ทว่าแรงงานลูกจ้างไทยยังไม่มีสุขภาวะด้านการเงินที่ดีนัก จากการสำรวจของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ราว 98.8% มีหนี้สินมากกว่ารายได้ ซึ่งภาระหนี้สินเฉลี่ย 432,318 บาทต่อครัวเรือน
และคนส่วนใหญ่เริ่มเป็นหนี้ในวัยทำงาน หนี้ส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายประจำวัน ไม่ใช่การลงทุน และคนทำงานหลายคนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ปลอดภัย ต้องพึ่งพาสินเชื่อนอกระบบ ที่มีดอกเบี้ยสูง
ด้วยหนี้สินเรื้อรัง เงินไม่พอใช้ ไม่มีเงินสำรองในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน ไม่สามารถวางแผนในอนาคตได้ ซึ่งเป็น “ภาวะไม่มั่นคงทางการเงิน” (Financial Insecurity) ส่งผลต่อความเครียดและไร้อำนาจจากการจัดการเงินไม่ได้ ซึ่งเชื่อมโยงกับความสูญเสียความเคารพในตนเอง
สุขภาวะทางการเงินที่ไม่ดีนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะด้านต่าง ๆ โดยตรง จากการศึกษาของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เผยให้เห็นว่า แรงงานไทยมีประมาณกว่า 38 ล้านคน กำลังเผชิญปัญหาสุขภาวะทางการเงิน และสุขภาวะการเงินก็เชื่อมโยงกับสุขภาพร่างกายโดยตรง เช่น ความเครียดที่นำไปสู่ความดันโลหิตสูง อาการนอนไม่หลับที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันที่ลดลง เกิดโรควิตกกังวล ซึมเศร้า
อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยอ้อม เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์หนักมากขึ้น เพื่อคลายเครียด รวมไปถึงการซื้ออาหารสุขภาพน้อยลง ทำงานล่วงเวลามากขึ้น จนไม่มีเวลาออกออกกำลังกาย และหลีกเลียงการตรวจสุขภาพเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
อีกทั้งความเครียดยังนำไปสู่ปัญหาครอบครัว การทะเลาะกับคู่ชีวิต คุณภาพความสัมพันธ์ที่ลดลงส่งผลต่อลูกด้านอารมณ์และการเรียน เท่ากับว่า หนี้สินนั้นสะสมไปพร้อมกับความเครียด วิตกกังวล และคุณภาพชีวิตที่ลดลง
การสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กร
เพราะปัญหาสุขภาวะทางการเงินกระทบสุขภาวะในชีวิต แผนสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กร สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร 8 สสส. จึงได้ร่วมมือกับจึงได้ร่วมมือกับเอกชน บริษัท โนบูโร แพลตฟอร์ม จำกัด ทำโครงการสร้างองค์กรสุขภาวะทางการเงิน และการสัมมนาโครงการ “การสร้างเสริมสุขภาวะด้านการเงินให้แก่วัยทำงานในสถานประกอบการ” เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2568 ให้หน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมอบรมความรู้ เพื่อสร้างทักษะทางการเงินและกลไกดูแลบุคลากรในองค์กร

พงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สสส.
พงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) กล่าวว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยสูงติดอันดับโลก มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ประมาณ 90% ซึ่งลูกหนี้จำนวนมากเป็นคนวัยแรงงาน ซึ่งเป็นฐานกำลังสำคัญของเศรษฐกิจและขององค์กรต่าง ๆ
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาหนี้นอกระบบถือว่ากำลังเป็นวิกฤต มีคนเป็นหนี้นอกระบบมากกว่า 10 ล้านคน และการกู้ลักษณะนี้ทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง ไปจนถึงความเสี่ยงต่อความรุนแรง รวมไปถึงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับปัญหาหนี้ เช่นการใช้สารเสพติด การดื่มสุราเพิ่มขึ้น ทำงานล่วงเวลาเกินจำเป็น จนเสียสุขภาพ ใจลอย สมาธิลดลง และความสัมพันธ์ในครอบครัวถดถอย
อาจสรุปได้ว่าผลกระทบจากหนี้นั้นเป็นห่วงโซ่กันคือ หนี้นำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจของครัวเรือน นำไปสู่ปัญหาสุขภาพของแรงงาน และนำไปสู่ปัญหาความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ขององค์กร เพราะเมื่อสุขภาพแรงงานถดถอย ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ผลิตภาพก็ลดลง ประเทศก็ไม่สามารถแข่งขันด้านผลิตภาพได้”
เมื่อหนี้เรื้อรังและปัญหาสุขภาวะทางการเงินจึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของคนทำงาน แต่เป็นเรื่องส่วนรวม ที่สัมพันธ์กันและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในทุกช่วงวัย เกี่ยวข้องกับครอบครัว และเศรษฐกิจประเทศ
และจากการศึกษาของสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สสส. ปัญหาการเงินไม่ได้เกิดจากรายได้ต่ำเท่านั้น หากยังมาจากการขาดทักษะการวางแผนและการจัดการที่รอบคอบ ทั้งความรู้ ทักษะ ทัศนคติ และพฤติกรรม แม้แรงงานลูกจ้างในองค์กรจะมีรายได้และโบนัสจากการทำงาน แต่องค์กรต่างๆ ยังไม่มีระบบช่วยจัดการทางการเงินให้
ดังนั้นเพื่อสร้างสุขภาวะทางการเงิน (Financial Well-Being) ให้คนทำงานมีความสุขและอิสระจากความวิตกกังวล องค์กรทั้งราชการหรือเอกชนจึงต้องตระหนักและสร้างระบบสนับสนุนให้พนักงานลูกจ้างมีสุขภาวะการเงินที่ดี 4 มิติ ได้แก่
- การวางแผน ตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและเหตุผล ไม่ใช่เพราะความจำเป็นเฉพาะหน้า รู้จักตั้งเป้าหมาย และลงมือทำตามแผนอย่างมีวินัยและข้อมูล มีทิศทางทางการเงิน
- การใช้จ่าย สามารถใช้น้อยกว่ารายรับ สามารถควบคุมได้และมีเงินเหลือเพียงพอ สามารถจ่ายหนี้ได้ตรงเวลา ไม่มีปัญหาค้าชำระหรือผิดนัดชำระหนี้
- การออม มีสภาพคล่อง และการกันความเสี่ยงเพียงพอ มีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ไม่ต่ำกว่า 3-6 เดือน สามารถเก็บเงินออมเพื่อลงทุนในอนาคต อย่างสม่ำเสมอ 10-20% ขึ้นไป และมีแผนเพื่อชีวิตหลังเกษียณ
- การกู้ยืม มีภาระหนี้สินในระดับที่สามารถจัดการได้ ไม่เป็นภาระเกินตัว มีแผนชำระหนี้ชัดเจน เข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรมในเวลาที่จำเป็น มีทางเลือกในการขอความช่วยเหลืออย่างปลอดภัย จ่ายหนี้ไม่เกิน 30 % ของรายได้ต่อเดือน
การพัฒนาองค์ความรู้และทักษะทางการเงินในการจัดการหนี้ การสร้างวินัยการออม การเพิ่มมูลค่าเงินเพื่อรองรับวัยเกษียณ หรือการบริหารรายรับรายจ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งต้องอาศัยความรู้ วินัย และการบ่มเพาะทักษะอย่างเป็นระบบ ถือเป็นรากฐานของการสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตที่มั่นคง และช่วยกำหนดทิศทางอนาคต ตั้งแต่การออม การใช้จ่าย การลงทุน ไปจนถึงการวางแผนเกษียณอย่างยั่งยืน
โครงการสร้างองค์กรสุขภาวะทางการเงินนี้ มีทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการ และกลายมาเป็นองค์กรต้นแบบ เช่น
- กองทรัพยากรทุนมนุษย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดทำโครงการ “CMU Happy Money มีเงินออม” ให้บุคลากรทบทวนพฤติกรรมทางการเงิน จนนำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมใหม่ในที่ทำงาน จากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เคยเป็นเรื่องเงียบ กลายมาเป็นเรื่องที่สามารถสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การวางแผนร่วมกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน
- สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการ “ทหารไทย หัวใจการเงิน” โดยจัดอบรมการออมและฝึกวินัยการเงินเหมือนฝึกวินัยภาคสนาม ให้จดรายรับรายจ่าย ควบคุมการใช้เงิน หลังจากพบว่ากำลังพลจำนวนมากมีปัญหาการเงินและทำเรื่องกู้ฉุกเฉินกับสหกรณ์จนมีคิวยาวมาก
ชีวิตแรงงานองค์กรสุขภาวะ
จากการประเมินการดำเนินการของโครงการ ดาวิษา ศรีธัญรัตน์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย บริการวิชาการและพัฒนาเครือข่าย คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ใช้เครื่องมือวินิจฉัยสุขภาวะองค์กร (Delightfulness in Organization Analysis-DOA) พบว่า องค์กรที่มีสุขภาวะทางการเงิน ให้บรรดาลูกจ้างแรงงานพนักงานสามารถปลดหนี้ได้สำเร็จ และรู้วิธีบริหารจัดการเพื่อปลดหนี้ วางแผนรายรับรายจ่ายอย่างสมเหตุสมผล มีวินัยการออมและใช้จ่ายอย่างประหยัด ไม่สร้างหนี้เพิ่ม อีกทั้งยังสามารถหารายได้เพิ่ม แม้ไม่มีทุนแต่สามารถใช้แรงงานแทนได้
และผลจากแรงงานลูกจ้างในองค์กรสุขภาวะสามารถปลดหนี้และวางแผนการเงินได้ ทำให้สามารถทำงานดีขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สิน ทำงานด้วยความสบายใจและมีประสิทธิภาพ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลว่า จะถูกทวงหนี้หรือกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าจะมายืมเงิน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเดือนชนเดือนหรือการหาเงินใช้หนี้
ข้อเสนอเชิงนโยบายของ สสส.
สสส. ระบุว่า ปัญหาการเงินไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของลูกจ้างพนักงาน แต่เป็นเรื่องที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ หากแต่องค์กรต่าง ๆ ยังไม่มีนโยบาย ไม่มีทรัพยากรไม่ได้จัดสรรงบประมาณ เวลาและทีมงานในการสร้างสุขภาวะทางการเงินในองค์กร และไม่มีตัวชี้วัดติดตามผลการดำเนินการ ดังนั้น นอกเหนือจากการจ่ายเงินเดือนและโบนัส องค์กรต่างๆ สามารถช่วยพนักงานลูกจ้างให้มีสุขภาวะทางการเงินที่ดีขึ้นได้ด้วย สวัสดิการทางการเงิน ได้แก่
- การเข้าถึงสินเชื่อในระบบที่เป็นธรรม มีระบบกู้ยืมในองค์กร สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด มีสินเชื่อฉุกเฉินที่อนุมัติรวดเร็ว
- การออมและการลงทุน มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีสหกรณืออมทรัพย์ หรือองค์กรสมทบเพื่อการออม
- สวัสดิการด้านสภาพคล่อง ที่สามารถเบิกล่วงหน้าได้ มีกองทุนสวัสดิการฉุกเฉิน และประกันสุขภาพ/อุบัติเหตุ
- การจัดการหนี้และการวางแผนการเงิน มีคลีนิกปรึกษาการเงิน ที่ปรึกษาหนี้ ใรโปรแกรมหรือแผนปลดหนี้ร่วมกับสถาบันการเงิน มีการจัดอบรมความรู้การเงิน
- รางวัลจูงใจเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการเงิน มีรางวัลสำหรับคนที่ออมต่อเนื่อง หรือโปรแกรมแข่งขันการออม
พงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ กล่าวกับ Policy Watch ว่า กลไกในการสร้างสุขภาวะทางการเงินในองค์กร ต้องมีโมเดลที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย ผู้ประกอบการภาคธุรกิจขนาดเล็กและกลางสามารถเลือกโมเดลในการสร้างระบบสนับสนุนสุขภาวะทางการเงินให้สอดคล้องกับกำลังความสามารถและทรัพยากรที่มีได้ โดยไม่รู้สึกว่าเป็นภาระหนักเกินไป
และในการออกแบบระบบเพื่อสุขภาวะทางการเงินต้องสอดคล้องกับความหลากหลายของพนักงานลูกจ้าง เช่นพนักงานที่อายุน้อย ต้องออกแบบวินัยที่สอดคล้องกับความต้องการใช้จ่ายใช้ชีวิต พนักงานที่มีลูกหรือเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่มีรายจ่ายและความกดดันสูง ต้องมีระบบกลไกที่สนับสนุนการพูดคุยเรื่องการเงินในครอบครัว พนักงานที่มีหนี้เยอะ ก็ควรมีที่ให้คำปรึกษาแบบไม่เปิดเผย และต้องมีหลักสูตรเสริมทักษะการจัดการหนี้ ไปจนถึงพนักงานต่างด้าวหรือฐานรายได้น้อย ที่สามารถออกแบบให้มีระบบการให้รางวัลคนที่ออมต่อเนื่อง ส่งเสริมการเข้าแหล่งทุนที่ปลอดภัย สอนการวางแผนรายรับรายจ่าย
อย่างไรก็ตาม จากการที่หน่วยงานองค์กรต่าง ๆ ในโครงการทำรายงานการดำเนินการและประเมินผลความสำเร็จส่งให้กับ สสส. ทาง สสส. ก็จะนำมาวิเคราะห์และผลักดันต่อ เป็นข้อเสนอเชิงนโยบายต่อภาครัฐที่กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานและองค์กรต่าง ๆ ทั้งผู้ประกอบการเอกชนและราชการ เป็นการทำนโยบายเพื่อสุขภาวะองค์กร และสุขภาวะทางการเงินที่มาจากประสบการณ์ของลูกจ้างและผู้ประกอบการ ซึ่งจะเป็นนโยบายที่ประสานกันทั้ง top-down และ bottom-up
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- คนไทย 24 ล้านคนเสี่ยงจน?: โจทย์ใหญ่รัฐบาลลดความยากจนหลายมิติ
- เผยดัชนีความจนหลายมิติ(MPI) คนไทย”จน-เสี่ยงจน”เกือบครึ่งประเทศ
- วิบากกรรมมนุษย์เงินเดือน “รายได้โตไม่ทันรายจ่าย”
- ไทยสุดยอดความเหลื่อมล้ำ สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน




