ภูเก็ตเปลี่ยนผ่านเมืองมาแล้วด้วยกันถึง 2 ครั้ง ชีวิตที่ 1 คือ “เหมืองแร่” และชีวิตที่ 2 คือ “การท่องเที่ยว” ทว่าวันนี้เกาะแห่งนี้กำลังเผชิญหน้ากับมรสุมลูกใหม่ที่ท้าทายยิ่งกว่าในอดีต ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และกระแสของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิต และการทำงานของคนภูเก็ต
นี่จึงเป็นวาระสำคัญที่ Policy Watch จะเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็นให้ “คนภูเก็ต” ได้เข้ามาระดมความคิด และวางแผนการใช้ความพร้อมและศักยภาพที่มีอยู่ ในการพัฒนาเมืองให้ยั่งยืนในทุกมิติผ่าน Policy Forum “Learn Next : Sustainable Phuket สร้างคน พัฒนาเมือง”
ภูเก็ตปรับยุทธศาสตร์ ชูชีวิตที่ 3 เป็นเมืองแห่งความสุข
ความไม่แน่นอนทางสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี นำไปสู่ความคิดในการ “รีดีไซน์” เมืองครั้งใหญ่ โดย ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม ประธานมูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยว ภูเก็ต สรุปวิสัยทัศน์จากการประชุม “Phuket Foresight 2030” อย่างชัดเจนว่า
“ภูเก็ตจะเป็นเมืองแห่งความสุข และเป็นแหล่งรวมคนที่มีพรสวรรค์ (House of Talent) เพื่อสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้กับเกาะ”
การเป็น “House of Talent” คือการสร้างให้เด็กภูเก็ต เป็นเหมือน “เต่าทะเล” ที่ออกไปหาประสบการณ์แล้วกลับมาอยู่บ้านในท้ายที่สุด ซึ่งวิสัยทัศน์นี้ได้ถูกแปลงออกมาเป็น “ยุทธศาสตร์พัฒนาเมือง 7 มิติ” เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมในปี 2030 ได้แก่
- Global Knowledge Hub เปลี่ยนจากการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ (Educational Hub) ให้ภูเก็ตกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะความรู้ที่มีคุณภาพระดับโลก
- Creative Gastronomy City เติมคำว่า “Creative” ไว้ด้านหน้า “Gastronomy” เพราะภูเก็ตไม่ใช่แค่ต้องการให้คนเดินทางเข้ามากินหมูฮ้องในประเทศ แต่ต้องการจะนำหมูฮ้องไปขายยังนิวยอร์ก หรือส่งออกน้ำพริกกุ้งเสียบไปขายลอนดอน
- Maritime Industry Center ภูเก็ตจะไม่ใช่แค่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเล แต่จะครอบคลุมเรื่องทะเลทั้งหมด เพราะภูเก็ตเป็นเกาะ ซึ่งควรจะมีความรู้เรื่องทะเลทั้งหมด
- Longevity City เมืองสุขภาพดีของทุกคน ในอดีตภูเก็ตมุ่งเน้นการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) แต่ปัจจุบันจะเน้นให้ความสำคัญกับสุขภาพของคนในเกาะด้วย
- MICE & Mega Event การจัดประชุมและอีเวนท์ขนาดใหญ่ เช่น การจัดมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale Phuket 2025
- Smart City การขับเคลื่อนเมืองด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ
- Smart Agriculture เกษตรอัจฉริยะ

ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม ประธานมูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยว ภูเก็ต
พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา โอกาสสำคัญสร้างคน พัฒนาเมือง
นับเป็นโอกาสดี ที่ในวันนี้คนภูเก็ตได้เห็นความสำคัญในการปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง ขณะเดียวกันยังได้รับการจัดตั้งให้เป็น “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” ตั้งแต่ปลายปี 2565 ที่ทำให้ภูเก็ตกลายเป็น “แซนด์บ็อกซ์” ที่มีสิทธิในการจัดการตัวเองด้านการศึกษา และยังเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญ ที่ทำให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามาร่วมกันทำงานด้านการพัฒนาการศึกษา กำหนดทิศทาง “พัฒนาคน” ที่ตอบรับความต้องการของเมือง
พรรณา พรหมวิเชียร ศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ต อธิบายความพิเศษของแซนด์บ็อกซ์นี้ว่า โรงเรียนที่เข้าเป็น “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” มาจากทุกสังกัดจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือเทียบเท่า ทั้งของภาครัฐ (ในระดับประถม/มัธยมศึกษา) องค์การบริหารส่วนจังหวัด และเทศบาล โดยจะได้รับอำนาจและสิทธิประโยชน์โดยตรงคือ
- อิสระด้านหลักสูตร : จัดทำหลักสูตรตามบริบทของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่การเลือกหลักสูตรจากส่วนกลาง
- เงินทุนเสริมศักยภาพ: โรงเรียนในสังกัด สพฐ. จะได้รับเงินรายหัวเพิ่มเติม โดยมีงบประมาณกว่า 7 ล้านบาทถูกจัดสรรไปแล้วในกลุ่มแรก (25 โรงเรียน) ส่วนโรงเรียนในกลุ่มที่สอง รวมถึงโรงเรียนในสังกัดอื่น ๆ อีก (63 โรงเรียน) กรมบัญชีกลางกำลังจัดสรรให้เพิ่มเติม
- ได้รับสิทธิ ไม่ต้องรับการประเมินการประกันคุณภาพการศึกษาจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา องค์การมหาชน (สมศ.)
- มีสิทธิจัดซื้อหนังสือเรียนได้ด้วยตัวเอง
- มีสิทธิในการการเคลื่อนย้าย หรือบรรจุครูได้ด้วยตัวเอง (ปัจจุบันเรื่องนี้ยังไม่เห็นการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ)
อย่างไรก็ตาม แม้สิทธิพิเศษจะมอบโอกาสหลายด้านให้กับภูเก็ต แต่การเปลี่ยนแปลงยังต้องใช้เวลา “พรรณา” ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงอาจยังไม่ทันเห็นได้ด้วยตา เนื่องจากยังไม่ค่อยได้มีการประชาสัมพันธ์ และปัญหาบางอย่างฝังรากลึกมานาน แต่อย่างน้อยคือเราได้เห็น “ผู้บริหาร” มีความกระตือรือร้นในการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมให้เห็นผล

พรรณา พรหมวิเชียร ศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ต
เช่นเดียวกับ ผศ.ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เห็นด้วยว่า การเป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา แม้ยังไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เห็นแบบพลิกโฉม แต่สิ่งหนึ่งที่จับต้องได้คือ “ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในหลายภาคส่วน” ซึ่งทำให้สามารถวางพิมพ์เขียวของ “เด็กภูเก็ต” ที่จังหวัดต้องการ นั่นคือ “เด็กต่งห่อ” (ในภาษาฮกเกี้ยน แปลว่า “เด็กดีรอบด้าน”)
“เมื่อเราดีไซน์ผลลัพธ์ที่อยากให้เด็กเป็น ระบบการศึกษาจะมองเห็น ‘วิธีการบ่มเพาะ’ ที่ชัดเจน … เพื่อสร้างคนที่ตอบโจทย์เมือง และคนเหล่านี้จะกลับมาพัฒนาเมืองต่อไปในอนาคต”
ผศ.ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
“ผศ.ศิริวรรณ” ยืนยันว่า หากได้เห็นการเรียนการสอนในอดีตจนมาถึงปัจจุบันจะเห็นการเปลี่ยนแปลง โดยหลักสูตรการศึกษาของภูเก็ตในวันนี้ ไม่ใช่หลักสูตรสมรรถนะ 100% แต่เป็นหลักสูตรไฮบริด ที่มองว่า “ห้องเรียนคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง”

คนขวา ลำดับที่ 3 : ผศ.ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
2 กับดักวังวนการศึกษาที่ต้องเร่งแก้
ภูเก็ตแม้จะได้รับการปลดล็อกอำนาจและสิทธิประโยชน์ในฐานะพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา แต่ผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ชี้ว่าการพัฒนาการศึกษาของจังหวัดยังไม่เต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากต้องเผชิญกับกับดักวังวนทางการศึกษา 2 ประการที่สำคัญ
- ระบบการประเมินผลที่สวนทางกับเป้าหมายท้องถิ่น
- การประเมินผลยังคงใช้ของส่วนกลางเป็นมาตรวัดหลัก ซึ่งไม่สอดคล้องกับเป้าหมายเฉพาะของภูเก็ตที่ต้องการสร้าง “เด็กต่งห่อ”
- เมื่อคะแนนวัดผลที่ได้ยังคงเท่าเดิม หรือไม่เปลี่ยนแปลง ครูจึงอาจขาดความมั่นใจที่จะสอนในรูปแบบใหม่ และนั่นอาจทำให้การเปลี่ยนแปลงเมืองตามเป้าหมายที่วางไว้ ยิ่งเป็นไปได้ยาก
- คนขับเคลื่อน “พื้นที่ต้นแบบนวัตกรรมการศึกษา” เปลี่ยนแปลงบ่อย
คนขับเคลื่อนในทุกระดับ อาทิ ผู้ว่าราชการ, ศึกษาธิการจังหวัด หรือแม้แต่กระทั่งครู มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้โครงการพัฒนาทุนมนุษย์ของแซนด์บ็อกซ์นี้ ต้องมีการเริ่มต้นทำความเข้าใจและสร้างความร่วมมือกันใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลให้การพัฒนาเป็นไปอย่างติด ๆ ขัด ๆ ไม่ราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น
3 ต้นทุน สะท้อนความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษา
แม้การปฏิรูปการศึกษาจะเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงและพยายามผลักดันมานานกว่า 3 ทศวรรษ แต่ ศ.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์พิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า ภูเก็ตแตกต่างและมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าพื้นที่อื่น โดยเฉพาะเมื่อ พ.ร.บ.พื้นที่ต้นแบบนวัตกรรมการศึกษา จะได้รับการขยายระยะเวลาออกไปอีก 7 ปี
การขยายระยะเวลาครั้งนี้เป็นสัญญาณที่ดีว่า อย่างน้อยภูเก็ตยังมีเวลาพิเศษอีก 7 ปี ในการใช้กลไกแซนด์บ็อกซ์อย่างเต็มที่ เพื่อเดินหน้าสร้างคนให้ตอบโจทย์เมือง เนื่องจากภูเก็ตมี “3 ต้นทุน” ที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้แตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ดังนี้
- ทุนทางวัฒนธรรมนำเรื่องเศรษฐกิจ หลักสูตรการศึกษาใหม่ของภูเก็ตใช้เรื่องทุนทางวัฒนธรรมนำเรื่องเศรษฐกิจ ทำให้ผู้เรียนรักในวัฒนธรรม ท้องถิ่น และสิ่งแวดล้อม
- คาแรกเตอร์ของเด็กภูเก็ตถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน คือ “เด็กต่งห่อ” ทำให้ครูสามารถออกแบบหลักสูตรและพัฒนาคนได้ตรงความต้องการของจังหวัด
- ใช้ “4 อา” (อาหาร อาคาร อาภรณ์ อารมณ์) เป็นห้องเรียน การเรียนรู้ของภูเก็ตไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยม แต่ใช้บริบทเมืองเป็นแหล่งเรียนรู้ขนาดใหญ่ ที่จะทำให้เด็ก ๆ ได้บูรณาการความรู้และลงมือทำจริง ทำให้การเรียนมีความหมายและเชื่อมโยงกับชีวิตของชาวภูเก็ตมากขึ้น
ต้นทุนทั้งสามประการนี้ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ภูเก็ตต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเปลี่ยน “ความท้าทาย” ให้กลายเป็น “ความสำเร็จ” ในอีก 7 ปีข้างหน้า

ศ.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์พิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เป้าหมายเมือง – การพัฒนาการศึกษา ไม่สอดคล้อง แต่มีจุดร่วม
วิสัยทัศน์ของเมืองที่อยากให้ภูเก็ตเป็น “เมืองแห่งความสุข” กับเป้าหมายของการพัฒนาการศึกษาที่ต้องการสร้าง “เด็กต่งห่อ” แม้จะไม่สอดคล้องกันอย่างสิ้นเชิง แต่มีจุดร่วมกันตรงที่ ต้องการสร้างให้เด็กมีสุขภาวะที่ดี สามารถจัดการตัวเองได้ และมีความสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์
การพัฒนาเด็กให้เป็น “เด็กต่งห่อ” อาจทำให้ภูเก็ตกลายเป็นเมืองแห่งความสุขไม่ได้ เพราะต้องอาศัยหลายองค์ประกอบ แต่ “การพัฒนาทุนมนุษย์” ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่ง ที่จะสร้างพลเมืองมาขับเคลื่อนภูเก็ตให้เดินหน้าไปสู่เป้าหมาย “เมืองแห่งความสุข” ได้
“ศ.สมพงษ์” เชื่อมั่นว่า หากทุกภาคส่วนทำความเข้าใจและตั้งเป้าหมายร่วมกัน ภูเก็ตจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจทัดเทียมเท่าสิงคโปร์ได้ แต่ต้องใช้โอกาสที่ได้รับจาก “พ.ร.บ.พื้นที่ต้นแบบนวัตกรรมการศึกษา” อย่างเต็มที่
“อยากให้ศึกษาธิการจังหวัด ถอดบทเรียนวันนี้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุย ทำความเข้าใจ และเห็นเป้าหมายร่วมกัน แล้วนำไปเสนอกรรมการพื้นที่นวัตกรรมฯว่า จังหวัดภูเก็ตมีจุดแข็งคือ ‘ความร่วมมือแต่ละฝ่าย’ และเรามีเป้าหมายชัดเจนแล้วว่า จะเป็น ‘เมืองแห่งความสุข’ แต่เราจะใช้โอกาสที่มีอยู่ จากการได้รับจัดตั้งให้เป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษานี้อย่างไร เพราะถ้าการศึกษายังอยู่ในกรอบ เป้าหมายที่หวังไว้ก็อาจเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจตรงกัน และมีเป้าหมายร่วมกัน ภูเก็ตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เราจะเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับสิงคโปร์”
ศ.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์พิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ต้องปลดล็อกอำนาจให้ท้องถิ่น–เอกชน เข้ามามีบทบาทอย่างแท้จริง
ปัจจุบันองค์ประกอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมฯ ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 21 คน ซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วน โดยมี “ผู้ว่าราชการจังหวัด” เป็น ประธาน, “ศึกษาธิการจังหวัด” เป็นเลขานุการ และ “นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” เป็น หนึ่งในคณะกรรมการฯ แต่การทำงานของคณะกรรมการฯ กลับถูกจำกัดด้วยระเบียบและงบประมาณตามระบบราชการ
การที่งบประมาณยังไม่มา ทำให้การประชุมเพื่อกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนต้องหยุดชะงัก หรือเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ทั้งที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องพร้อมเข้าร่วมมากเพียงใด ซึ่งสวนทางกับโอกาสที่ภูเก็ตได้รับ
ขณะเดียวกันงบประมาณท้องถิ่นที่ได้รับจัดสรรมา ส่วนใหญ่เป็น “งบดำเนินงานปกติ” หรือ “งบรายจ่ายประจำ” ทำให้ขาดงบประมาณที่จำเป็นสำหรับการริเริ่มและลงทุนในโครงการพัฒนาการศึกษาใหม่ ๆ
“ในเมื่องบท้องถิ่น ยังไม่พออิ่ม ก็เป็นเรื่องที่ต้องกล้าเปลี่ยน ให้เอกชนมานำการขับเคลื่อน เพื่อความคล่องตัวและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ซึ่งผมยินดี ไม่เสียใจ และเสียดายเลย แต่กระทรวงศึกษาธิการจะกล้ารับหรือไม่”
เรวัต อารีรอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต
เสียงสะท้อนนี้เรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการปลดล็อกอำนาจ และมอบความเชื่อมั่นให้กับท้องถิ่นและภาคเอกชนได้เข้ามามีบทบาทได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้แซนด์บ็อกซ์ของภูเก็ตสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาได้อย่างแท้จริง

เรวัต อารีรอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต
4 ข้อเสนอ ปฏิรูปการศึกษา พัฒนาภูเก็ตให้เป็นเมืองแห่งความสุข
จากอุปสรรคทั้งหมดที่เผชิญอยู่ เพิ่มเกียรติ เกษกุล ประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดภูเก็ต และ “ภูมิกิตติ์” จึงมีข้อเสนอแนะให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กล้าคิด และ กล้าทำ ใน 4 เรื่อง เพื่อปฏิรูปการศึกษาและพัฒนาภูเก็ตให้กลายเป็นเมืองแห่งความสุข
- เปลี่ยนมาตรวัดการประเมินผล ต้องไม่ได้มาจากส่วนกลาง และสร้างมาตรวัดของตัวเองที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเมือง
- ครูต้องมีภารกิจสอนหนังสืออย่างแท้จริง ลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอน พร้อมทั้งปรับปรุงรายได้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับค่าครองชีพของพื้นที่
- ข้อมูลต้องเชื่อมโยงกันได้ ทลายกำแพงของแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถแชร์และใช้ข้อมูล ทำงานร่วมกันได้อย่างแท้จริง
- ลดความเหลื่อมล้ำ จัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น เพื่อให้เด็กภูเก็ตทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะการอุดช่องว่างของทรัพยากรและคุณภาพการเรียนการสอนระหว่างโรงเรียนสังกัด สพฐ., ท้องถิ่น และนานาชาติ
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นจริงได้ ถ้ามีองค์ประกอบครบ “3D” คือ Data แชร์ข้อมูลระหว่างกัน, Digital นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ ในการจัดระบบการศึกษาและบริหารเมืองและ Decentralization มอบหมายให้ผู้ที่เหมาะสม นั่งเป็นประธานในการขับเคลื่อนงาน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด หรือศึกษาธิการจังหวัด ขณะเดียวกันต้องมี Local Team ที่เข้มแข็ง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของผู้นำ ที่ปัจจุบันภูเก็ตกำลังเผชิญปัญหาปรับเปลี่ยนบ่อย

คนซ้าย : เพิ่มเกียรติ เกษกุล ประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดภูเก็ต
“ภูเก็ตเคยผ่านความท้าทายที่ยากที่สุดในวิกฤตโควิดมาแล้ว และผ่านมาได้เป็นอันดับ 1 ของประเทศ แล้วเรื่องการศึกษา… ทำไมภูเก็ตจะทำไม่ได้ ด้วยขีดความสามารถของคนภูเก็ตที่เคยทำมาแล้วกับ ‘แซนด์บ็อกซ์’”
ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส




