ThaiPBS Logo

คำสัญญาที่ไม่เกิดขึ้นจริง: ความล้มเหลวเชิงนโยบายของรัฐบาล และคำถามที่สังคมต้องการคำตอบ

27 ส.ค. 256812:38 น.
คำสัญญาที่ไม่เกิดขึ้นจริง: ความล้มเหลวเชิงนโยบายของรัฐบาล และคำถามที่สังคมต้องการคำตอบ
สิ่งที่ประชาชนคาดหวังจากรัฐบาล ไม่ใช่เพียงการประกาศนโยบายที่สวยหรู แต่คือการเห็นคำสัญญาเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลยังคงมีช่องว่างระหว่าง “สิ่งที่พูด” กับ “สิ่งที่ทำ” อย่างชัดเจน

นโยบายเรือธงหลายเรื่องที่เคยถูกประกาศด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือการลดภาระค่าครองชีพ กลับถูกเลื่อนออกไปเพราะเงื่อนไขทางกฎหมาย งบประมาณ หรือการบริหารจัดการที่ไม่รอบคอบ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าการประกาศนโยบายโดยไม่เตรียมแผนรองรับที่ชัดเจน ทำให้ความหวังของประชาชนกลายเป็นความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้การที่รัฐบาลออกมาออกมาแสดงความเสียใจหรือขอโทษ ต่อประชาชนจะถือเป็นสัญญาณเชิงบวกในระดับหนึ่งในแง่การแสดงความรับผิดชอบ เพราะสะท้อนว่าผู้มีอำนาจเริ่มยอมรับต่อความผิดพลาดหรือความล่าช้าในการดำเนินนโยบาย

แต่คำขอโทษเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ หากปราศจากแผนการดำเนินการต่อเนื่องที่ชัดเจนว่าจะเร่งรัดอย่างไร จึงจะทำให้นโยบายเป็นจริงได้ทันเวลา ประชาชนไม่ได้รอฟังคำปลอบใจ แต่ต้องการรู้ว่าจากนี้จะทำอย่างไรให้สำเร็จและเมื่อไรจะเห็นผล

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายควรให้กับประชาชนจึงต้องไม่ใช่คำปลอบใจ แต่คือขั้นตอนถัดไปที่เป็นรูปธรรมและสามารถตรวจสอบได้

มิเช่นนั้น คำพูดก็จะกลายเป็นเพียงวาทกรรมที่ใช้เพื่อบรรเทาสถานการณ์ชั่วคราว โดยไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในทางปฏิบัติ

สัญญาที่กลวงเปล่าคือภาพสะท้อนของความล้มเหลวในฐานะ “ผู้รักษาสัญญา”

หนึ่งในข้อวิจารณ์ที่หนักที่สุดต่อรัฐบาลเวลานี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีผลงานแต่เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ได้ต่างหาก สัญญาที่เคยเป็นธงนำหาเสียงกลับกลายเป็นภาระที่สะท้อนถึงความไม่รอบคอบ ความไม่มั่นคงทางอุดมการณ์ และความล้มเหลวในการบริหารจัดการทางการเมือง

นโยบาย “Digital Wallet 10,000 บาทซึ่งควรจะเป็นจุดขายใหญ่ที่สุด กลับติดปัญหาทางกฎหมายและงบประมาณ แถมยังถูกตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่าและความจำเป็น นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ก็ไม่ต่างกัน ที่แม้จะเคยประกาศชัดเจนว่าจะเริ่มใช้ในเร็ววันนี้ แต่สุดท้ายต้องเลื่อนออกไปเพราะกฎหมายที่เกี่ยวข้องยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งที่รัฐบาลรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปได้ยากที่จะทำให้เสร็จทันเวลา แต่ก็ยังเลือกประกาศวันเริ่มต้นราวกับต้องการซื้อใจประชาชนมากกว่าจะจริงใจในความเป็นไปได้

ไม่เพียงเท่านั้น ประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญและการปฏิรูปกฎหมายซึ่งเป็นความหวังของประชาชนสายประชาธิปไตย ก็ยังไร้ความคืบหน้า ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าคำสัญญาทางการเมืองเหล่านี้กำลังกลายเป็นเพียงเครื่องมือหาเสียง ไม่ใช่เป้าหมายที่รัฐบาลจริงจังจะทำให้เกิดขึ้นจริง

ในทางการเมือง การตัดสินใจจับมือกับพรรคร่วมที่เคยเป็นคู่ขัดแย้งอย่างเข้มข้น ก็ยิ่งทำให้ประชาชนจำนวนมากรู้สึกถูกหักหลัง การได้อำนาจมาแลกกับการลดทอนอุดมการณ์ กลายเป็นรอยแผลลึกที่ทำลายความเชื่อมั่นในพรรคที่เคยถูกมองว่าเก่งเรื่องเศรษฐกิจและใส่ใจประชาชน

ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดเจนว่า รัฐบาลไม่ได้เพียงล้มเหลวในการทำงานเชิงเทคนิค แต่ล้มเหลวในฐานะผู้รักษาสัญญาที่ประชาชนฝากความหวังไว้ 

คำถามที่ยังไร้คำตอบ

เมื่อมองไปข้างหน้า สิ่งที่สังคมต้องการไม่ใช่คำแก้ตัว แต่คือคำตอบที่จริงใจและชัดเชน เช่น

  • ทำไมรัฐบาลจึงกล้าประกาศกำหนดวันเริ่มนโยบาย ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้?
  • ความผิดพลาดในการสื่อสารต่อสาธารณะเป็นเพียงความสะเพร่าหรือเป็นความตั้งใจที่จะบิดเบือน?
  • การจับมือกับคู่ขัดแย้งทางการเมือง คุ้มค่ากับการสูญเสียความน่าเชื่อถือหรือไม่?
  • ใครจะรับผิดชอบต่อประชาชนที่ต้องจ่ายค่าเสียโอกาสในช่วงรอยต่อเพราะความล่าช้าของรัฐบาลเอง?
  • และสำคัญที่สุด หากนโยบายเรือธงที่หาเสียงมาด้วยแรงศรัทธายังทำไม่ได้ ประชาชนจะมีเหตุผลใดเหลืออยู่ที่จะเชื่อมั่นในสัญญาอื่นๆ ต่อไป?

รัฐบาลอาจยังเหลือเวลา แต่ความเชื่อมั่นที่สูญเสียไปทุกวันนั้นกำลังยากจะกู้คืน คำถามคือ รัฐบาลยังเหลืออะไรให้ประชาชนหวังอีกหรือไม่? หรือพวกเขาจะมีแนวทางที่แสดงให้เห็นถึงการรักษาสัญญาได้อย่างไร?

แนวทางที่ควรทำเพื่อรักษาสัญญา

หากรัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายจริงใจต่อคำสัญญาของตนเอง จำเป็นต้อง

  • สื่อสารตรงไปตรงมา: บอกข้อจำกัด เงื่อนไข และกรอบเวลาอย่างซื่อสัตย์ ไม่ควรประกาศวันเริ่มต้นเพียงเพื่อสร้างภาพทางการเมือง
  • จัดทำแผนสำรอง: หากกฎหมายล่าช้า ต้องมีมาตรการเฉพาะหน้า เช่น การอุดหนุนค่าโดยสารชั่วคราว หรือการลดภาระค่าครองชีพในรูปแบบอื่น
  • ใช้กลไกสภาอย่างเต็มศักยภาพ: .. ฝ่ายรัฐบาลต้องเข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียงและเร่งผลักดันกฎหมายด้วยความรับผิดชอบ ไม่ปล่อยให้การเมืองภายในกลายเป็นอุปสรรค
  • ตั้งระบบติดตามและประเมินผล: เปิดเผยความคืบหน้าตามไทม์ไลน์ที่ชัดเจน ให้ประชาชนตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส

ทำอย่างไรให้คำพูดสอดคล้องกับการกระทำ

ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่เพียงความล่าช้า แต่คือประเทศไทยยังขาดกลไกการตรวจสอบและรับผิดชอบต่อคำสัญญาที่แข็งแรง หากมองไปยังต่างประเทศ จะพบว่ามีหลายระบบที่ช่วยให้คำพูดของนักการเมืองไม่กลายเป็นเพียงวาทกรรมเลื่อนลอย เช่น

  • สหราชอาณาจักร มีการจัดทำ Ministerial Code และระบบ Parliamentary Select Committees ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติของตัวรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง
  • แคนาดา มีการกำหนด Mandate Letters ที่นายกรัฐมนตรีมอบให้รัฐมนตรีทุกคน โดยระบุเป้าหมายเชิงนโยบายและประชาชนสามารถติดตามความก้าวหน้าได้แบบสาธารณะ
  • ออสเตรเลีย มีระบบ Performance Reporting ของหน่วยงานรัฐ ซึ่งบังคับให้มีการรายงานผลการดำเนินนโยบายเชื่อมโยงกับงบประมาณอย่างโปร่งใส

กลไกเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการขอโทษหรือคำสัญญา ของรัฐบาลจะมีน้ำหนักก็ต่อเมื่อเชื่อมโยงกับโครงสร้างตรวจสอบที่โปร่งใส ชัดเจนและต่อเนื่อง ไม่ใช่ปล่อยให้คำพูดสูญหายไปตามวาระทางการเมือง

ดังนั้น หากรัฐบาลไทยต้องการสร้างความเชื่อมั่น คำขอโทษต้องตามมาด้วย

  • แผนปฏิบัติการที่ชัดเจน มีกรอบเวลาและตัวชี้วัด
  • การติดตามและรายงานต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส
  • กลไกตรวจสอบภายนอก เช่น คณะกรรมการอิสระ หรือการเปิดเผยข้อมูลให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทอย่างจริงจัง
  • วัฒนธรรมการเมืองที่เน้นความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพียงการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์

การสร้างระบบเช่นนี้จะทำให้คำพูดของนักการเมืองไม่กลายเป็นเพียงคำขอโทษที่สวยงามแต่เป็นการยกระดับมาตรฐานประชาธิปไตยและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในสายตาประชาชน

เพื่อยกระดับกลไกการตรวจสอบและรับผิดชอบต่อคำสัญญาของนักการเมือง คำถามที่สังคมควรถามต่อ คือ

  • หากรัฐบาลยังไม่สามารถทำตามนโยบายเรือธงได้จริง จะมีอะไรรับประกันได้ว่านโยบายอื่นๆ จะไม่กลายเป็นเพียงวาทกรรมซ้ำอีก?
  • เราจำเป็นต้องปฏิรูประบบติดตามนโยบายอย่างไร เพื่อไม่ให้สัญญาทางการเมืองกลายเป็นเพียงการตลาดทางการเลือกตั้ง?
  • และสำคัญที่สุด หากวันนี้คำสัญญายังไม่สอดคล้องกับการกระทำ วันหน้าประชาชนจะยังมีเหตุผลใดที่จะเชื่อใจนักการเมือง?

 

ร่วมติดตามคำสัญญาและนโยบายสาธารณะได้ที่แพลตฟอร์มในประเทศอย่าง Parliament Watch โดย WeVis (https://parliamentwatch.wevis.info) หรือ Policy Watch โดย ThaiPBS (https://policywatch.thaipbs.or.th) เพื่อขับเคลื่อนประชาธิปไตยกระบวนการนโยบายสาธารณะ

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

ชดเชยรถไฟฟ้า 20 บาทเท่าไรจะพอ? เมื่อรัฐบาลเคาะงบ 5 พันล้านบาท

เช็กเงื่อนไข รถไฟฟ้าทุกสาย 20บาท เริ่มใช้ 30 ก.ย. 68

สุริยะขอโทษ รถไฟฟ้า 20 บาทเลื่อนเป็น 15 พ.ย. เหตุติดขัดกฎหมาย

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ขนส่งสาธารณะ

นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย (หรือ การปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท) เป็นหนึ่งในนโยบายปฏิบัติการเร่งรัด (Quick Win) ของรัฐบาลในด้าน “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: