แม้รัฐบาลไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) ร่วมกับสหรัฐอเมริกาไปแล้วเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา เพื่อยกระดับบทบาทของไทยในฐานะส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานโลก
แต่คำถามสำคัญที่ตามมาคือ ประเทศไทย “พร้อมหรือยัง” ที่จะก้าวสู่การทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements) ซึ่งมีความซับซ้อนและอ่อนไหวต่อสิ่งแวดล้อมสูง
Thai PBS Policy Watch คุยกับ ธนพล เพ็ญรัตน์ ผู้อำนวยการหน่วยภารกิจฐานข้อมูลและระบบดิจิทัล สกสว. ซึ่งบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรายังไม่พร้อมเท่าไหร่ ณ ตอนนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะพร้อมไม่ได้… เราแค่ยังต้องพยายามทำให้ดีกว่านี้ก่อน” ขณะที่ MOU ไทย–สหรัฐ ควรเป็นจุดเปลี่ยนสู่การทำเหมืองอย่างมีความรับผิดชอบ
ซ้ำรอยเหมืองไทย “หางแร่–น้ำทิ้ง” จุดเปราะบางของระบบเดิม
ธนพล เปรียบเทียบ “แร่หายาก” กับเหมืองทองคำหรือเหมืองโลหะทั่วไปว่า แม้ Rare Earth จะไม่ได้มีพิษร้ายแรงเท่าตะกั่ว แคดเมียม หรือสารหนู แต่ความเสี่ยงหลักกลับอยู่ที่ “กระบวนการทำเหมือง” และ “ของเสียที่เหลือจากการถลุง”
“ปัญหาสุดท้ายมันไม่ใช่ตัวแร่ แต่คือ ‘หางแร่’ กับ ‘น้ำทิ้ง’ ที่ออกมาจากกระบวนการทำเหมือง ซึ่งเป็นต้นเหตุของมลพิษสิ่งแวดล้อมในเกือบทุกกรณี ไม่ว่าจะแร่ทองคำ สังกะสี หรือตะกั่ว ถ้ากระบวนการกำกับดูแลยังเหมือนเดิม ผลก็ไม่ต่างกัน”
เขาอธิบายว่า ระบบกฎหมายและการกำกับดูแลเหมืองในไทยยังมีช่องโหว่ในหลายขั้นตอน ทั้งการประเมินความเสี่ยง การเลือกพื้นที่ตั้ง การเฝ้าระวังผลกระทบ และแผนเยียวยาหลังปิดเหมือง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้โครงการเหมืองหลายแห่งยังคงสร้างความขัดแย้งกับชุมชน
“ถ้าเรายังไม่สามารถจัดการเหมืองทองคำหรือตะกั่วได้ดี การทำเหมือง Rare Earth ก็จะซ้ำรอยเดิมแน่นอน”
ศักยภาพแร่หายากในไทย “มี แต่ขุดยาก”
ข้อมูลทางธรณีวิทยาที่กรมทรัพยากรธรณีรวบรวมไว้ชี้ว่า ประเทศไทยมีแหล่งแร่หายากอยู่หลายพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่เป็น “Primary Deposit” หมายถึง แร่ฝังอยู่ในผลึกหินแน่นหนา ต้องทำเหมืองแบบเปิด (Open-Pit Mining) ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการขุดแบบ “Ion-Adsorption Clay” ที่พบในเมียนมา และบางส่วนของจีน
“ของไทยต้องทำเหมืองเปิดเหมือนเหมืองทอง ต่างจากเมียนมา ที่ใช้วิธีฉีดสารสกัดลงใต้ดินแล้วดูดแร่ขึ้นมา ซึ่งง่ายกว่าแต่ก่อปัญหามลพิษระยะยาว เพราะสารเคมีคงค้างในดิน”
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ไทยจะมีแหล่งแร่ที่มีศักยภาพ แต่การสกัดแร่เหล่านี้ต้องใช้เทคโนโลยีและมาตรการควบคุมสูงกว่าพม่า เพราะแร่ฝังแน่นในหินแข็ง ต้องใช้ระเบิดและกระบวนการทางเคมีหลายขั้นตอน จึงมีความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมสูงกว่าที่สาธารณชนเข้าใจ
MOU ไทย–สหรัฐ “โอกาสหรือกับดัก?”
ในมุมมองของ ธนพล มอง MOU ด้านแร่ธาตุสำคัญที่รัฐบาลไทยลงนามกับสหรัฐฯ นั้น มีลักษณะเป็น “ข้อตกลงเชิงยุทธศาสตร์” มากกว่าจะเป็น “ข้อตกลงเชิงสิ่งแวดล้อม”
“มันเป็น MOU ทางธุรกิจมากกว่า… ตอนนี้เรายังไม่เห็นข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมหรือความยั่งยืนของเหมืองในเอกสารนี้เลย ถ้าจะให้ดี ควรใช้โอกาสนี้วาง ‘มาตรฐานใหม่ของการทำเหมือง’ ให้เป็นต้นแบบในภูมิภาค”
เขาเสนอว่า ไทยควร “ฉวยโอกาส” จากความสนใจของสหรัฐฯ ต่อแร่หายาก เพื่อยกระดับระบบการจัดการเหมืองของตัวเองให้ดีขึ้น ตั้งแต่การออกแบบระบบกำกับดูแล การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการสร้างมาตรฐาน “Responsible Mining” หรือ “เหมืองที่มีความรับผิดชอบ”
“ถ้าเราทำให้เห็นว่าแร่หายากจากไทยผลิตอย่างยั่งยืน เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม มันจะล้างภาพลักษณ์เหมืองไทยได้เลย เพราะทุกวันนี้ภาพเหมืองในสายตาคนทั่วไปยังติดลบมาก”
เขายังมองว่า หาก MOU นี้สามารถผลักดันให้เกิด “มาตรฐานร่วม” ระหว่างประเทศในภูมิภาค เช่น ไทย เมียนมา ลาว หรือแม้แต่จีน ก็จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสิ่งแวดล้อมได้
“ทุกประเทศที่ลงนามกับสหรัฐฯ ควรอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน ถ้าเราใช้ MOU นี้สร้างมาตรฐานภูมิภาคให้เหมืองต้องรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนกันหมด มันจะไม่ใช่แค่ดีต่อธุรกิจ แต่ดีต่อมนุษย์ด้วย”
“ไม่อยากให้เรากลายเป็นผู้รับมลพิษแทนคนอื่น”
หนึ่งในข้อกังวลหลักของนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมคือ โอกาสที่ไทยจะกลายเป็น “ฐานสกัด” ของแร่หายากจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งผลิตแร่มาอย่างไม่มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ดีพอ
ธนพล เตือนว่า “เราต้องระวังไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นที่รับมลพิษแทนคนอื่น เขาสกัดง่าย ได้ผลประโยชน์ แต่เรารับของเหลือมาทำต่อ”
เขาเสนอให้ไทยออกมาตรการเชิงกฎหมาย
- กำหนดให้ซื้อแร่ได้เฉพาะจากประเทศที่มี “Best Practice”ด้านสิ่งแวดล้อม
- เก็บภาษีสูงจากแร่ที่มาจากเหมืองที่ไม่ผ่านมาตรฐาน คล้ายแนวคิด “คาร์บอนเครดิต”
- สร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)ของแร่ เพื่อให้มั่นใจว่าแร่ที่นำเข้าไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายสิ่งแวดล้อมหรือชุมชน
แนวทางนี้นอกจากจะปกป้องสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ ยังช่วยยกระดับแรงกดดันต่อประเทศผู้ผลิตในภูมิภาคให้ปรับตัวสู่มาตรฐานที่ยั่งยืนมากขึ้น
โอกาสที่พลาดไป “MOU ควรพูดถึงความรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่ยุทธศาสตร์”
เมื่อถามถึงความเชื่อมโยงระหว่าง MOU ฉบับนี้กับปัญหามลพิษข้ามพรมแดน เช่น ปัญหาน้ำปนเปื้อนในลำน้ำกกจากการทำเหมืองฝั่งเมียนมา รศ.ดร.ธนพลมองว่า ไทย “พลาดโอกาสสำคัญ” ที่จะใช้ข้อตกลงนี้ในการยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมร่วมกันในภูมิภาค
“มันน่าเสียดายที่ MOU ไม่ได้พูดถึงเรื่อง Responsible Mining เลย ทั้งที่มันเป็นโอกาสทองของไทยในการกำหนดกติกาที่จะช่วยแก้ปัญหามลพิษข้ามแดนได้ เพราะอากาศ น้ำ และระบบนิเวศมันเชื่อมถึงกันหมด”
เขาอธิบายว่า หากไทยสามารถเจรจาให้ MOU มีข้อผูกพันด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การร่วมลงทุนในเทคโนโลยีควบคุมมลพิษ การติดตามผลกระทบข้ามพรมแดน หรือการแบ่งปันข้อมูลสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ก็จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งภูมิภาค ไม่ใช่เพียงเศรษฐกิจในประเทศ
จีน บทเรียนจากเหมืองใหญ่ของโลก
“จีนเคยล้ม เจ็บแล้วลุกด้วยมาตรการเข้ม”
ธนพล ยกตัวอย่างกรณีของจีน ประเทศผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งต้องเผชิญปัญหามลพิษรุนแรงในช่วงปี 2010
“ตอนนั้นเหมือง Rare Earth ของจีนก่อมลพิษมากจนกระทบต่อสุขภาพของชุมชนและเด็ก ๆ จีนจึงต้องออกกฎหมายเข้มงวด ลดการส่งออก และจำกัดการผลิต ทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตไปเมียนมา แทน เพราะกฎหมายที่โน่นอ่อนกว่า”
เขาเตือนว่า หากไทยเปิดเหมืองโดยไม่ยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมให้เข้มเท่าจีนในปัจจุบัน ก็มีความเสี่ยงที่จะซ้ำรอยปัญหาเดิม และอาจกลายเป็น “ผู้รับภาระ” ของมลพิษในภูมิภาค
วิศวกรรม–สิ่งแวดล้อม–ความปลอดภัย “ยังไม่พอ”
เมื่อถามถึงความพร้อมของกฎหมายไทยในการรองรับการทำเหมือง Rare Earth รศ.ดร.ธนพลตอบชัดว่า “ยังไม่พอ” ทั้งในแง่วิศวกรรมและกฎหมาย
“พรบ.แร่ฉบับปัจจุบันยังไม่มีมาตรการชัดเจนเรื่องการจัดการของเสียที่มีธาตุกัมมันตรังสี หรือบ่อเก็บกากแร่ที่มีสารพิษ… หลายอย่างยังอยู่ในดุลยพินิจของโครงการ มากกว่าเป็นมาตรฐานบังคับ”
เขาเสนอให้ไทยจัดทำ “Best Practice สำหรับ Rare Earth” ที่ชัดเจน เช่น
- ระบบบ่อเก็บกากแร่ที่มี Liner ป้องกันการรั่วซึม
- มาตรการเฝ้าระวังธาตุกัมมันตรังสีและโลหะหนัก
- การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะและการมีส่วนร่วมของชุมชนตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ หากไทยจะรับซื้อหรือกลั่นแร่หายากจากต่างประเทศ ควรกำหนดกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กัน เพื่อป้องกันการนำเข้าวัตถุดิบที่เกิดจากการทำเหมืองที่ไม่ยั่งยืน
กระบวนการสกัดแร่หายาก “แรงกว่า เหมืองทอง”
ในด้านเทคนิคการสกัด รศ.ดร.ธนพลอธิบายว่า การสกัดแร่หายากและแร่ทองคำต่างใช้สารเคมีที่มีความเป็นพิษสูง แต่ “แรง” ในคนละแบบ
เหมืองทองมักใช้ไซยาไนด์ (Cyanide) ในการแยกทองจากหิน ซึ่งแม้จะเป็นสารพิษ แต่สามารถควบคุมได้หากมีระบบบำบัดที่ดี ขณะที่เหมือง Rare Earth โดยเฉพาะแบบที่พม่าใช้นั้น ใช้วิธี ฉีดสารละลายกรดเข้มข้นลงใต้ดิน เพื่อดึงแร่ออกมา ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินสูงกว่ามาก
“สารที่ใช้สกัดแร่หายากมีความเป็นกรดสูงกว่าไซยาไนด์ และจะคงอยู่ในดินได้นาน ถ้าจัดการไม่ดี มันจะค่อย ๆ ไหลออกจากชั้นดิน เป็นมลพิษเรื้อรังที่แก้ยากมาก”
เขาเสริมว่า หากไทยจะทำเหมืองแบบนี้ ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและมาตรการทางวิศวกรรมให้สูงกว่าที่เมียนมาใช้หลายเท่า เพื่อป้องกันปัญหาดินทรุด การปนเปื้อนน้ำ และมลพิษกัมมันตรังสีในระยะยาว
การที่โลกต้องการแร่หายากเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ไม่ได้แปลว่าการขุดแร่เหล่านี้จะ “สะอาด” ไปด้วย
เรากำลังพูดถึงการขุดเพื่อสร้างอนาคตสีเขียว แต่ถ้าเราไม่ระวัง มันจะกลายเป็นอนาคตสีเทา เพราะเราผลักภาระสิ่งแวดล้อมให้ชุมชนและธรรมชาติ
ธนพล เรียกร้องให้ภาครัฐใช้โอกาสจาก MOU ไทย–สหรัฐฯ เพื่อวางรากฐาน “มาตรฐานเหมืองยั่งยืน” ให้กับประเทศ โดยเน้น 3 ด้านสำคัญคือ
- มาตรฐานสิ่งแวดล้อมเข้มงวด ตั้งแต่การเลือกพื้นที่ การสกัด การกำจัดของเสีย และการฟื้นฟูหลังปิดเหมือง
- ความร่วมมือระดับภูมิภาค ผลักดันมาตรฐานเหมืองรับผิดชอบร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดปัญหามลพิษข้ามพรมแดน
- ความเป็นธรรมในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ไทยไม่ใช่เพียงผู้รับมลพิษ แต่เป็นหุ้นส่วนที่ได้ประโยชน์อย่างเท่าเทียม
“Rare Earth ไม่ได้หายากที่สุดในโลก แต่ ‘ความรับผิดชอบ’ ต่างหากที่หายากกว่า”
ประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอจะก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมแร่หายากได้ หากรู้จักวางระบบให้ถูกทาง แต่หากละเลยเรื่องสิ่งแวดล้อมและชุมชน ปัญหาที่เคยเกิดในอดีตจากเหมืองทองคำหรือแร่ตะกั่ว จะย้อนกลับมาอีกครั้งในชื่อใหม่ว่า “เหมือง Rare Earth”
“แร่หายากไม่ได้หายากที่สุดในโลกหรอกครับ แต่สิ่งที่หายากกว่าคือ ‘ความรับผิดชอบ’ ต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ ซึ่งเราต้องสร้างมันให้ได้ก่อนจะเริ่มขุด”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




