กองทุนประกันสังคม ณ สิ้นปี 2567 มีเงินสมทบสะสมจากผู้ประกันตน และผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนรวมอยู่ที่ 2,657,245 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.เงินสมทบ 1,666,556 ล้านบาท และผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน 990,689 ล้านบาท ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความมั่งคั่งของกองทุนประกันสังคม มีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตกองทุนประกันสังคม เงินอาจหมดลงภายในปี 2597 หรืออีก 30 ปีข้างหน้า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของประชากร ที่ปัจจุบันไทยได้ก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ และเด็กเกิดใหม่ลดลงทุกปี ทำให้มีจำนวนแรงงานใหม่ในระบบน้อยลง ในขณะที่มีคนเกษียณอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้กองทุนประกันสังคมมีรายจ่ายด่านสิทธิประโยชน์มากขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาล และเงินบำนาญชราภาพที่จ่ายให้กับผู้ประกันตนเป็นรายเดือนไปตลอดชีวิตเมื่อเกษียณอายุ
เงินเข้าประกันสังคมน้อยกว่าเงินออก
จะเห็นได้ว่าจุดอ่อนสำคัญของกองทุนประกันสังคม คือ เงินที่เข้าไปสะสมในกองทุนมีปริมาณน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับรายจ่ายของผลประโยชน์ที่ให้กับผู้ประกันตน หลายคนอาจบ่นว่าจ่ายเงินให้กับประกันสังคมไปจำนวนมาก แต่เหตุใดได้ผลประโยชน์น้อย ซึ่งต้องมองความจริงด้วยว่าประกันสังคมให้สิทธิผลประโยชน์มากกว่าเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเข้าไปทุกเดือน ผศ.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น อาจารย์ประจำภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรรมการและเลขาธิการสมาคมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (AOP) อธิบายกับ Policy Watch – Thai PBS
นอกจากนี้ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 กำหนดให้กองทุนต้องได้เงินสมทบมาจาก 3 แหล่ง คือ ลูกจ้างจ่ายสมทบ 5% ของเงินเดือน (เพดานเงินเดือน 15,000 บาท) ตามด้วยนายจ้างสมทบ 5% เท่ากัน และรัฐบาลจ่ายสมทบอีก 2.75% ซึ่งตั้งแต่มีการก่อตั้งกองทุนประกันสังคม รัฐบาลยังไม่เคยส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคม เพราะอาจจะคิดว่าเป็นเจ้าของกองทุนฯ ถ้าเกิดปัญหาก็สามารถเบิกจากงบประมาณของรัฐบาลได้ แต่ส่วนตัวมองว่ารัฐบาลควรจะต้องจ่ายเงินส่วนนี้ด้วย หากกองทุนฯได้เงินก้อนดังกล่าวมาก็จะสามารถนำไปสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้ เพื่อให้มีเงินเพียงพอกับภาระค่าใช้จ่าย
จากการประเมินสภาพคล่องของกองทุนประกันสังคม โดยคำนวณจากอัตราจ่ายเงินสมทบตามเพดานเงินเดือนเดิม 15,000 บาท และบำนาญชราภาพที่จ่ายให้ผู้ประกันตนในปัจจุบันสูงสุดที่ 7,500 บาท เมื่อคำนวณเฉพาะเงินเข้าและออก พบว่ากองทุนประกันสังคมจะต้องสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนมากถึง 9-10% ปริมาณเงินเข้าและออกถึงจะสมดุลกัน ดังนั้นอัตราการจัดเก็บเงินสมทบในปัจจุบันถือว่าน้อยเกินไป และไม่เพียงพอกับรายจ่ายด้านสิทธิประโยชน์ที่เกิดขึ้น
เราเล่นกับการเป็นกองทุนที่มีเงินเข้า-ออก วันนี้ประกันสังคมอยู่ได้เพราะเงินเข้ามากกว่าเงินออก ซึ่งมองอยู่ภายใต้การคิดที่ว่ามีจำนวนแรงงานในระบบเยอะกว่าคนเกษียณ จึงทำให้มีเงินเข้ามากกว่าเงินออก เพราะไปดูจากตัวเลขกลมของทั้งหมด
ในอนาคตหากมีจำนวนคนเกษียณใกล้เคียงกับจำนวนคนทำงาน ตรงนี้จะมีปัญหา คือ ณ วันนั้นเงินออกมากกว่าเงินเข้า แม้กองทุนจะยังพอดำรงอยู่ได้ และไม่ได้ล้มละลายในทันที แต่ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งเงินกองทุนก็จะทยอยหมดลง
ปัจจุบันกองทุนประกันสังคมสร้างผลตอบแทนอยู่ที่ 2-3% แต่การจะทำให้กองทุนมีความยั่งยืนได้จะต้องสร้างผลตอบแทนให้ถึงระดับ 9% ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้มีการบริหารความมั่งคั่งแบบมืออาชีพเหมือนกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) อย่างมากก็สร้างผลตอบแทนได้ที่ 4% ดังนั้นจึงต้องเริ่มทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่กองทุนประกันสังคมจะล้มลง
เพิ่มเงินสมทบ 1,400 กองทุนถึงอยู่ได้
ถ้าหากกำหนดให้เพดานเงินเดือนอยู่ที่ 15,000 บาทเท่าเดิม อัตราการส่งเงินสมทบจะต้องเพิ่มขึ้นประมาณเกือบเท่าตัวจาก 5% เป็น 10% ของเงินเดือน แต่คงไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เพราะลูกจ้างทุกคนคงไม่อยากส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้นจากอัตรา 750 บาท เป็น 1,400 บาท
ส่วนการที่ประกันสังคมจะปรับเพิ่มเงินส่งทบจากฐานเพดานเงินเดือนแบบขั้นบันไดเริ่มปี 2569 ส่วนตัวเห็นด้วย เพราะฐานเพดานเดิมน้อยมาก และอาจต่ำกว่าเงินเดือนหลายคน ซึ่งความจริงเพดานควรจะอยู่ที่ระดับ 20,000 บาท แต่เข้าใจว่าหากปรับขึ้นก็จะมีกระแสต้าน เพราะฉะนั้นกองทุนจะต้องให้ความรู้กับผู้ประกันตน ว่าเมื่อเพิ่มจ่ายเงินสมทบ ผู้ประกันตนก็จะได้สิทธิประโยชน์มากขึ้นด้วย และช่วยให้กองทุนมีความยั่นยืนในระยะยาว
นอกจากนี้ต้องเปลี่ยนกฎเกณฑ์ในการได้รับเงินบำนาญชราภาพ เช่น ยืดเวลาได้รับเงินช้าลง โดยอาจมีระยะเวลากำหนดชัดเจน และอาจปรับลดสิทธิประโยชน์บางอย่าง รวมถึงต้องพยายามลดเงินรั่วไหลที่เกิดจากผู้ประกันตนเคลมสิทธิประโยชน์ที่สูงเกินจริง เช่น ไม่ได้ป่วยจริงแต่ใช้สิทธิประกันสังคม
หากทำทุกอย่างได้ดีทั้งหมดตามที่กล่าวข้างต้น ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาของกองทุนประกันสังคมได้

ผศ.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น อาจารย์ประจำภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรรมการและเลขาธิการสมาคมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (AOP)
ถ้าประกันสังคมเจอทางตัน
ผศ.รุ่งเกียรติ มองว่า มีความเป็นไปได้ที่ในอนาคตการดำรงอยู่ของกองทุนประกันสังคมของไทยจะเริ่มลดลง หากไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หรือเจอทางตัน ถ้าหากเพิ่มเพดานเงินเดือนแล้วติดปัญหา หากปรับเงื่อนไขผลประโยชน์ก็ติดปัญหา หากไปเปลี่ยนแผนการลงทุนก็ยังได้ผลตอบแทนเท่าเดิม หรือสร้างผลตอบแทนได้ไม่เพียงพอ วิธีสุดท้ายคือต้องทยอยให้กองทุนนี้ค่อย ๆ หายไป จากนั้นสร้างกองทุน และระบบใหม่ ที่มีความยั่งยืนมากกว่าให้กับคนรุ่นใหม่ หากไปถึงจุดนั้นจริง กองทุนประกันสังคมต้องหาวิธีการแบกรับภาระของผู้ประกันตนเดิมที่มีอยู่ ให้สามารถบริหารจัดการได้โดยภาครัฐ
แต่ถ้าทุกคนอยากให้กองทุนประกันสังคมยังคงอยู่ต่อไป ก็ต้องปรับเพิ่มอัตราส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนให้มากขึ้น โดยให้อยู่ในระดับที่สมดุลกับผลตอบแทนที่ได้รับ และต้องแก้กฎหมายในเรื่องของการจัดพอร์ตลงทุนของกองทุนประกันสังคม ให้สามารถบริหารจัดการลงทุนได้ใกล้เคียงกับ กบข. ซึ่งตนมองว่าความเสี่ยงในการลงทุนของ กบข. อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
หากทำให้กองทุนประกันสังคมมีความหยืดหยุ่นในการลงทุนเหมือนกับ กบข. ก็จะมีความเป็นไปได้ที่กองทุนประกันสังคมจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงระดับ 4% พร้อมกับการเพิ่มเงินสมทบให้สูงขึ้นผ่านการปรับเพิ่มเพดานเงินเดือน และปรับสิทธิผลประโยชน์ให้เหมาะสม ก็จะยืดอายุของกองทุนออกไปได้
ต้องมีนักบริหารจัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญ
ในส่วนการลงทุนของกองทุนประกันสังคม หากแยกกองทุนออกจากหน่วยงานรัฐให้เป็นอิสระ อาจจะดูเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นก็แยกแค่เฉพาะหน่วยงานลงทุนของกองทุนออกมาตั้งเป็นองค์กรอิสระ เพราะอาจมีกระแสต้านน้อยกว่าย้ายออกมาทั้งกองทุน และมีความเป็นไปได้มากกว่า ซึ่งหากแยกหน่วยงานนี้ออกมา ก็จะเหมือนกับ กบข.ในปัจจุบัน ที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการลงทุนแบบมืออาชีพ และมีความอิสระในการบริหารการลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นกองทุนประกันสังคม สมควรต้องปรับพอร์ตการลงทุน เพิ่มลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เพิ่มความเชี่ยวชาญในการจัดการลงทุนแบบมืออาชีพให้มากขึ้น ก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ระดับ 4%
สำหรับการเพิ่มสัดส่วนลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเทียบเท่า กบข. ควรจะต้องเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น (สิ้นปี 2567 สัดส่วนลงทุนในต่างประเทศอยู่ที่ 32.26% ของกองทุน ซึ่งตามกฎหมายให้ไม่เกิน 47%) โดยเพิ่มประเภทสินทรัพย์เสี่ยงที่นอกเหนือจากหุ้นและตราสารหนี้ภาคเอกชน เช่น ลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาด (Private Equity) อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) โดยจัดเป็นพอร์ตลงทุนแบบผสมกัน เพื่อบาลานซ์ความเสี่ยงที่ระดับ 5-10%
แนวคิดประกันสังคมมาจากยุโรป
กองทุนประกันสังคมของไทย รับแนวคิดมาจากในประเทศยุโรป จากการไปดูตัวอย่างของสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน จนทำให้เกิดความคิดอยากก่อตั้งกองทุนประกันสังคม เพื่อให้ประชาชนได้มีสวัสดิการสังคม
แต่อาจจะมีปัญหาของการคำนวณเรื่องเงินเข้า-ออก และผลตอบแทน ซึ่งจะบอกว่าเป็นข้อผิดพลาดของคนในอดีตก็คงไม่ได้ เพราะ ณ เวลานั้น คงไม่มีใครคิดว่าวันนี้ประเทศไทยจะอยู่ในยุคที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพราะช่วงที่มีการก่อนตั้งกองทุนประกันสังคม อัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ที่ระดับ 9-10% ทำให้ทุกคนจึงคิดว่าผลตอบแทนระดับนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง แต่ไม่คิดว่าในปัจจุบันผลตอบแทนจะต่ำลงมาขนาดนี้
ขณะเดียวกันกองทุนประกันสังคม เป็นกองทุนที่ยึดติดกับสิทธิผลประโยชน์ และไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเพี่อให้สอดคล้องกับผลตอบแทนที่ได้ในปัจจุบันจึงกลายเป็นปัญหา
ในหลายประเทศมีการกำหนดกรอบไว้ล่วงหน้า ว่าผลประโยชน์จะต้องมีการปรับให้สอดคล้องกับผลตอบแทนที่ได้รับ ไม่เช่นกันกองทุนก็อยู่ไม่ได้ เช่น ผลตอบแทนสูงก็จะได้ผลประโยชน์สูงขึ้น และผลตอบแทนต่ำก็จะได้ผลประโยชน์น้อยลง แต่เรื่องนี้หากสู้กันในเชิงการเมืองก็อาจจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะมักจะมีเรื่องความยุติธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงทำให้วันนี้หลายประเทศพยายามลดภาระของกองทุนประกันสังคม พร้อมกับลดการเพิ่มจำนวนคนมาอยู่ในระบบ และหันไปส่งเสริมระบบอื่นที่ให้คนออมเงินกันเอง ซื้อประกันสุขภาพด้วยตนเอง เพราะระบบเหล่านั้นจะบริหารจัดการง่ายกว่า และภาครัฐไม่ต้องมารองรับความเสี่ยงเองทั้งหมด
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- ทำอย่างไร กองทุนประกันสังคมจะมีอนาคต?
- กองทุนประกันสังคมปี 67 เมื่อรายจ่ายมากกว่าผลตอบแทน
- สูตรบำนาญประกันสังคมล่าสุด ส่งครบ 35 ปี ได้ 50%