การติดตามจาก WMO Global Atmosphere Watch (GAW) หรือกรมอุตุนิยมวิทยาโลก พบว่าก๊าซ Carbon Dioxide (CO2) ก๊าซ Methane และ Nitrous Oxide มีสถิติสูงใหม่ในปี 2024 การเพิ่มขึ้นของปริมาณก๊าซเหล่านี้ มาจากทั้งปัจจัยทางธรรมชาติและการปล่อยมลพิษจากเชื้อเพลิงฟอซซิล รวมถึงประสิทธิภาพการกักเก็บคาร์บอนของธรรมชาติหรือ Carbon Sinks ที่ลดลง
ประมาณ 53% ของมลพิษทั้งหมดที่ถูกปล่อยตั้งแต่ปี 2014-2023 นั้นอยู่ในชั้นบรรยากาศ 26% อยู่ในมหาสมุทร และอีก 21% อยู่บนพื้นดิน และการปล่อยก๊าซ CO2 เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อปัจจุบันหรืออนาคตอันใกล้เท่านั้น แต่จะยังส่งผลกระทบต่อไปอีกนับร้อยปี เพราะก๊าซ CO2 มีอายุยืนยาว
กราฟฟิกซ้ายล่างแสดงถึงความเข้มข้นเฉลี่ยของก๊าซ CO2 ทั่วโลก และกราฟฟิกด้านขวาแสดงถึงอัตราการเพิ่มขึ้นของ CO2 ตั้งแต่ปี 1984 ถึง 2024

ที่มา: World Meteorological Organization และ Global Atmosphere Watch
ก๊าซ Methane หนึ่งในก๊าซเรือนกระจกมีส่วนถึง 16% ที่กระทบต่ออุณหภูมิโลกที่อุ่นขึ้น ก๊าซ Methane มีอายุยืนยาวประมาณ 9 ปี คาดการณ์ว่า 40% ของก๊าซ Methane ในชั้นบรรยากาศมาจากทรัพยากรธรรมชาติเช่น Wetlands หรือพื้นที่ชุ่มน้ำ และอีก 60% มาจากการกระทำจากมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การเลี้ยงปศุสัตว์ นาข้าว การใช้เชื้อเพลิงฟอซซิล และการทิ้งขยะและฝังกลบลงดิน ปัจจุบันระดับของก๊าซ Methane เพิ่มขึ้นมากถึง 166% จากยุคก่อนอุตสาหกรรม
ก๊าซ Nitrous oxide เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีอายุยาวนาน ซึ่งมีความสำคัญเป็นอันดับสาม และเกิดขึ้นได้จากทั้งแหล่งธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาชีวมวล การใช้ปุ๋ย และกระบวนการอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ระบบนิเวศที่ไม่สมบูรณ์ เพิ่มความเปราะบาง
ไฟป่าในทวีปอเมริกาไม่เพียงแต่ก่อมลพิษในระดับสูงจากการเผา แต่ยังเป็นการบ่งบอกถึงระบบนิเวศที่เสื่อมลงอย่างมาก
ประเทศ Bolivia เจอกับไฟป่ารุนแรงอย่างผิดปกติเกือบตลอดทั้งปีในปี 2024 ส่งผลให้ระดับของมลพิษมีค่าเฉลี่ยสูงใหม่ทุกเดือน ยกเว้นเดือนธันวาคม ในเขตพื้นที่ Amazon ของ Brazil เองก็เจอกับค่าเฉลี่ยมลพิษที่สูงใหม่ และนับได้ว่าเป็นระดับที่สูงที่สุดของพื้นที่ในระยะ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ในส่วนของทวีปอเมริกาเหนือ ถึงแม้ระดับของมลพิษของประเทศ Canada จะไม่ได้มีสถิติสูงกว่าปี 2023 (ซึ่งเป็นปีที่มีมลพิษมากที่สุด) แต่มลพิษในปี 2024 ยังเป็นตัวเลขที่สูงกว่าปีก่อนๆ นับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา
ระบบนิเวศป่า Amazon ไม่สมบูรณ์ เป็นผลลัพธ์มาจากการตัดทำลายป่า การเผาภาคเกษตรกรรม และการลดลงของคุณภาพป่ามายาวนาน 15 ปี ป่าไม้ลดลงส่งผลให้น้ำฝนน้อยลงและอุณหภูมิสูงขึ้น และเข้าไปกระตุ้นความแห้งแล้ง มลพิษจากไฟป่า Amazon ในปี 2024 เชื่อมโยงกับปริมาณน้ำฝนที่ลดลงและอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น
อีกปัจจัยที่ส่งผลต่อไฟป่าใน Amazon คือปรากฎการณ์ El Nino และอุณหภูมิผิวน้ำทะเล Atlantic ที่อุ่นผิดปกติ สองเหตุการณ์ทางธรรมชาตินี้ส่งผลให้เกิดภัยแล้งรุนแรงและชั้นบรรยากาศมีอุณหภูมิสูง

ที่มา: WMO Greenhouse Gas Bulletin
ไฟป่ารุนแรงเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รายงานสภาพการณ์ไฟป่าปี 2024-2025 เป็นการติดตามสถานการณ์ตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. ปี 2024 ไปจนถึงเดือน ก.พ. ปี 2025 ซึ่งเป็นฤดูกาลไฟป่า สิ่งที่พบอย่างเป็นเอกฉันท์คือไฟป่าทั่วโลกที่มีความ ‘รุนแรง’ มากขึ้น เหตุผลหลักที่ทำให้สถานการณ์ไฟป่าทั่วโลกรุนแรงขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change) ที่ทำให้เกิดความแล้งรุนแรง และคลื่นความร้อนถี่และยาวนานขึ้น
ยกตัวอย่าง ไฟป่าในรัฐ California ของสหรัฐฯ และไฟป่าในทวีปอเมริกาใต้รุนแรงกว่าเดิม 2-3 เท่า เพราะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป พื้นที่ถูกไฟป่าเผาผลาญมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 25-35 เท่า และไฟป่าก่อให้เกิดก๊าซ CO2 มากถึง 8 พันล้านตันระหว่างปี 2024-2025 ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยถึง 10%
การปล่อยมลพิษจำเป็นต้องลดลงทั่วโลก เพื่อลดระดับความรุนแรงของไฟป่า
เหตุการณ์ไฟป่าสำคัญปี 2024-2025
- ในเดือนมกราคมปี 2025 รัฐ California ของสหรัฐฯ พบไฟป่ารุนแรง หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ไฟป่าปีนี้รุนแรงมากมากจากการที่ในสองปีก่อนหน้านี้ California มีปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ ส่งผลให้มีการกักเก็บพลังงานในพื้นดินได้มากจึงกลายมาเป็นฉนวนไฟได้ดี ไฟป่าในครั้งนี้ส่งผลต่อคุณภาพอากาศและทำให้ PM 2.5 ขึ้นไปแตะระดับความสูงใหม่ถึง 10 ครั้ง
- ในเขตพื้นที่ร้อนของตะวันออกเฉียงเหนือใน Amazon เจอไฟป่าในระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่มีการติดตามในปี 2002 พื้นที่ไหม้มีขนาดใหญ่กว่าค่าเฉลี่ยต่อปีถึง 4 เท่า จำนวนไฟป่าที่เกิดขึ้นนั้นเยอะกว่าค่าเฉลี่ยถึง 52% ส่งผลให้เป็นการสูญเสียพื้นที่ป่าจากไฟป่ามากถึง 60% ในปี 2024
- พื้นที่ชุ่มน้ำปันตานาลของบราซิลและชิกิตาโนของโบลิเวีย มีพื้นที่ที่ถูกไฟไหม้มีมากกว่าค่าเฉลี่ยรายปีตั้งแต่ปี 2002 ถึงเกือบ 3 เท่า และพื้นที่ป่าที่ถูกเผามีมากกว่าค่าเฉลี่ยถึง 466% ส่งผลให้การปล่อยคาร์บอนจากไฟป่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายปีมากกว่า 6 เท่า (+502%) ไฟป่ามีขนาดใหญ่และลุกลามรวดเร็ว ส่งผลกระทบให้ค่า PM 2.5 ในบางพื้นที่สูงถึง 60 เท่าของมาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO)
- พื้นที่ที่ถูกไฟไหม้ในลุ่มน้ำคองโกในปี 2024 สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ มากกว่าค่าเฉลี่ยรายปีตั้งแต่ปี 2002 ถึง 28% โดยความผิดปกติของไฟป่ามีค่าสูงสุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม อัตราการสูญเสียป่าดิบชั้นต้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2023 และแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2015 ไฟป่าถูกระบุว่าเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียพื้นที่ป่าดิบ นอกจากนี้การรายงานข่าวจากภูมิภาคนี้ยังคงมีอยู่น้อยเมื่อเทียบกับความรุนแรงและภูมิภาคอื่นๆ สื่อให้เห็นว่าเหตุไฟป่าครั้งใหญ่ในแอฟริกามักได้รับความสนใจน้อยกว่าภูมิภาคอื่นของโลก

ที่มา: State of Wildfires 2024 – 2025
ฤดูกาลไฟป่าเอเชียไม่รุนแรง แต่ไม่ปกติ
ถึงแม้ในปีที่ผ่านมาภาพรวมของเอเชียไม่ได้เจอกับฤดูกาลไฟป่าที่รุนแรงเมื่อเทียบกับทวีปต่างๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่มีความรุนแรงและสร้างผลกระทบในวงกว้าง ที่ญี่ปุ่น เกิดไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 50 ปี ที่จังหวัดอิวาเตะ ในเดือน ก.พ. ปี 2025 เหตุการณ์ครั้งนี้ทำลายอาคารไป 221 หลัง
เกาหลีใต้ เดือน มี.ค. ปี2025 มีไฟป่าในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่เผาผลาญพื้นที่มากกว่าสถิติเดิมถึง 2 เท่า และเป็นไฟป่าที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ มีผู้เสียชีวิต 32 คน บาดเจ็บ 45 คน และประชาชนกว่า 37,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่ ปัจจัยด้านสภาพอากาศที่ร้อน แห้ง และมีลมแรงในเกาหลีใต้ส่งผลให้โอกาสการเกิดไฟป่ามากขึ้นเป็น 2 เท่า
เนปาล เจอฤดูไฟป่าที่เลวร้ายเป็นอันดับสองนับตั้งแต่ปี 2002 เนปาลมีไฟป่าเกิดขึ้นมากกว่า 1,000 จุด ไฟป่าได้คร่าชีวิตผู้คนไปหลักร้อยคนและสร้างความเสียหายอย่างมากต่อป่าไม้และที่อยู่อาศัย ในจังหวัด Lumbini ไฟป่าทำลายพื้นที่ป่าถึง 11,448 เฮกตาร์ และเผาทำลายบ้านเรือนรวมถึงคอกสัตว์กว่า 230 หลัง
รัฐ Uttar Pradesh ในตอนเหนือของอินเดีย ประสบกับฤดูไฟป่าที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา คาดว่าความรุนแรงนี้เกิดจากการเผาเศษพืช เคลื่อนความร้อน และการสะสมของเชื้อเพลิงแห้ง ไฟป่าในภูมิภาคนี้ยังมีส่วนทำให้เกิดหมอกควันหนาแน่นในกรุงนิวเดลีในเดือน พ.ย. ปี 2024 อีกด้วย ค่าของ PM2.5 สูงกว่า 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในหลายพื้นที่ในตอนเหนือของอินเดีย ตัวเลขนี้มากกว่ามาตรฐานรายวันของ WHO ถึง 13 เท่า
การผลักดันด้านกฎหมายเป็นเรื่องจำเป็น
มีหลายอย่างในด้านของกฎหมายที่ต้องคำนึงถึงเพราะไฟป่าจะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นด้วยสภาพความเป็นอยู่ของโลกที่เปลี่ยนไป
ในเรื่องของการบรรเทาและการปรับตัว มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องลดระดับมลพิษเพื่อบรรเทาความรุนแรงของไฟป่า และการปรับตัวเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำอย่างยิ่งคือ บริหารพื้นที่และพลังงานให้ดีขึ้น มีการฟื้นฟูระบบนิเวศ ระบบแจ้งเตือนล่วงหน้า มีการเน้นย้ำถึงมาตรการป้องกัน (Preventive measures) เพื่อไม่ให้ไฟป่าเกิดขึ้น และความร่วมมือในระดับชุมชนนั้นสำคัญมาก
การใช้ที่ดินและการบริหาร–ควบคุมเป็นใจความสำคัญ ไฟผ่าถูกกระตุ้นด้วยการใช้ที่ดินและวิธีการที่ถูกดูแล ไม่ว่าจะเป็นการขยายการเกษตรกรรม การตัดไม้ หรือความไม่เพียงพอในเรื่องของกฎเกณฑ์ด้านการใช้ไฟต่างเป็นปัจจัยที่ทำให้ไฟป่าเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ฉะนั้นแล้วควรมีการบริหารจัดการการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน
อีกสิ่งที่ภาครัฐบางประเทศได้เริ่มทำแล้วและต้องดำเนินการต่ออย่างจริงจังคือ Forest carbon project หรือโครงการป่าคาร์บอน เพื่อชดเชยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมที่ยากต่อการปรับตัว ป่าคาร์บอนเป็นโครงการที่คุ้มค่าด้านต้นทุนและสามาถขยายได้ในอนาคต
นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากไฟป่าควรถูกนำไปคิดวิเคราะห์ในการวางแผนการทำโครงการ และควรมีการติดตาม Carbon ratings ในบริษัทและองค์กรต่าง ๆ
ที่มา:
- https://wmo.int/news/media-centre/carbon-dioxide-levels-increase-record-amount-new-highs-2024
- State of Wildfires Report 2024-2025
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




