องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ World-Meteorological Organization ที่เคยออกคาดการณ์สภาพภูมิอากาศทั่วโลกในช่วง 5 ปีได้อย่างแม่นยำ คาดดารณ์อีก 5 ปีข้างหน้า เริ่มตั้งแต่ปีนี้ มีความเป็นไปได้สูงถึง 80% ที่โลกจะมีปีที่มีสถิติอุณหภูมิสูงที่สุดใหม่ หรือเรียกได้ว่าทุบสถิติของอุณหภูมิสูงสุดปี 2567 (ค.ศ.2024) อุณหภูมิสูงที่ว่านี้มีโอกาสที่อุณหภูมิจะสูงขึ้นอีกหรือมากกว่า 2 °C
คาดว่าช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคมในระหว่างปี 2568-2572 (ค.ศ. 2025-2029) จะเกิดความอุ่นมากผิดปกติในทุก ๆ พื้นที่ โดยเฉพาะอุณหภูมิของพื้นผิวโลกบนพื้นดินที่มีความน่าจะเป็นมากกว่าพื้นผิวน้ำทะเล นอกจากนี้ รายงานพยากรณ์ชี้ว่าพื้นผิวของพื้นที่ในเขตอาร์กติก มีโอกาสที่อุณหภูมิจะสูงเพิ่มขึ้นอีก 2.4°C มากกว่าค่าเฉลี่ยระหว่างปี 2534-2563 (ค.ศ. 1991-2020)
ถึงแม้ว่าความน่าจะเป็นของอุณหภูมิพื้นผิวในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีโอกาสสูงเพิ่มมากกว่า 1.5 °C ถึง 86% แต่ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิที่สูงขึ้นในระยะยาวยังคงอยู่ที่ 1.5°C
การพยากรณ์ที่ผ่านมาค่อนข้างแม่นยำ
ก่อนหน้านั้น ในช่วง 5 ปีก่อน ระหว่างปี 2563-2567 (2020-2024) กรมอุตุนิยมวิทยาโลกได้คาดการณ์สภาพอากาศคอนข้างแม่นยำ ยกตัวอย่างเช่น ระดับปริมาณน้ำฝนที่คาดการไว้ว่าในหลายพื้นที่จะมีปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นได้เกิดขึ้นจริง เช่น ยุโรปกลาง เอเชีย และพื้นที่เขตแอฟริกาตอนกลาง ในขณะที่อเมริกาใต้และทวีปแอฟริกาก็ได้พบกับความแล้งมากขึ้น
อย่างเดียวที่มีการพยากรณ์คลาดเคลื่อนที่อุณหภูมิพื้นผิว เนื่องจากข้อมูลจากการพยากรณ์ประเมินอุณหภูมิที่ต่ำกว่าความเป็นจริงในหลายพื้นที่เช่น ตอนเหนือของแอตแลนติก ยุโรปตะวันออก และบางส่วนของแอฟริกา
ปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นผิดปกติหลายพื้นที่
รายงานคาดการณ์ว่าจะมีน้ำฝนมากผิดปกติในหลายพื้นที่ และมีความเป็นไปได้สูงสำหรับพื้นที่ในเขตซีกโลกเหนือ (Northern Hemisphere) ที่จะเจอกับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดเดาได้ว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอกาศ หรือ โลกร้อน
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่อื่นๆ ที่จะพบกับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น เช่น บางพื้นที่ของออสเตรเลีย พื้นที่ใกล้ทะเลทรายในเขตทวีปเอฟริกา (African Sahel) ยุโรปตอนเหนือ อลาสก้าของสหรัฐอเมริกา และไซบีเรีย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตกใจคือ พยากรณ์รายงานว่า เขตพื้นที่ป่าแอมะซอนจะพบเจอความแล้งผิดปกติ ซึ่งเหตุการณ์นี้จะส่งผลต่อระบบนิเวศในวงกว้าง เนื่องจากป่าแอมะซอนมีขนาดใหญ่และมีความสำคัญต่อสภาพภูมิอากาศของโลก
ส่วนพื้นที่เขตเอเชียตอนใต้ ที่ผ่านมาได้เจอกับความแปรปรวนที่มากขึ้นช่วงหน้าฝนระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน เช่น มีนำ้ฝนตกมากผิดปกติ ซึ่งการพยากรณ์ในอีก 5 ปี ข้างหน้าคาดว่าสภาพอากาศลักษณะนี้ยังคงดำเนินต่อไปด้วยความน่าจะเป็นถึง 82%
น้ำแข็งในทะเลทั่วโลกละลายต่อเนื่อง
จากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นส่งผลต่อแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมโลก โดยเฉพาะแถบขั้วโลก โดยรายงานยังย้ำถึงสถานการณ์จะรุนแรงขั้น โดยคาดว่าความหนาแน่นของน้ำแข็งทะเลในทะเลขั้วโลกเหนือหรือแถบ Arctic ในช่วงเดือนมีนาคม ระหว่างปี 2568-2572 (ค.ศ. 2025-2029) จะลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในทะเลแบเร็นตส์ ซึ่งส่วนหนึ่งของมหาสมุทรอาร์กติกตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศนอร์เวย์และประเทศรัสเซีย
นอกจากนี้ กระทบต่อแผ่นน้ำแข็ง บริเวณทะเลเบริง ซึ่งตั้งอยู่ทางมหาสมุทรแปซิฟิก และอยู่ทางใต้ช่องแคบเบริงที่กั้นระหว่างรัสเซียและสหรัฐ และแผ่นน้ำแข็งในทะเลโอค็อตสค์ ซึ่งอยู่ระหว่างตอนเหนือของอยู่กับรัสเซีย
ในขณะเดียวกัน เครื่องมืออีกตัวให้การคาดการณ์ในลักษณะเดียวกันว่าความเข้มข้นของน้ำแข็งทะเลในทะเลกรีนแลนด์ จะลดลง และคาดว่าน้ำแข็งทะเลช่วงเดือนกันยายน ในเขตมหาสมุทรแอนตาร์กติก จะน้อยลงกว่าปกติ
ใช้พยากรณ์ชุดนี้เป็น ‘ตัวช่วย’
กรมอุตุฯ ชี้ว่าควรใช้การพยากรณ์เหล่านี้เป็นเพียงตัวช่วย แต่การพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่การพยากรณ์ที่เป็นทางการของทวีปใดทวีปหนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง ฉะนั้นแล้ว หน่วยที่เกี่ยวข้องควรนำข้อมูลชุดนี้ไปประกอบกับการพยากรณ์ต่างๆ ในพื้นที่ของตน
ดังนั้น มีความเป็นไปได้ที่ผลลัพธ์ความเป็นจริงจะออกมาเหมือนหรือไม่เหมือนการพยากรณ์นี้
กรมอุตุฯทิ้งท้ายไว้ว่า หากมีการเกิดปะทุของภูเขาไฟขนาดใหญ่ เหตุการณ์นี้จะทำให้การพยากรณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนไปด้วย
ที่มา: https://wmo.int/sites/default/files/2025-05/WMO_GADCU_2025-2029_Final.pdf
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
“ร้อน-แล้ง-กัดเซาะชายฝั่ง” ผลกระทบโลกร้อนกำลังมาเยือน