพการเงินที่ตึงตัว และหนี้เอกชนที่สูง จากปัจจัยดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2-3 ครั้ง ในปีนี้
จีนเผชิญแรงกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกินอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายนยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% YoY นานติดต่อกัน 28 เดือน ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตหดตัวแรงขึ้นจาก -3.3% เป็น -3.6% แรงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 สอดคล้องกับกำไรภาคอุตสาหกรรมซึ่งหดตัว -9.1% ในเดือนพฤษภาคมและ -1.1%ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำและดัชนีราคาผู้ผลิตที่ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนถึงปัญหาอุปทานส่วนเกินในภาคการผลิตและภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงฉุดรั้งภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม แม้รัฐบาลพยายามกระตุ้นอุปสงค์ผ่านมาตรการอุดหนุนการแลกซื้อสินค้าใหม่ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
วิจัยกรุงศรีประเมินว่าภาวะอุปทานส่วนเกินของจีนยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่ระดับอุปทานส่วนเกินจะไม่ส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ หากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ กลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง ภาคการส่งออกอาจขยายตัวชะลอลง ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตที่กำลังพึ่งพาอุปสงค์ต่างประเทศมากขึ้นในจังหวะที่อุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
ไทยเจอภาษีสหรัฐฯ 36% เสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยใน 1 ปี
เศรษฐกิจไทยอาการหนัก ส่งออกต่ำ-ท่องเที่ยวซึม
ไทยเสี่ยงเงินฝืด จากภาษีทรัมป์ ฉุดเศรษฐกิจชะลอ สินค้าจีนทะลัก