การประชุมบอร์ดหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2568 มีมติยืนยัน “คงค่า AdjRW ที่ 8,350 บาท” สำหรับงบผู้ป่วยใน (IPD)ปีงบประมาณ 2569 พร้อมวางกลไกตรวจสอบเวชระเบียนเข้มข้น 100% เพื่อรักษาความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นในระบบงบประมาณที่ยังคงเป็น “งบปลายปิด” ซึ่งเป็นการกำหนดกรอบงบประมาณที่ชัดเจนในแต่ละปี
แม้ตัวเลข 8,350 บาท จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ต่างออกไปในปีนี้คือ การทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ สปสช. หลังจากที่ตลอดช่วงปี 2567–2568 ความตึงเครียดระหว่างสองหน่วยงานถูกจับตามองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปมการสุ่มตรวจเวชระเบียน 3% ขยายผลหักเงิน 100% ที่เคยสร้างแรงกระเพื่อมในหมู่โรงพยาบาลทั่วประเทศ
มติครั้งนี้จึงถูกมองว่า เป็น “สัญญาณคืนดี” ทางนโยบายระหว่าง “ผู้ให้บริการ” (provider) และ “ผู้บริหารกองทุน” (purchaser) ที่เริ่มจับมือเดินหน้าร่วมกันอีกครั้ง ภายใต้เป้าหมายเดียวกันคือ “สร้างสมดุลระหว่างคุณภาพการรักษา ความมั่นคงทางการเงิน” หรือไม่ !
ค่า AdjRW 8,350 บาทตลอดปี ไม่มีลด ชัยชนะหน่วยบริการ?
การที่บอร์ด สปสช. ยืนยันคงค่า AdjRW ไว้ที่ 8,350 บาทตลอดปีงบประมาณ 2569 ถือเป็นชัยชนะสำคัญของหน่วยบริการที่ได้ ชูประเด็นปัญหางบประมาณผู้ป่วยในมาอย่างต่อเนื่อง
นพ.สมฤกษ์ จึงสนาม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าตัวเลขนี้เป็นผลจากการหารืออย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่าจำนวน AdjRW รวมที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 จะอยู่ที่ประมาณ 11.2 ล้านหน่วย
การคงอัตรานี้สะท้อนถึงการรับฟังเสียงจากหน้างาน และความพยายามสร้างความมั่นใจให้หน่วยบริการว่าจะสามารถดำเนินงานได้โดยไม่สะดุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าการยืนยันนี้มาพร้อมกับเงื่อนไขสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อหน่วยบริการในทางปฏิบัติ
แม้จะมีการยืนยันค่า AdjRW แต่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุชัดเจนว่า การบริหารงบประมาณในปี 2569 ยังคงใช้ระบบ “งบปลายปิด” ซึ่งหมายความว่างบประมาณจะมีกรอบวงเงินชัดเจน และหากมีการใช้งบเกินกว่าที่กำหนด จะต้องตรวจสอบก่อนว่าเกิดจากอะไร เป็นเพราะมีการให้บริการจริงเพิ่มขึ้น หรือเกิดจากการเบิกจ่ายที่ไม่ถูกต้อง
คำอธิบายนี้แม้จะฟังดูสมเหตุสมผล แต่สร้างความกังวลให้กับหน่วยบริการหลายแห่งที่เคยประสบปัญหาการถูกปรับลดงบประมาณในช่วงปลายปี
นพ.อนุกูล ไทถานันดร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชบุรี ชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีการยืนยันคงค่า AdjRW แต่การที่งบประมาณผู้ป่วยในเพิ่มขึ้นเพียง 3.2% ตามอัตราเงินเฟ้อและค่าจ้าง โดยไม่ได้สะท้อนปริมาณบริการที่เพิ่มขึ้นจริง อาจทำให้เกิดปัญหาขาดงบปลายปีอีกครั้ง

นอกจากนี้ บอร์ดสปสช. ยังได้มีมติเห็นชอบให้เสริมสภาพคล่องแก่หน่วยบริการ โดยเฉพาะงบผู้ป่วยนอกและงบส่งเสริมป้องกันโรค ปีงบประมาณ 2569 โดย สปสช. ได้ดำเนินการโอนงบประมาณลงพื้นที่แล้วเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ในสัดส่วน 50% ของงบทั้งหมด
พัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการขอ “งบกลาง” เพิ่มเติมจำนวน 8,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องแก่โรงพยาบาล โดยระบุว่าขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณ
แม้มาตรการเหล่านี้จะช่วยบรรเทาปัญหาในระยะสั้น แต่คำถามสำคัญคือ จะเพียงพอหรือไม่สำหรับการรองรับภาระบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบริบทของสังคมสูงวัยที่ความต้องการบริการสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ระบบตรวจสอบเวชระเบียนใหม่ ความโปร่งใสหรือภาระเพิ่ม?
หนึ่งในประเด็นที่สร้างความวิตกกังวลให้กับหน่วยบริการมากที่สุด คือระบบการตรวจสอบเวชระเบียนที่จะเข้มข้นขึ้น ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในรอบใหม่นี้จะปรับระบบให้มี “สองวัตถุประสงค์” แยกจากกันอย่างชัดเจน คือ การออดิทเชิงวิชาการ เพื่อพัฒนาคุณภาพการรักษาและข้อมูลทางการแพทย์ และการออดิทเชิงการเงิน เพื่อดูความถูกต้องของการเบิกจ่ายและป้องกันความผิดพลาด
ที่น่าสนใจคือ ระบบใหม่จะใช้เทคโนโลยี AI และระบบข้อมูลสุขภาพกลาง เข้ามาช่วยคัดเลือกเวชระเบียนที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อการตรวจเชิงลึกแบบ 100% แทนการสุ่มตรวจ 3% แบบเดิม แนวทางนี้มีเป้าหมายเพื่อลดภาระของหน่วยบริการและเพิ่มความแม่นยำ
แต่นพ.อนุกูล ตัวแทนหน่วยบริการโรงพยาบาลรัฐ แสดงความกังวลอย่างชัดเจนต่อการนำไปปฏิบัติ โดยชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมาการตรวจชาร์จหลายแห่งกลับถูกตัดคะแนนเพราะเหตุผลเล็กน้อย เช่น ลายมืออ่านไม่ออก หรือเขียนไม่ครบ ทั้งที่แพทย์และพยาบาลให้บริการจริงเต็มที่
การตรวจสอบเวชระเบียนควรถูกใช้เพื่อ “พัฒนาระบบบันทึก” และเพิ่มประสิทธิภาพข้อมูล ไม่ใช่เพื่อนำไป “หักงบประมาณค่ารักษา” ซึ่งส่งผลกระทบต่อหน่วยบริการโดยตรง ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ในอดีต
การนำ AI เข้ามาใช้ในการคัดกรองเวชระเบียนที่มีความเสี่ยงสูงเป็นแนวทางที่น่าสนใจและสอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามสำคัญหลายประการที่ต้องชี้แจง
ขณะที่ นายพัฒนา รมว.สธ. ย้ำว่า การออดิทจะไม่กระทบต่อการให้บริการประชาชน และแม้บางหมวดงานใช้งบเกินเป้าหมายก็จะไม่มีการ “หยุดบริการ” แต่จะมีการประเมินเหตุผลและจัดสรรงบเพิ่มเติมตามความจำเป็น
คำมั่นสัญญาเหล่านี้ต้องถูกแปลงเป็นกลไกที่ชัดเจนและโปร่งใส ไม่ใช่เพียงแค่คำพูด หน่วยบริการต้องการเห็นรายละเอียดของเกณฑ์การตรวจสอบ กระบวนการอุทธรณ์ และกรอบเวลาในการพิจารณา เพื่อสร้างความมั่นใจว่าระบบจะไม่กลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมงบประมาณโดยไม่คำนึงถึงความจำเป็นทางการแพทย์
นอกจากนี้ หากข้อมูลจากการออดิทจะถูกนำไปใช้เป็น “หลักฐานสำคัญ” ในการยื่นต่อสำนักงบประมาณเพื่อขอเพิ่มงบในปีถัดไป ตามที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระบุ ก็ควรมีกลไกให้หน่วยบริการมีส่วนร่วมในการจัดเตรียมข้อมูลเหล่านี้ด้วย
จัดความสัมพันธ์ใหม่ระหว่าง สธ. และ สปสช.
หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจที่สุดจากการแถลงข่าวครั้งนี้คือการเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาของ รมว.สธ. เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับ สปสช. ที่ผ่านมา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวความไม่เข้าใจกัน พัฒนา ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ถึงขั้นบาดหมาง” เพียงแค่ที่ผ่านมาอาจมีช่วงที่ไม่ได้สื่อสารกันบ่อยนัก แต่ปัจจุบันได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นในทุกระดับ
คำตอบนี้แม้จะฟังดูนุ่มนวล แต่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างที่สำคัญ คือ ระบบที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานแบบ “Provider-Purchaser Split” หรือการแยกผู้ให้บริการกับผู้จัดซื้อบริการ ซึ่งในทางทฤษฎีควรสร้างความโปร่งใสและประสิทธิภาพ แต่ในทางปฏิบัติกลับสร้างช่องว่างในการสื่อสารและความเข้าใจ
นพ.อนุกูลชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เห็นจากมติและท่าทีในวันนี้คือ “จุดเริ่มต้นของการทำงานแบบ Collaborate” ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (ในฐานะผู้ให้บริการ) กับ สปสช. (ในฐานะกองทุน) หลังจากที่ผ่านมากว่า 20 ปี ต่างฝ่ายต่างทำงานแบบแยกส่วนกัน
การที่ปลัดกระทรวงเสนอให้กระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมเป็นเลขานุการร่วมในทุกคณะทำงานของ สปสช. ถือเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความเข้าใจที่ดีขึ้น
มติสำคัญประการหนึ่งจากการประชุมคือ การที่ สปสช. และกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกันจัดทำข้อมูลเพื่อใช้ในการจัดทำงบประมาณปี 2570 ให้มีความสมบูรณ์และสะท้อนต้นทุนจริงของหน่วยบริการมากขึ้น
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ระบุว่า จะตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง สปสช. และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่ “ต้นทุนบริการ” ไปจนถึง “ผลลัพธ์การรักษา” โดยย้ำว่าข้อมูลต้องมาจากการมีส่วนร่วมของหน่วยบริการและบุคลากรในพื้นที่
แนวทางนี้หากดำเนินการอย่างจริงจัง จะช่วยแก้ปัญหาการตั้งงบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาขาดงบปลายปีที่เกิดขึ้นซ้ำๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความจริงจังในการเก็บข้อมูล ความโปร่งใสในกระบวนการวิเคราะห์ และความเต็มใจที่จะนำข้อมูลที่ได้ไปใช้จริงในการจัดสรรงบประมาณ
แยกเงินเดือนบุคลากร แก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือเปลี่ยนโครงสร้าง
มติบอร์ดอีกข้อที่น่าสนใจคือ การให้ สปสช. และ สธ. ศึกษาแนวทาง “แยกเงินเดือนบุคลากรภาครัฐ” ออกจากงบหน่วยบริการในภาพรวม นพ.จเด็จอธิบายว่า ที่ผ่านมา ค่าแรงของบุคลากรถูกนับรวมอยู่ในแต่ละหมวดบริการ ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและคำนวณยาก
นพ.อนุกูลให้มุมมองที่น่าสนใจว่า แนวทางนี้ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะโรงพยาบาลที่ประสบภาวะวิกฤตจากการถูกหักเงินเดือนจนเหลืองบทำงานไม่พอ บางโรงพยาบาลเมื่อหักเงินเดือนแล้วแทบไม่เหลืองบซื้อยาเลย หากแยกเงินเดือนออกในระดับกระทรวง จะทำให้ทุกหน่วยบริการมีฐานเงินเดือนที่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำว่า แนวทางนี้เป็นเพียงการบรรเทาเฉพาะจุด ไม่ใช่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะงบประมาณรวมของกระทรวงยังไม่เพียงพอ และยอดเงินที่ถูกหักกว่า 60,000 ล้านบาท ยังเท่าเดิม
Medical Economy – ภาษีสุขภาพ การหารายได้เสริมระบบสุขภาพ
แนวคิดที่น่าสนใจที่ พัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.กระทรวงสาธารณสุข ได้ยกขึ้นมาหลายครั้งคือ “Medical Economy” หรือเศรษฐกิจสุขภาพ ซึ่งมีเป้าหมายให้ระบบสาธารณสุขของไทยไม่เป็นเพียง “หน่วยใช้จ่าย” แต่สามารถสร้างรายได้กลับเข้าระบบได้ด้วย
นายพัฒนาระบุว่า จากการร่วมประชุมกับนายกรัฐมนตรีที่เกาหลีใต้ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนหลายราย ทั้งด้านยา อุปกรณ์การแพทย์ และสมุนไพรแผนไทย ซึ่งหากสามารถยกระดับมาตรฐานการผลิตให้ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ก็จะช่วยสร้างรายได้กลับเข้าประเทศได้มาก
แนวคิดนี้แม้จะฟังดูน่าสนใจ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการสับสนระหว่างวัตถุประสงค์ การสร้างรายได้จากการส่งออกผลิตภัณฑ์สุขภาพหรือการให้บริการทางการแพทย์กับชาวต่างชาติ เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการดูแลสุขภาพประชาชนไทยภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
พัฒนา ยังเปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขกำลังหารือกับสมาคมประกันภัย เพื่อออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพรูปแบบใหม่ เช่น “ประกันสุขภาพเฉพาะจังหวัด” หรือ “เฉพาะโรงพยาบาลรัฐ” ซึ่งจะมีค่าเบี้ยถูกลง และช่วยให้เงินไหลกลับเข้าระบบโรงพยาบาลของรัฐมากขึ้น
แนวคิดนี้คล้ายการซื้อแพ็กเกจโทรศัพท์ มือถือเฉพาะพื้นที่หรือเฉพาะวัน ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในแนวทางสร้างรายได้เสริมให้กับระบบสุขภาพของรัฐ แต่แนวคิดนี้ต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ จะต้องไม่สร้างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ หากผู้ที่มีเงินซื้อประกันเพิ่มเติมได้รับบริการที่ดีกว่าผู้ที่มีเพียงสิทธิบัตรทอง อาจทำให้เกิดระบบสองชั้นในโรงพยาบาลของรัฐ และต้องมั่นใจว่ารายได้จากประกันเหล่านี้จะไม่ทำให้โรงพยาบาลเบี่ยงเบนความสนใจจากการดูแลผู้ป่วยทั่วไป
ขณะที่การเก็บ “ภาษีสุขภาพ” ในลักษณะเดียวกับกองทุน สสส. หรือ “ภาษีบาป” ที่จัดเก็บจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และน้ำตาล เพื่อเป็นรายได้เข้างบสุขภาพโดยตรง
นพ.จเด็จระบุว่า ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นการพูดคุยในระดับแนวคิด และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เขาให้เหตุผลว่า หากมีการศึกษาเชิงวิชาการเพิ่มเติม และเห็นว่าไม่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่น่าสนับสนุน เพราะสุดท้ายแล้วถ้าคนบริโภคหวานน้อยลง เค็มน้อยลง สุขภาพประชาชนก็ดีขึ้นด้วย
คำถามสำคัญ – “ปฏิรูป” หรือ “ปรับปรุง” สปสช.
กระแสเรียกร้อง “ปฏิรูป สปสช.” นายพัฒนา รมว.สธ. ตอบว่า “คำว่าปฏิรูป ฟังดูเหมือนการล้มของเก่าเพื่อเริ่มใหม่ แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เรากำลังทำคือการ ‘ปรับปรุงและพัฒนา’ ระบบให้เหมาะกับยุคสมัยมากขึ้น”
การเลือกใช้คำนี้สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังทางการเมือง เพราะคำว่า “ปฏิรูป” มักถูกมองว่าเป็นการตั้งคำถามต่อความสำเร็จของระบบเดิม ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจในหมู่ผู้มีส่วนร่วมสร้างระบบมาตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ตาม นพ.อนุกูล มีมุมมองที่แตกต่าง เขากล่าวอย่างชัดเจนว่า “ปฏิรูป” ไม่ใช่คำต้องห้าม และไม่ได้หมายถึงการล้มระบบ แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น “ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นระบบที่ดี แต่ใช้มา 20 ปีแล้ว ถึงเวลา ‘ทบทวนและปรับปรุง’ ไม่ว่าจะเรียกว่าปฏิรูปหรือพัฒนา ก็เพื่อให้เหมาะกับบริบทปัจจุบัน”
นพ.อนุกูล ชี้ให้เห็นว่า ร่างแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ เคยถูกยกร่างมาแล้วหลายครั้ง ทั้งในยุค คสช. และเวทีรับฟังความคิดเห็นโดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า เขาเห็นว่า ตอนนี้ถึงเวลาหยิบกลับมาคุยต่อ เพราะมีฐานข้อมูลและข้อสรุปจากทุกฝ่ายแล้ว
ประเด็นแรกที่เขาเสนอคือ โครงสร้างงบประมาณและเงินเดือน โดยเฉพาะการหักเงินเดือนบุคลากรสังกัดกระทรวงสาธารณสุขออกจากงบรายหัวเกือบ 60% ซึ่งมากเกินไป “คำถามคือทำไมต้องหักมากขนาดนั้น ขณะที่บางหน่วยเช่นโรงเรียนแพทย์หรือเอกชนหักน้อยกว่า เรื่องนี้ต้องทบทวนใหม่ในกฎหมาย”
ประเด็นที่สองคือ โครงสร้างและที่มาของบอร์ด สปสช. เขาเสนอว่า “ถ้าเราต้องการทำงานแบบ Collaborate จริง สัดส่วนบอร์ดต้องชัด ต้องบาลานซ์ระหว่างผู้ให้บริการ กองทุน และประชาชน ไม่ใช่ต่างคนต่างถือกองทุนย่อยเป็นเจ้าของ ใครแตะก็ไม่ได้ แบบนั้นไม่มีทางบริหารเชิงระบบได้
“ปัญหาที่สะสมมานานไม่สามารถแก้ด้วยการปรับเล็กน้อยได้อีกแล้ว” นพ.อนุกุล จึงเสนอว่าควรทบทวน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ โดยเฉพาะในประเด็นโครงสร้างงบประมาณและโครงสร้างบอร์ดสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของผู้บริหารโรงพยาบาลหลายคนที่มองว่า ระบบปัจจุบันมีข้อจำกัด โครงสร้างที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการปลายทาง และต้องการการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญมากขึ้น
“มาตรการระยะสั้น” จากข้อจำกัดของรัฐบาลอนุทิน
นพ.อนุกูล ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชบุรีและอดีตประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป แม้จะขอบคุณรัฐมนตรีและปลัดกระทรวงที่ตอบรับข้อเสนออย่างรวดเร็ว แต่เขาชี้ให้เห็นว่า แนวทางที่ประกาศออกมาส่วนใหญ่ยังเป็นเพียง “มาตรการระยะสั้น” ซึ่งสะท้อนข้อจำกัดของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
การที่ประกาศงบผู้ป่วยในปี 2569 ที่รัฐมนตรีลงนามไว้ก่อนหน้านี้ยังคงมีถ้อยคำว่า “หากงบไม่พอให้ลดลงตามส่วน” ซึ่งขัดกับมติบอร์ดล่าสุด เขาย้ำว่า “มติบอร์ดระบุชัดว่าไม่ให้ปรับลดงบ ดังนั้นต้องมีการแก้ประกาศให้สอดคล้อง มิฉะนั้นหน่วยบริการจะยังอยู่ในภาวะเสี่ยงเดิม”
ขณะที่ ความกังวลเรื่องงบประมาณปี 2569 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 3.2% ตามอัตราเงินเฟ้อและค่าจ้าง แต่ไม่ได้สะท้อนปริมาณบริการที่เพิ่มขึ้นจริง
“ตอนตั้งงบปี 69 เป็นการตั้งปลายปิด โดยไม่ได้หารือกับกระทรวงก่อน งบเพิ่มเพียง 3% ขณะที่บริการจริงเพิ่มมากกว่านั้นแน่ ถึงแม้รายหัวรวมจะเพิ่ม แต่ไม่ได้เพิ่มในหมวดผู้ป่วยใน เพราะฉะนั้นจะเกิดปัญหาขาดงบปลายปีอีกแน่นอน”
สังคมสูงวัย ความไม่สมดุล “รายได้ -ค่าใช้จ่าย”
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) ซึ่งหมายความว่าประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบสุขภาพ เพราะผู้สูงอายุมีแนวโน้มใช้บริการสุขภาพมากกว่าประชากรวัยอื่นๆ โดยเฉพาะบริการผู้ป่วยในและการรักษาโรคเรื้อรัง
นายพัฒนา รมว.สธ.ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “เทรนด์ประชากรที่มีอายุยืนขึ้น ย่อมทำให้ความต้องการด้านการรักษาและการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” เขาเน้นย้ำว่า การป้องกันจึงมีความสำคัญมาก เพราะค่าใช้จ่ายในการป้องกันถูกกว่าการรักษา
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการพูดถึงการป้องกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางปฏิบัติ งบประมาณส่วนใหญ่ยังคงถูกใช้ไปกับการรักษา ไม่ใช่การป้องกัน สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดสรรงบประมาณและการให้บริการ
“ต้องยอมรับว่าทุกฝ่ายห่วงงบประมาณด้านสาธารณสุข เพราะเป็นงบที่เติบโตต่อเนื่อง แต่รายได้ของประเทศเติบโตไม่มากนัก เราจึงต้องบริหารอย่างสมดุล” รมว.สธ. ระบุ
ความไม่สมดุลนี้เป็นความท้าทายหลักที่ระบบหลักประกันสุขภาพไทยกำลังเผชิญ ในช่วงที่ระบบเริ่มต้น 30 บาทรักษาทุกโรค โครงสร้างประชากรยังเอื้ออำนวย แต่ปัจจุบัน เศรษฐกิจเติบโตช้าลง ขณะที่ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
การแก้ปัญหานี้ต้องอาศัยแนวทางหลายมิติ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย การหารายได้เสริม การป้องกันโรค และอาจรวมถึงการปรับโครงสร้างการจัดสรรงบประมาณในภาพรวมของประเทศด้วย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




