ปัญหาสังคมสูงวัยในไทย เริ่มกลายเป็นสิ่งที่หลายคนหวั่นวิตก เพราะขณะนี้หลายกองทุนที่เป็นแหล่งออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ เมื่อคำนวณแล้วพบว่าหลายคนมีเงินออมไม่พอใช้จ่าย หรือแค่พอใช้จ่ายขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) รวมถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ด้วยเช่นกัน
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ กองทุนแบบภาคสมัครใจ ที่ลูกจ้างและนายจ้างของบริษัทเอกชนจัดตั้งขึ้นร่วมกัน และร่วมกันสะสมเงินในแต่ละเดือน เพื่อให้ลูกจ้างมีเงินใช้หลังเกษียณอายุ โดยสามารถสะสมได้ตั้งแต่ 2-15% ของเงินเดือน ซึ่งกองทุนนี้จะบริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถนำเงินในกองทุนไปลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับสมาชิกได้ ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ผศ.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น อาจารย์ประจำภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรรมการและเลขาธิการสมาคมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (AOP) เปิดเผยกับ Policy Watch – Thai PBS ว่าขณะนี้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งหมด เสี่ยงที่เงินจะมีไม่พอใช้ในยามเกษียณของสมาชิกทุกคน จากการส่งเงินเข้ากองทุนในอัตราที่ต่ำ เพราะนายจ้างส่วนใหญ่ต้องการประหยัดต้นทุน จึงส่งเงินแค่ขั้นต่ำตามกฎหมาย 3% ของเงินเดือน และลูกจ้างส่วนใหญ่ก็มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายจึงทำให้ไม่อยากสะสมเงินเพิ่ม แม้กฎหมายจะให้ส่งเพิ่มได้ถึง 15% ของเงินเดือน
ดังนั้นเมื่อนายจ้างและลูกจ้างส่งเงินเข้ากองทุนในอัตราที่น้อย บวกกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนใหญ่มักลงทุนในตราสารหนี้ในสัดส่วนที่สูง เพราะมีความเสี่ยงน้อย แต่ได้ผลตอบแทนไม่เยอะ ทำให้เมื่อสมาชิกเกษียณจะได้เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเฉลี่ยอยู่ที่ 1-3 ล้านบาทเท่านั้น ถือว่าไม่เพียงพอกับการใช้จ่าย
โดยจากผลวิจัยพบว่าค่าใช้จ่ายที่สามารถอยู่ได้ในกรุงเทพมหานครอยู่ที่ 20,000 – 30,000 บาทต่อเดือน ต่างจังหวัด 15,000 บาท ดังนั้นหากจะมีเงินตอนเกษียณให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน คนที่มีอายุ 40 ปีในตอนนี้ ควรจะต้องมีเงินก้อนประมาณคนละ 5-10 ล้านบาทขึ้นไป และคนที่มีอายุ 20 ปีในตอนนี้ ในช่วงเกษียณต้องมีเงินก้อน 15 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งสามารถทำได้โดย 1. ลูกจ้างเพิ่มอัตราสะสมเงินออมมากกว่า 10% และนายจ้างช่วยออมเงินอีก 5-7% รวมทั้งเดือนเงินออมที่ส่งเข้ากองทุนจะอยู่ที่ระดับ 15-17% ต่อเดือน และ 2. กองทุนควรสร้างผลตอบแทนให้ได้ที่ระดับ 4-5%

ผศ.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น อาจารย์ประจำภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรรมการและเลขาธิการสมาคมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (AOP)
แรงงานมีกองทุน PVD เพียง 2 ล้านคน
แรงงานไทยในระบบจะถูกบังคับให้เข้ากองทุนประกันสังคม เป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 11 ล้านคน ในจำนวนนี้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพียง 2 ล้านคน หรือคิดเป็น 20% ของแรงงานในระบบประกันสังคม สาเหตุที่แรงงานมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวนน้อย เพราะเป็นกองทุนแบบภาคสมัครใจ และนายจ้างมองว่าเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับบริษัท
“ในความเป็นจริงทุกคนไม่สามารถอยู่ได้ตอนเกษียณจากกองทุนประกันสังคม เพราะบำนาญอยู่ในระดับประมาณ 3,500 – 7,500 บาทต่อเดือนเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องมีกองทุนการออมอื่น ๆ”
อีกปัญหาหนึ่งที่พบ คือ มีการตั้งกฎให้บริษัทเอกชนที่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จะต้องจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับลูกจ้างของตนเอง แต่บริษัทเกือบทุกแห่งทั้งในตลาดหลักทรัพย์ SET และ MAI มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจริง แต่เพื่อให้ผ่านหลักเกณฑ์เท่านั้น ไม่ได้รณรงค์ให้ลูกจ้างสมัครเข้ากองทุน หรือมีลูกจ้างในกองทุนจำนวนน้อย เพราะกฎไม่ได้บังคับว่าต้องมีจำนวนสมาชิกในกองทุนเท่าไหร่ และไม่ได้บังคับต้องส่งเสริมลูกจ้างสมัครเข้ากองทุน
ตัวนายจ้างก็ไม่ได้รู้สึกว่าลูกจ้างเรียกร้องให้มีกองทุน และอยากจะลดต้นทุนด้วย จึงเลือกไม่ตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือจัดตั้งให้เฉพาะพนักงานบางกลุ่ม เช่น บางบริษัทจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้เฉพาะกับผู้บริหารเท่านั้น
นอกจากนี้แรงงานส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ด้านทักษะการเงิน และมีปัญหาหนี้สินจากรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย จึงขาดแรงจูงใจออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
บังคับใช้แผน Lifecycle investment
วันนี้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ยังมีปัญหาเรื่องการลงทุน เพราะส่วนใหญ่ลงทุนตราสารหนี้ในสัดส่วนที่สูง ซึ่งมีดอกเบี้ยต่ำมาก 2-3% ต่อปี เป็นอีกปัจจัยจัยทำให้เงินออมของสมาชิกมีไม่เพียงพอในตอนเกษียณ
ลูกจ้างส่วนใหญ่ก็มีความรู้ด้านการเงินน้อยและไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก อีกทั้งนายจ้างก็ไม่อยากเจอกระแสต่อต้านจากลูกจ้าง จึงอยากเสนอแต่แผนลงทุนตราสารหนี้ในสัดส่วนที่สูง เพราะความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น จากข้อมูลทั้งระบบพบว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีการลงทุนในตราสารหนี้สูงถึง 60-70% ของเงินในกองทุน ในขณะที่ลงทุนหุ้นน้อยมาก ถือเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก
หลังจากนี้จะมีการออกกฎเกณฑ์ใหม่บังคับให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่สูงขึ้นในตอนสมาชิกอายุน้อย และค่อยทยอยปรับลดลงในตอนที่สมาชิกอายุมากขึ้นในช่วงใกล้เกษียณ หรือเรียกว่า Lifecycle investment plan ซึ่งหลายประเทศกำหนดให้เป็นแผนพื้นฐานของกองทุนแล้ว ยกเว้นไทยที่ปัจจุบันยังคงใช้แผนลงทุนในตราสารหนี้ 70% และในหุ้น 30% ซึ่งผลตอบแทนไม่เพียงพอเงินออม เพราะฉะนั้นควรปรับใหม่เป็นลงทุนในหุ้น 60% ตอนที่สมาชิกอายุน้อย 20-30 ปี และค่อยปรับลดลงมาเหลือ 40% ในตอนใกล้เกษียณอายุ คาดว่าเกณฑ์ใหม่ดังกล่าวจะออกมาให้เห็นภายใน 2-3 ปีนับจากนี้
แต่รายละเอียดปลีกย่อยว่าจะต้องมีสัดส่วนการลงทุนเท่าไหร่ แล้วค่อยลดหลั่นลงมานั้น อาจเป็นเรื่องของการพูดคุยกันระหว่างคณะกรรมการแต่ละกองทุน (Fund Committee) นั้น และ บลจ. ว่าจะออกแบบให้เหมาะสมกับกองทุนตัวเองกับลูกจ้างอย่างไร
วิธีสร้างผลตอบแทน 5% ต่อปี
ถ้าลงทุนเฉพาะในประเทศไทยให้ได้ผลตอบแทน 5% ต่อปี ถือว่าทำได้ยาก กองทุนควรจะจัดสรรพอร์ตลงทุนทั่วโลกให้มากขึ้น เพราะการลงทุนต้องมองว่าทั้งโลกคือใบเดียวกัน วันนี้ไม่มีใครมองแล้วว่าลงทุนต่างประเทศน่ากลัว หากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มสัดส่วนลงทุนต่างประเทศให้มากขึ้นและลดตราสารหนี้ลง ส่วนตัวเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสร้างผลตอบแทนได้ถึง 4-5% ต่อปี
ในประเทศไทย กองทุนที่หลายคนอิจฉามากที่สุด คือ กบข. ซึ่งมีความเป็นนักลงทุนระดับโลก (Global invester) เพราะจัดสรรพอร์ตลงทุนหลายสินทรัพย์ ไม่ใช่เฉพาะหุ้นและตราสารหนี้ แต่ยังเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในไทยและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ รวมถึงยังลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาด (Private equity) และกองทุนรวมเพื่อความเสี่ยง (Hedge Fund) จึงทำให้ กบข. ได้ผลตอบแทนตลอดเวลาในแต่ละสถานการณ์ แตกต่างจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่เงินส่วนใหญ่ 90% ลงทุนแต่ในประเทศไทย
สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หนทางในการลงทุนนอกตลาดขึ้นอยู่กับการตีความกฎหมาย อาจต้องพูดคุยกับ กลต.เพื่อสร้างความเข้าใจ เพราะทาง บลจ.ก็อยากจะส่งเสริมการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Equity) หรือ ตราสารหนี้นอกตลาด (Private Debt) เพราะเมื่อสินทรัพย์ในตลาดไม่ดี ก็ต้องหาผลตอบแทนดี ๆ ในสินทรัพย์อื่นให้ลูกค้า ถ้าดูเนื้อหากฎหมายของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็มีความเป็นไปได้ หากลงทุนผ่านกองทุนมืออาชีพ คือ นำเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปลงทุนในกองทุน Private Equity อีกที แล้วกองทุนดังกล่าวก็นำเงินไปจัดสรรลงทุนสินทรัพย์ให้
แต่เรื่องนี้ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะคณะกรรมการกองทุนก็ยังกลัวความเสี่ยง เนื่องจากสินทรัพย์นอกตลาด และตราสารหนี้นอกตลาด มีสภาพคล่องน้อย และหากลูกจ้างย้ายกองทุนกันจำนวนมากก็อาจสร้างความลำบากให้กับการบริหารการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดเหมือนกัน
สมาชิกขาดสภาพคล่องจำใจลาออก
ตามกฎหมายพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 กำหนดให้สมาชิกที่ส่งเงินเข้ากองทุนห้ามถอนเงินออกมาก่อนกำหนด ทำให้เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน เช่น เกิดอุบัติเหตุจำ มีค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น สมาชิกจะไม่สามารถนำเงินที่ออมในกองทุนมาใช้ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือหลายคนยอมเลือกลาออกจากกองทุนเพื่อเอาเงินก้อนไปใช้ ซึ่งกฎหมายมีบทลงโทษค่อนข้างแรง หากลาออกจากกองทุนก่อนถึงเกษียณตอนอายุ 55 ปี จะโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลังทั้งหมด เนื่องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้
จะเห็นได้ว่าลูกจ้างที่ยอมจำใจลาออกจากกองทุน เพราะจำเป็นต้องนำเงินไปใช้จ่ายในยามเผชิญวิกฤต ดังนั้นจากปัญหาดังกล่าวก็ได้มีแนวคิดที่จะปรับกฎหมาย ซึ่งหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ในระหว่างพูดคุยว่าจะทำอย่างไรให้สมาชิกนำเงินกองทุนไปแก้ปัญหาสภาคล่องในยามวิกฤตได้ เช่น นำเงินกองทุนไปค้ำประกันเงินกู้สถาบันการเงิน แต่หลายคนก็กลัวจะเป็นการส่งเสริมให้ก่อหนี้สิน ซึ่งอาจทำให้หลายคนนำเงินออมตอนเกษียณไปค่ำประกันเงินกู้กันหมด และกลายเป็นว่าเมื่อถึงอายุเกษียณต้องนำเงินออมไปใช้หนี้แทนจนไม่เหลือใช้
แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย แรงงานก็จะลาออกจากกองทุน และไม่ได้กลับมาเป็นสมาชิกอีก จากนั้นตอนเกษียณก็จะไม่มีเงินเก็บไว้ใช้จ่าย ทั้งนี้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เคยมีการพูดคุยเรื่องปรับกฎหมาย แต่ไม่ค่อยคืบหน้า เพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาล และเรื่องของการออมเงินมักเป็นเรื่องที่อยู่ในลำดับท้าย ๆ ของการพูดคุย แต่ส่วนตัวมองว่ากรณีนำเงินกองทุนไปค้ำประกันเงินกู้ หรือถอนจากกองทุนได้บ้างส่วนหรือไม่นั้น อาจต้องใช้เวลาดำเนินการพอสมควร
กฎหมายยังไม่เข้มข้น
กฎหมายบังคับให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ต้องตั้งคณะกรรมการกองทุน มีหน้าที่เลือก บลจ.มาบริหารกองทุน เลือกแผนการลงทุน ส่งเสริมการออม บริหารกองทุน ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดเงื่อนไขว่าคณะกรรมการจะต้องเป็นใคร มีความรู้มากแค่ไหน ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นคือ บริษัทเอกชนส่วนใหญ่ไม่ได้มีคณะกรรมการกองทุนที่เข้มแข็ง ทำให้การคัดเลือก บลจ. ไม่เข้มข้นมากพอ หรือเลือกธนาคารที่คุยกันง่าย และใช้บริการนาน ๆ เท่านั้น ซึ่ง กลต.กำลังอยู่ในระหว่างปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามไม่ให้อยากให้มองว่ากฎหมายเป็นอุปสรรค เพราะการออกกฎหมายในช่วงเริ่มแรก ต้องทำให้ตอบโจทย์บริบทสังคมในสมัยนั้น จึงต้องทำให้กฎหมายมีความง่ายเข้าไว้ เพื่อลดกระแสต่อต้าน เช่น ถ้าออกกฎหมายให้คณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ต้องมีคุณสมบัติและเงื่อนไขอะไรบ้าง ในตอนนั้นก็คงเจอกระแสต่อต้านทั่วบ้านทั่วเมือง กฎหมายในช่วงแรกจึงไม่ได้เข้มข้น เพื่อให้เกิดขึ้นได้ก่อน และเมื่อกฎหมายเกิดขึ้นได้แล้ว ก็ค่อยทยอยปรับให้สอดคล้องบริบทสัมคมแต่ละยุคสมัยมากขึ้น แต่การทำให้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น บางครั้งกระบวนจะล้าช้าและใช้เวลานาน ก็อาจจะไม่ทันการมากนัก แต่ทุกคนก็พยายามที่จะปรับปรุงให้มีมาตรฐานมากขึ้น และคาดว่าสักวันหนึ่งจะมีกฎหมายที่ส่งเสริมให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีความเข้มแข็งมากกว่านี้
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
ผศ.รุ่งเกียรติ เสนอว่า ไทยควรต้องมีการออมภาคบังคับเพื่อเกษียณ หรือปรับให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นแบบภาคบังคับก็ได้ ซึ่งจะดีกว่าสร้างกองทุนใหม่ และทำให้ บลจ.เกิดการแข่งขันกันทำแผนลงทุนเสนอนายจ้างมากขึ้น ขณะเดียวกันต้องส่งเสริมให้เพิ่มอัตราการส่งเงินออมเข้ากองทุนของลูกจ้างและนายจ้างรวมกันให้ได้มากกว่า 15% ต่อเดือน หรือใช้วิธีอาจทยอยปรับเพิ่มอัตราการส่งเงินออมจากขั้นต่ำสุดในช่วงแรก และเมื่อเวลาผ่านไปค่อยทยอยปรับเพิ่มขึ้นทีละ 1% เพื่อให้ได้อย่างน้อย 15%
นอกจากนี้ Lifecycle investment plan จะต้องเป็นแผนมาตรฐานลงทุนของทุกคน ทั้งสมาชิกเก่าและใหม่ ถ้าทำตามที่แนะนำดัทั้งหมด เชื่อจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการออมเพื่อเกษียณในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เชื่อว่าประเทศไทยควรจะต้องมีระบบการออมแบบภาคบังคับ ไม่ใช่แค่แรงงานในระบต้องออม แต่แรงงานนอกระบบต้องออม ข้าราชการต้องออม ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะช่วยลดภาระในเรื่องของการดูแลตอนเกษียณได้ค่อนข้างมาก