ที่มาของแนวคิดในเรื่องการการุณยฆาตเกิดมาจากแนวคิดมนุษย์นิยมที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่มนุษย์ทุกคนมีสิทธิในชีวิตและร่างกายของตนเอง มีอิสระในการที่จะกำหนดเลือกแนวทางในการดำเนินชีวิตตามที่ตนเองต้องการหรือไม่ต้องการได้ ในแง่ของการดูแลในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต บุคคลผู้เป็นเจ้าของชีวิตจึงสามารถเลือกที่จะกำหนดชะตากรรมในชีวิตของตนเองโดยการยุติชีวิตตนเองเพื่อให้ตนเองไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยหรือโรคภัยไข้เจ็บหรือการรักษาพยาบาล
สำหรับในประเทศไทยเรื่องการการุณยฆาตเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและผิดจริยธรรมทางการแพทย์ โดยมีความสับสนอยู่เสมอว่าเรื่องการการุณยฆาตกับเรื่องการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขตาม ม.12 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ว่าเป็นเรื่องเดียวกันทั้งที่ในทางวิชาการและหลักกฎหมายแล้วเรื่องดังกล่าวแตกต่างกัน เนื่องจากเรื่องการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขฯ เป็นเรื่องของการที่ผู้ป่วยแสดงเจตนาเป็นหนังสือตัดสินใจเลือกแนวทางในการรักษาพยาบาลที่ต้องการและไม่ต้องการในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต
เรื่องนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าไม่ใช่การุณยฆาตแต่เป็นเรื่องการตัดสินใจเลือกการรักษาพยาบาลที่ต้องการและไม่ต้องการ สำหรับเรื่องการการุณยฆาตนั้นเป็นเรื่องของการที่ผู้ป่วยแสดงความต้องการที่จะเสียชีวิตเพื่อหลีกหนีจากความเจ็บป่วยและทุกข์ทรมานที่ได้รับจากโรคหรือความเสื่อมของอวัยวะ
เมื่อมาพิจารณาในมุมมองของกฎหมายเปรียบเทียบในระดับสากลพบว่ามีการแบ่งการการุณยฆาตได้ 2 วิธี คือ
(1) บุคลากรทางการแพทย์ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยฆ่าตัวตาย (Physician Assisted Suicide : PAS)
(2) บุคลากรทางการแพทย์ให้ยาหรือสารเคมีแก่ผู้ป่วยโดยตรงจนผู้ป่วยตาย (Euthanasia) ซึ่งทั้งสองวิธีนี้แตกต่างกันในเรื่อง “การตายเกิดขึ้นจากการกระทำของใคร” โดย Euthanasia เป็นการที่ผู้ป่วยอนุญาตให้ผู้อื่นกระทำแก่ร่างกายตนเองโดยตรงจนตาย ดังนั้นการตายจึงเกิดจากการกระทำของผู้อื่น แต่ PAS คือการที่ผู้ป่วยได้รับความช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้ฆ่าตัวตาย ดังนั้นความตายจึงเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ป่วยเอง โดยกฎหมายในต่างประเทศที่อนุญาตให้การการุณยฆาตได้นั้นจะมีองค์ประกอบอยู่ 3 ส่วนหลักๆ คือ
- กฎหมายจะจงใจกำหนดเงื่อนไขในการขอเข้ากระบวนการการุณยฆาตอย่างเข้มงวดและยุ่งยากผ่านการกำหนดเงื่อนไขการลงทะเบียน และการจัดทำเอกสารเพื่อขออนุญาต เช่น จะต้องลงทะเบียนสองครั้งซึ่งทั้งสองครั้งห่างกัน 30 วันหรือ 60 วัน กำหนดว่าต้องให้ญาติทางสายเลือดหรือเพื่อนสนิทลงนามเป็นพยานในหนังสือขอเข้ากระบวนการ กำหนดแบบฟอร์มของเอกสาร กำหนดขั้นตอนการยื่นเรื่อง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายอย่างไม่จำเป็น
- กฎหมายจะกำหนดให้ผู้ที่ต้องการทำการุณยฆาตไม่ว่าจะโดยวิธีการใดจะต้องผ่านการดูแลแบบประคับประคองก่อนเสมอ โดยกฎหมายจะกำหนดว่าแม้จะผ่านการลงทะเบียนตามที่กำหนดแล้ว ยังต้องผ่านการสัมภาษณ์จากแพทย์ว่าได้ใช้กระบวนการดูแลแบบประคับประคองไม่ว่ารูปแบบใดก่อนเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมานแล้วหรือยัง ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการการดูแลแบบประคับประคองช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ความตายเป็นทางออกสุดท้ายในการยุติความทุกข์ทรมานที่ตนเองได้รับ
- จะต้องมีการกำหนดแนวทางในการปกป้องบุคลากรด้านสุขภาพที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำการุณยฆาตผู้ป่วย เช่น เข้าไปร่วมกระบวนการทำการุณยฆาตไม่ว่าขั้นตอนใดก็ตาม หรือ บุคลากรด้านสุขภาพที่ไม่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการทำการุณยฆาต เช่น ในกรณีบุคลากรด้านสุขภาพถูกผู้ป่วยร้องขอให้ทำการุณยฆาตแล้วไม่ทำให้ผู้ป่วย ให้ไม่ต้องรับผิดจากการกระทำและไม่กระทำของตนเองของตนเอง ทั้งนี้เพื่อเป็นการปกป้องบุคคลภายนอกที่ได้ดำเนินการตามที่กฎหมายและเจตนาของผู้ป่วยให้ไม่ต้องรับผิดทั้งในทางแพ่ง ทางอาญา ทางวิชาชีพ ทางวินัยและทางปกครอง
สำหรับประเทศไทยปัจจุบันมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่เห็นต่างในเรื่องการทำการุณยฆาต โดยฝ่ายที่เห็นต่างในเรื่องการุณยฆาตมักจะอ้างถึงเรื่องศาสนา สังคมและวัฒนธรรมที่ไม่ควรมีเรื่องการุณยฆาตในประเทศไทย แต่ฝ่ายที่เห็นด้วยมักจะอ้างว่าต้องการทำการุณยฆาตเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วย
เรื่องนี้จะต้องพิจารณาลงไปในรายละเอียดว่า “ความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยนี้” เป็นความทุกข์ทรมานจาก “โรค” หรือ “จากการเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ” กันแน่ เพราะหากเป็นเรื่องความทุกข์ทรมานจากการเข้าไม่ถึงระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและมาตรฐานก็ควรจะต้องไปแก้ไขปัญหาที่การจัดระบบบริการสุขภาพมากกว่าที่จะมาขอใช้ความตายเพื่อยุติความทรมาน มิฉะนั้นแล้วจะกลายเป็นว่าประเทศไทยไม่สามารถบริหารจัดการหรือจัดระบบสุขภาพเพื่อเยียวยาความทุกข์ทรมานและความเจ็บป่วยของประชาชนได้จนประชาชนจะต้องมาใช้ความตายเป็นทางออกเพื่อหลีกหนีจากความทุกข์ทรมานจากการเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาเป็นลำดับไปว่าประเทศไทยพร้อมที่จะดำเนินการตามมาตรฐานของกฎหมายต่างประเทศกำหนดหรือไม่ทั้งในเรื่องการที่จะต้องมีระบบการบริการจัดการและระบบการดูแลแบบประคับประคองที่เข้มแข็งก่อนตามที่ได้อธิบายไปข้างต้นว่าจะต้องดำเนินการก่อนที่จะไปทำการุณยฆาตได้ ดังนั้นจึงเป็นประเด็นที่ผู้กำหนดนโยบายจะต้องพิจารณาความเหมาะสมทั้งในแง่สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคมต่อไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
รู้จักหนังสือแสดงเจตนา (e-Living Will) ทำไมจึงสำคัญ