สาเหตุของปัญหาหนี้ในสองระดับ ปัจเจก (ตัวบุคคล) ที่มาจากทั้งการขาดความรู้และอคติเชิงพฤติกรรมที่นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิด และระดับสังคม ที่เกิดจากสถาบันที่กำหนดโครงสร้างแรงจูงใจและข้อจำกัดที่ทำให้พฤติกรรมของปัจเจกในสังคมนั้นนำไปสู่สังคมที่ไม่ยั่งยืน
สาเหตุจากทั้งสองระดับมีความเกี่ยวโยงกันเป็นวัฎจักร เพราะปัจเจกกำหนดสถาบันที่มากระทบต่อพฤติกรรมปัจเจกอีกทอดหนึ่ง ทางออกของ “ปัญหาหนี้” จึงไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องแก้ปัญหาในทั้งสองระดับไปพร้อม ๆ กัน ผ่านการให้ความรู้การใช้กลไกช่วยลดอคติเชิงพฤติกรรมต่าง ๆ ไปจนถึงการออกแบบสถาบันที่เหมาะสม
นอกจากนี้ยังมีความท้าทายอีกหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึง และสิ่งที่ขาดไม่ได้เพื่อแก้ปัญหาหนี้ ให้เกิดเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน คือ การคำนึงถึงคนรุ่นหลังและความตระหนักถึงว่าสิ่งที่เราทำในวันนี้จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อลูกหลานในอนาคตอย่างไร
หนี้คืออะไร
การสร้าง หนี้ หรือการกู้ยืม เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มทางเลือกในการโยกย้ายทรัพยากรระหว่างปัจจุบันและอนาคต โดยทรัพยากรดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเงินเสมอไป แต่รวมไปถึงทรัพยากรในรูปสิ่งของ สิ่งแวดล้อม รวมถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น เสถียรภาพในระบบการเงิน โดยหนี้สามารถทำให้เกิดความสมดุลของทรัพยากรระหว่างเวลามากขึ้นหากใช้อย่างเหมาะสม แต่ก็นำไปสู่การสร้างหนี้โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมากเท่าที่ควร
ตัวอย่างของหนี้ที่ใกล้ตัวทุกคน คือ การโยกย้ายรายได้ตลอดช่วงชีวิต เมื่อวัยเด็กยังไม่มีรายได้ และเมื่อเริ่มทำงานรายได้ค่อย ๆ สูงขึ้น และเมื่อสูงวัยรายได้ก็ปรับลดลงอีกครั้ง หากจำเป็นต้องกินต้องใช้ตามรายได้ที่มี ก็คงจะมีความสุขเฉพาะช่วงวัยทำงานและไม่มีอะไรกินในช่วงอื่น ๆ ของชีวิต
ดังนั้น หนี้ จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ยังสามารถบริโภคและใช้ชีวิตก่อนที่จะเริ่มทำงาน สามารถซื้อบ้านตอนที่เรามีรายได้ไม่มาก ไปจนถึงสามารถลงทุนกับการศึกษา เพื่อให้มีทักษะหารายได้ที่สูงขึ้น และในช่วงหลังเกษียณ การออม (หนี้ที่ติดลบ) ก็ช่วยให้ถ่ายโอนทรัพยากรจากวัยทำงานไปใช้ได้
ในระดับที่ใหญ่ขึ้น เช่น ระดับประเทศ ภาครัฐสามารถกู้ยืมเงินอนาคตมาลดความผันผวนจากวิกฤตเศรษฐกิจ หรือสามารถกู้เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีในระยะยาว ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า “หนี้” ทำให้คนหรือสังคมมีความสุขมากขึ้นได้ และหากใช้ในระดับที่เหมาะก็ไม่ได้กระทบต่อความยั่งยืนของตนหรือของระบบเศรษฐกิจอีกด้วย
แต่หลายครั้ง คนหรือสังคม มักก่อหนี้ที่มากเกินไปจนขาดความยั่งยืน นำไปสู่ปัญหาหนี้ที่ส่งผลให้คนหรือสังคมมีความเป็นอยู่ที่แย่ลงในระยะยาว โดยปัญหาหนี้ที่มีลักษณะที่สำคัญ 2 ประการ
ลักษณะประการแรกคือ “ปัญหาหนี้” มีผลกระทบที่หลากหลาย คือ ปัญหาหนี้บางอย่างเป็น ปัญหาหนี้ในระดับปัจเจก (ตัวบุคคล) ที่คนก่อหนี้ต้องชดใช้เองในอนาคต เช่น การกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพในอนาคต หรือการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่ทำให้ไม่มีเงินออมเพียงพอในอนาคต
ขณะที่ปัญหาหนี้บางอย่างเป็น “ปัญหาหนี้ในระดับสังคม” ที่คนอื่นในอนาคตต้องมาชดใช้แทน เช่น หนี้สาธารณะที่สูงที่เป็นภาระของคนรุ่นหลังต้องจ่ายคืนและสร้างจำกัดของการดำเนินบทบาทของภาครัฐในอนาคต นอกจากนี้ ในบางครั้งปัญหาหนี้ก็ส่งผลต่อทั้งผู้ก่อหนี้เองและต่อคนในอนาคตด้วย เช่น หากครัวเรือนที่ก่อหนี้ไม่สามารถใช้คืนได้ในอนาคต ก็เป็นปัญหาให้ครัวเรือนดังกล่าวต้องเป็นหนี้และรับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจนอาจจะไม่มีทางหลุดพ้นการเป็นหนี้ได้ ขณะเดียวกัน หนี้ครัวเรือนที่มีโอกาสเป็นหนี้เสียในระดับสูง ก็อาจจะส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศได้
ลักษณะประการที่สอง คือ “ปัญหาหนี้” บางอย่างใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล อาจจะหลายสิบปี หรือหลายช่วงอายุคน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ส่งผลทำให้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น แต่ปัญหาเหล่านี้ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล อาจทำให้คนในปัจจุบันไม่ตระหนักหรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาดังกล่าว เกิดเป็นปัญหาที่เรียกกันว่า “tragedy of the horizon”
สาเหตุของปัญหาหนี้
แล้วปัญหาหนี้ดังกล่าวเกิดจากอะไร? โดยสาเหตุของปัญหาหนี้แบ่งกว้าง ๆ ได้ 2 ระดับ คือ
- จากกระบวนการการตัดสินใจในระดับ ปัจเจก (เฉพาะตัวบุคคล) ที่ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อปัจเจกนั้น ๆ ในระยะยาว
- จากเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในระดับ สังคม หรือเรียกว่า สถาบัน ที่ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างแรงจูงใจและข้อจำกัดในระดับปัจเจกให้สอดคล้องกับเป้าหมายของสังคมที่ยั่งยืนในภาพรวม การตัดสินใจที่ทำให้ตัวปัจเจกเองมีความสุขที่สุดภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดที่กำหนดโดยสถาบันจึงนำไปสู่สังคมและเศรษฐกิจที่ไม่ยั่งยืน ในทางเศรษฐศาสตร์มักเรียกกันว่า economic agent คือบุคคลหรือองค์กรที่ทำการตัดสินใจด้วยตนเอง
สาเหตุจากระดับปัจเจก (เฉพาะตัวบุคคล)
การเลือกทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของปัจเจก (ตัวบุคคล) มักเป็นการเลือกเพื่อให้ตัวปัจเจกเองมีความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดตลอดช่วงชีวิต แต่บางครั้งปัจเจกก็มีการเลือกผิด คล้ายกับสถานการณ์ที่มักพูดกันว่า “ถ้าให้กลับไปเลือกใหม่ได้จะไม่ทำแบบเดิมอีก” ซึ่งปัญหาหนี้จากสาเหตุระดับปัจเจกนี้เกิดได้จากทั้งการขาดความรู้และจากอคติเชิงพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น
- การมองโลกในแง่ดีเกินไป เช่น มองว่าตัวเราน่าจะยังมีสุขภาพที่ดีในอนาคตจึงไม่ดูแลการกินและการออกกำลังกาย หรือมองว่าในอนาคตน่าจะมีรายได้มากขึ้นจึงกู้ยืมเยอะกว่าที่ควรทำในปัจจุบัน
- การขาดความรู้ขณะตัดสินใจทำให้ตัดสินใจผิด เช่น การเป็นหนี้บัตรเครดิตโดยที่ไม่เข้าใจเงื่อนไขและวิธีการคำนวณอัตราดอกเบี้ยจนเป็นหนี้สินเกินตัว
- การที่ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้แม้ว่าจะมีความรู้เพียงพอ หลายครั้งเราก็ยังไม่อาจทราบได้ว่าทางเลือกใดจะดีที่สุดเพราะความซับซ้อนของปัญหา เช่น การไม่รู้ว่าควรเก็บออมเงินหรือกู้เงินเท่าไหร่ถึงจะทำให้มีความสุขที่สุดในชีวิต เนื่องจากความไม่แน่นอนทั้งในเรื่องรายได้และอายุขัย
อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของปัญหาหนี้ในระดับปัจเจกที่เกิดขึ้นบ่อยคือ present bias หรือการที่ปัจเจกให้ความสำคัญกับ “ตัวเองในปัจจุบัน” มากกว่า “ตัวเองในอนาคต” และเป็นการตัดสินใจที่ไม่สอดคล้องกันตลอดช่วงเวลา ซึ่งมักจะทำให้ปัจเจกไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ
สมมติว่าเราต้องทำงานอะไรบางอย่างและต้องเลือกว่าจะทำวันนี้หรือพรุ่งนี้ หากให้ความสำคัญกับความสุขของตนเองวันนี้ก็อาจเลือกใช้เวลาวันนี้กับการพักผ่อน และเลือกให้ตนเองในวันพรุ่งนี้กับการทำงาน แต่เมื่อพรุ่งนี้มาถึง ก็จะยังให้ความสำคัญกับตนเองขณะนั้นและเลือกที่จะพักผ่อน เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ “ตัวเองในปัจจุบัน” แย่ลง แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ “ตัวเองในอนาคต” ดีขึ้น
ผลสุดท้าย คือ ไม่ได้ทำอะไรให้ตนเองดีขึ้นเลย ตัวอย่างอื่น ๆ รวมไปถึง การออม การกิน การลงทุน หรือการออกกำลังกาย เป็นต้น ในทางกลับกัน เราจะทำในสิ่งที่ “ตัวเองในปัจจุบัน” มีความสุขแม้อนาคตเราจะแย่ลง เช่น การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือการกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ โดยจากหลายงานศึกษาบ่งชี้ว่า จริง ๆ แล้วคนเรามักมีพฤติกรรม present bias (ให้ค่าในปัจจุบันมากว่าอนาคต)
สาเหตุจากระดับสังคม (สถาบัน)
อีกสาเหตุหนึ่งของ “ปัญหาหนี้” คือ ปัจจัยที่เกิดจากกฎกติกา รวมไปถึงการบังคับใช้กฎกติกาเหล่านั้น ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง ซึ่งเรียกสิ่งเหล่านี้รวม ๆ ว่า “สถาบัน” โดยข้อจำกัดเหล่านี้อาจเป็นแบบไม่เป็นทางการ เช่น ค่านิยมและขนบธรรมเนียม หรือเป็นทางการ เช่น กฎหมายและรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้สถาบันทำหน้าที่กำหนดโครงสร้างแรงจูงใจ และข้อจำกัด เปรียบเสมือนเป็นผู้สร้างกฎกติกาเพื่อสร้างแรงจูงใจหรือลงโทษการกระทำต่าง ๆ ของปัจเจก (ตัวบุคคล) ขณะที่ปัจเจกก็พยายามเลือกในสิ่งที่ทำให้ตนเองมีความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดภายใต้เกณฑ์แรงจูงใจหรือการลงโทษที่สถาบันสร้างขึ้น ดังนั้นสถาบันที่แตกต่างกันย่อมทำให้พฤติกรรมของปัจเจกในแต่ละสังคมแตกต่างกันด้วย
สถาบันที่ไม่สามารถให้แรงจูงใจกับพฤติกรรมที่ยั่งยืน ไม่สามารถลงโทษพฤติกรรมที่ไม่ยั่งยืน หรือไม่สามารถคลายข้อจำกัดที่นำไปสู่การก่อหนี้เกินตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของปัจเจก ก็ย่อมส่งผลให้พฤติกรรมของปัจเจกในสังคมนั้นนำไปสู่ “ปัญหาหนี้ระดับสังคม” ต่อไป แม้การตัดสินใจของปัจเจกจะมีเหตุมีผลที่สุดแล้วก็ตาม
หากแบ่งสถาบันออกเป็นสามด้านตามนิยามของ North (1990) อาจสามารถยกตัวอย่างปัญหาหนี้ทางสังคมที่เกิดจากสถาบันที่ไม่ดีได้คร่าว ๆ ดังนี้
- สถาบันเศรษฐกิจ ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความล้มเหลวของตลาด (market failures) เช่น การขาดข้อมูลที่ครบถ้วน ในระบบการเงินที่ทำให้เกิดการกู้เกินตัว หรือการปฏิเสธสินเชื่อแก่คนบางกลุ่ม จนไม่สามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ, การแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้การดำเนินธุรกิจขาดประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ, หรือผู้ผลิตที่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงต้นทุนจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีผลกระทบระยะยาว
- สถาบันสังคม เช่น ความไม่เสมอภาคด้านโอกาสและการได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมภายใต้กฎหมายหรือเส้นสาย ทำให้คนบางกลุ่มไม่เชื่อว่าการลงทุนระยะยาวผ่านการศึกษาหรือการทำงานหนักจะช่วยให้พวกเขาก้าวหน้าขึ้นได้, การขาดโครงข่ายการคุ้มครองทางสังคมที่ดีทำให้คนไม่สามารถรับมือกับความผันผวนทางรายได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความจำเป็นต้องกู้ยืมโดยไม่มีทางเลือก, หรือการขาดการส่งเสริมความตระหนักรู้ ข้อมูล และความเข้าใจที่เพียงพอ ให้คนรู้ถึงผลของการตัดสินใจของตนเองต่ออนาคตเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหนี้ในระดับปัจเจก
- สถาบันการเมือง เช่น ระบบที่ทำให้นักการเมืองต้องมุ่งเน้นผลงานระยะสั้น เพื่อสร้างฐานคะแนนและเพิ่มโอกาสในการได้รับเลือกกลับมา ส่งผลให้มีนโยบายที่เน้นผลประโยชน์ระยะสั้นโดยไม่คำนึงผลต่อความยั่งยืนระยะยาว เช่น นโยบายรถคันแรก และนโยบายพักหนี้ ขณะที่นโยบายที่ดีในระยะยาวแต่ไม่เห็นผลในระยะสั้นกลับไม่ได้รับความสำคัญ เช่น การเพิ่มรายได้รัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลัง หรือนโยบายด้านการศึกษา
หากย้อนกลับไปมองสาเหตุของปัจเจกและสถาบัน จะเห็นได้ว่าสาเหตุด้านสถาบัน (กฎกติกาที่สถาบันกำหนดหรือล้มเหลวที่จะกำหนด) มีส่วนกำหนดพฤติกรรมของปัจเจกให้ไม่คำนึงถึงอนาคต ขณะเดียวกันสถาบันก็ถูกกำหนดขึ้นจากปัจเจกในสังคม ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมผ่านตัวแทนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมประชาธิปไตยที่กฎกติกาควรจะสะท้อนความต้องการของสังคม ถ้าปัจเจกในสังคมมี present bias (ให้ค่าในปัจจุบันมากกว่าอนาคต) นั้น ขาดความรู้ หรือมีอคติเชิงพฤติกรรมอื่น ๆ ก็อาจนำไปสู่การอยากมีสถาบันที่หล่อเลี้ยงพฤติกรรมที่นำไปสู่ปัญหาหนี้ในสังคม จนกลายเป็นวัฏจักร
ทางออกปัญหาหนี้
ปัญหาหนี้มีสาเหตุจากทั้งระดับปัจเจก (ตัวบุคคล) และจากสถาบัน และสองสาเหตุยังมีความเชื่อมโยงกันเป็นวงจร การแก้ปัญหาหนี้จึงต้องทำไปทั้งสองระดับพร้อม ๆ กัน คือ ต้องให้ความรู้และออกแบบกลไกเพื่อลดอคติเชิงพฤติกรรมต่าง ๆ ของปัจเจก ควบคู่ไปกับการออกแบบสถาบันเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างแรงจูงใจและคลายข้อจำกัดของปัจเจกที่อยู่ในสังคม เพื่อให้พฤติกรรมในระดับปัจเจกนำไปสู่สังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ทางแก้ในระดับปัจเจก
มีกลไกหลายอย่างที่สามารถช่วยให้ปัจเจก (ตัวบุลคล) ก้าวข้ามอคติเชิงพฤติกรรม เช่น การใช้แรงจูงใจและการลงโทษ การใช้เครื่องมือสร้างเงื่อนไขผูกมัด ไปจนถึงการใช้กลไกที่ก้าวข้ามกระบวนการตัดสินใจของปัจเจก เป็นต้น ซึ่งการใช้กลไกเหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ปัจเจกตัดสินใจอย่างมีความรู้และมีข้อมูลที่เพียงพอด้วย
1.การใช้แรงจูงใจและการลงโทษช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมปัจเจก โดยการใช้แรงจูงใจเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมที่ดี เช่น การให้รางวัลตัวเองหลังจากทำอะไรบางอย่างสำเร็จ ในทางกลับกัน การสร้างบทลงโทษก็สามารถช่วยให้ปัจเจกเลี่ยงทำในสิ่งที่ไม่ควรทำได้ เช่น การสัญญากับตัวเองว่าจะบริจาคเงินให้พรรคการเมืองที่เราไม่ชอบทุกครั้งที่สูบบุหรี่
2.การใช้เครื่องมือสร้างเงื่อนไขผูกมัด (commitment device) เป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาจาก present bias เนื่องจาก present bias เกิดจากการที่เรามองตนเองในอนาคตเป็นเหมือนคนอีกคนหนึ่ง ทำให้เกิดการผลักภาระหรือสิ่งที่ควรทำไปให้ตัวเราเองในอนาคต หลายงานศึกษาอธิบายว่าปัญหานี้เกิดจากปัญหาการควบคุมตนเอง เช่น ควบคุมตนเองให้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพไม่ได้แม้จะตั้งใจเอาไว้แล้ว โดยเครื่องมือสร้างเงื่อนไขผูกมัดจะช่วยให้เราสามารถทำสิ่งที่ควรทำ เพราะเป็นการสร้างข้อผูกมัดให้เลือกพฤติกรรมที่เราคิดว่าเหมาะสมไว้ล่วงหน้า
อีกกลไกหนึ่งคือการก้าวข้ามกระบวนการตัดสินใจของปัจเจก เพื่อเลี่ยงอคติเชิงพฤติกรรม ตัวอย่างคือ การใช้การกำหนดค่าตั้งต้นให้เหมาะสมกับพฤติกรรมที่ปัจเจกควรปฏิบัติ เพราะปัจเจกมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ก่อนหน้ามากกว่าที่จะเปลี่ยนตัวเลือกไปทำสิ่งอื่น เช่น ในกรณีของการบริจาคอวัยวะในสหรัฐฯ การกำหนดค่าตั้งต้นให้เลือกบริจาคช่วยให้มีสัดส่วนผู้บริจาคมากขึ้น หรือการกำหนดค่าตั้งตนของอัตราการออมที่สูงในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ทางแก้ในระดับสถาบัน
การแก้ปัญหาหนี้ในระดับสังคมจำเป็นต้องเริ่มจากการออกแบบ “สถาบัน” ที่มีกฎกติกาที่ชัดเจน เพื่อควบคุมไม่ให้ปัจเจกที่อยู่ร่วมกันในสังคมมีพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้อื่น ซึ่งปัจจุบันมีกฎเกณฑ์ดูแลผลกระทบเชิงลบสำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่ในเวลาเดียวกันอยู่แล้ว เช่น การมีกฎว่าห้ามทำร้ายกัน ห้ามขโมยของ หรือ การห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ
แต่สถาบันเหล่านี้ยังต้องคำนึงถึงสิทธิของปัจเจกรุ่นหลังที่ยังไม่เกิด ซึ่งควรมีสิทธิในทรัพยากรที่ไม่ถูกทำลายหรือเสื่อมถอยไปกว่ารุ่นปัจจุบัน เนื่องจากทรัพยากรไม่ได้เป็นของคนในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว หากสถาบันไม่สามารถสร้างเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่ช่วยปกป้องทรัพยากรให้คนรุ่นหลังได้อย่างเพียงพอ ปัญหาหนี้ในระดับสังคมก็จะยังคงมีอยู่และอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น
สถาบันเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจึงมีความสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้ โดยสถาบันเศรษฐกิจที่ดีควรสามารถจัดการปัญหาตลาดที่ล้มเหลวได้ ตัวอย่างเช่น
- ผลกระทบภายนอก (externalities): รัฐสามารถจัดเก็บภาษีจากการกระทำที่มีผลกระทบต่อสังคมเพื่อให้แรงจูงใจสอดคล้องกับต้นทุนทางสังคม เช่น การจัดเก็บภาษีคาร์บอน (carbon tax) เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของการปล่อยมลพิษ
- ตลาดที่ไม่สมบูรณ์ (incomplete market): การให้บริการที่เอกชนไม่สามารถจัดหาด้วยตัวเอง เช่น ระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือการประกันรายได้จากการว่างงาน
- ความล้มเหลวของข้อมูล (information failures): การบังคับให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็น เช่น การกำหนดให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ปัญหาการแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์ (failure of competition): รัฐต้องมีบทบาทในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม
ด้านของสถาบันสังคม การสร้างความยุติธรรมทางสังคม จำเป็นต้องดำเนินการทั้งในด้านการลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้และสินทรัพย์ รวมถึงการส่งเสริมความเท่าเทียมทางโอกาสและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค ในขณะเดียวกัน การเข้าถึงข้อมูล ความรู้ และการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง จะช่วยให้บุคคลมีทักษะในการสร้างรายได้และสามารถตัดสินใจทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความยั่งยืนและลดปัญหาหนี้ในระดับปัจเจกและสังคมในระยะยาว
ด้านสถาบันการเมือง จำเป็นต้องมีกลไกที่สนับสนุนการตัดสินใจที่คำนึงถึงผลกระทบระยะยาว เช่น การจัดตั้งสถาบันการคลังอิสระ เพื่อให้มีการตรวจสอบและกำกับการใช้จ่ายงบประมาณอย่างโปร่งใสและยั่งยืน รวมไปถึงการกำหนดกฎเกณฑ์ทางการคลัง (fiscal rules) เช่น การจำกัดระดับหนี้สาธารณะต่อขนาดเศรษฐกิจหรือจำกัดการใช้จ่ายในแต่ละปีของรัฐ หรือในตัวอย่างของสิงคโปร์ที่รัฐบาลต้องรักษางบประมาณสมดุลในช่วงระยะเวลา 4 ปีที่แต่ละรัฐบาลอยู่ในอำนาจ หรือการใช้กฎการคลัง เป็นต้น
ความท้าทายแก้ “ปัญหาหนี้” ระดับสถาบัน
โจทย์การแก้ปัญหาหนี้ในระดับสังคมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น
- เนื่องจากปัญหาเกิดจากหลายระดับและหลายสาเหตุ การแก้ไขปัญหาจึงต้องคิดแบบองค์รวมและไม่สามารถแก้ด้านใดเพียงด้านเดียว เช่น การแก้ปัญหาด้านการผูกขาดการแข่งขัน แต่หากขาดนโยบายดูแลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (เช่น carbon tax) ก็ยังอาจกระทบต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว หรือการมี carbon tax แต่ไม่แก้ปัญหาเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนหรือความล้มเหลวของข้อมูลก็อาจจะทำให้คนตัวเล็กที่มีศักยภาพแต่เข้าไม่ถึงเงินทุนไม่สามารถอยู่ได้
- การปรับเปลี่ยนระบบเป็นเรื่องยาก แม้ว่าจะทำให้สังคมโดยรวมดีและยั่งยืนขึ้น แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนบางกลุ่มได้รับผลกระทบ การดูแลผู้ได้รับผลกระทบจึงเป็นเรื่องสำคัญ มิเช่นนั้นอาจจะเกิดผลที่ไม่คาดคิด เช่น การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอาจกระทบกับปัจเจกบางกลุ่มได้ อย่างบริษัทเล็กที่ขาดเงินทุนและผู้ที่ประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เป็นต้น นอกจากนี้ การกำหนดข้อจำกัดดังกล่าวเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลระยะสั้น เพราะการปรับเปลี่ยนระบบมักหมายถึงระดับการบริโภคและความสุขเริ่มต้นที่ลดลงเพื่อให้เศรษฐกิจสังคมในภาพรวมยั่งยืนขึ้น
- สังคมสูงอายุ หมายถึงขอบเขตการตัดสินใจเฉลี่ยของคนจะสั้นลง ทำให้คนกลุ่มนี้หากไม่คำนึงถึงผู้อื่นในสังคมและไม่ตัดสินใจโดยยึดหลักความยั่งยืน ก็จะมีแนวโน้มที่จะใช้ทรัพยากรมากเกินไป โดยศึกษาของParker (2012) และ Wolter et al. (2012) พบว่าครัวเรือนอายุน้อยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางการคลังกว่าครัวเรือนสูงอายุ สอดคล้องกับขอบเขตการตัดสินใจของครัวเรือนอายุน้อยที่สั้นกว่า
- การเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจเกิดความล้มเหลวในการประสานงาน เช่น ถึงแม้ว่าทุกประเทศจะตระหนักถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่หากไม่สามารถดำเนินการจัดเก็บภาษีหรือมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการไปพร้อม ๆ กันได้ ก็จะไม่มีประเทศใดยอมเริ่มต้นทำก่อน
- จำเป็นต้องมีการจัดการทางสถาบัน ที่ช่วยให้กลไกต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย เช่น การมีหลักนิติธรรม ที่สามารถบังคับใช้กลไกต่าง ๆ ได้ การมีความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล และการมีผู้นำหรือเจ้าภาพที่สามารถขับเคลื่อนกลไกเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิผล
สิ่งจำเป็นในการแก้ “ปัญหาหนี้”
มาถึงตรงนี้จะเห็นถึงทางแก้ต่าง ๆ ในระดับปัจเจก (ตัวบุคคล) และระดับสถาบัน แต่หากย้อนกลับไปต้องไม่ลืมว่าปัจเจกและสถาบันมีส่วนกำหนดซึ่งกันและกันเป็นวัฏจักร จาก Economics Box: ปัญหาหนี้ในสังคมที่เกิดขึ้นเมื่อปัจเจกมาอยู่ร่วมกัน จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมในระดับปัจเจกมีแนวโน้วที่จะนำไปสู่ปัญหาหนี้ในระดับสังคม ซึ่งปัจเจกเหล่านี้ก็ย่อมอยากมีสถาบันที่เอื้อให้หล่อเลี้ยงพฤติกรรมดังกล่าว
แล้วอะไรจะทำให้ปัจเจกอยากสร้างสถาบันที่ดีที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้? คำตอบประกอบไปด้วยสองส่วน ได้แก่
- การคำนึงถึงคนรุ่นหลัง หรือ ความแคร์ (care) เพราะหากปัจเจกไม่แคร์แล้วก็คงจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับตัวเองในปัจจุบันมากที่สุดจนขาดความยั่งยืนระยะยาว จริง ๆ เศรษฐศาสตร์การพัฒนา อธิบาย “ความยั่งยืน” แบบกว้าง ๆ ว่า คนที่เกิดมาในอนาคตต้องมีคุณภาพชีวิตหรือความสุขในระดับที่เทียบเท่าหรือดีกว่าคนรุ่นก่อนหน้าไปเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ ลูกของเราจะต้องมีความสุขไม่น้อยกว่าเราเอง และหลานของเราก็จะต้องมีความสุขไม่น้อยกว่าลูกเรา เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อปัจเจกแคร์ จึงนำไปสู่สังคมที่แคร์ และนำไปสู่ผู้มีอำนาจการปกครองที่แคร์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย จึงจะเกิดสถาบันที่ดีขึ้นได้
- ความตระหนัก (aware) หากทุกคนแคร์แต่ขาดความตระหนักว่าสิ่งที่เราทำในวันนี้ สิ่งไหนส่งผลดีหรือส่งผลเสียต่อตัวเราเองหรือลูกหลานในอนาคต ก็ไม่สามารถนำไปสู่การออกแบบสถาบันที่ให้แรงจูงใจและข้อจำกัดที่นำไปสู่เศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนได้
หนี้มีความซับซ้อน
ปัญหาหนี้เกิดจากการยืมทรัพยากรจากอนาคตมาใช้ในปัจจุบันมากเกินจุดสมดุลจนนำไปสู่ความไม่ยั่งยืน ซึ่งเห็นได้ทั่วไปทั้งในระดับปัจเจก เช่น เป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนหรือหนี้สุขภาพ ไปจนถึงระดับสังคม เช่น ปัญหาหนี้สิ่งแวดล้อม ปัญหาหนี้การคลัง หรือปัญหาหนี้จากการลงทุนต่ำเพราะขาดการแข่งขัน โดยปัญหาหนี้เหล่านี้เกิดจากหลายสาเหตุ ในระดับปัจเจก (ตัวบุคคล) มักเกิดจากการขาดความรู้และอคติเชิงพฤติกรรม และในระดับสังคมมักเกิดจากการที่สถาบันทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไม่สามารถออกแบบโครงสร้างแรงจูงใจและข้อจำกัดให้ปัจเจกมีพฤติกรรมที่นำไปสู่เศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน
ด้วยความซับซ้อนของปัญหาหนี้ ทำให้การแก้ต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กันในสองระดับ โดยให้ความรู้และลดอคติเชิงพฤติกรรมของปัจเจก เช่น ผ่านการใช้เครื่องมือสร้างเงื่อนไขผูกมัด ให้ปัจเจกสามารถสร้างข้อผูกมัดเพื่อให้สามารถทำสิ่งที่ควรทำได้ และการออกแบบสถาบันที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของปัจเจกให้คำนึงถึงผลกระทบต่อคนรุ่นหลังและคำนึงถึงความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว รวมถึงช่วยลดโอกาสที่ปัจเจกจะต้องสร้างปัญหาหนี้โดยไม่มีทางเลือก
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาหนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องเผชิญมีความท้าทายหลายด้าน เช่น การแก้ปัญหาหนี้ด้านหนึ่งอาจส่งผลให้ปัญหาหนี้อีกด้านรุนแรงขึ้นจึงต้องคิดวิธีแก้แบบองค์รวม การดูแลผลกระทบระยะสั้นจากปัญหาหนี้ที่สะสมมาในอดีต การจัดการทางสถาบันที่ช่วยให้กลไกต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจและการยอมรับในสังคมเกี่ยวกับความสำคัญของการตัดสินใจที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรในอนาคตอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมแนวคิดที่คำนึงถึงคนรุ่นหลังและความตระหนักต่อปัญหา
การเริ่มต้นแก้ปัญหาหนี้ที่มีความซับซ้อนและมีหลายมิติคงต้องเริ่มจากการทำสิ่งที่สามารถทำได้ก่อน โดยคำนึงว่าสิ่งเหล่านี้ต้องนำไปสู่การพัฒนาสถาบันในภาพรวมที่ดีขึ้น เมื่อเริ่มต้นได้อย่างเหมาะสมอาจช่วยขยายความตระหนักรู้ในวงที่กว้างขึ้น และนำไปสู่การแก้ปัญหาในลำดับที่มีความท้าทายขึ้นจากทั้งระดับปัจเจกและสังคมที่จะช่วยนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง