กรมอุตุโลกฯ ย้ำ การแจ้งเตือนภัยสำคัญ
กรมอุตุนิยมวิทยาโลกให้ความเห็นต่อการประชุม COP30 ที่ประเทศบราซิลว่าการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประชาคมโลก มีทั้งความคืบหน้าและหายนะ
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศไม่เพียงแต่จะกระทบต่อชุมชน แต่ผลกระทบจะเป็นวงกว้างไปถึงเศรษฐกิจระดับประเทศและห่วงโซ่อุปทานโลก ดังนั้น มีความจำเป็นอย่างมากที่ประเทศพัฒนาแล้วจะต้องลงทุนเพิ่มอีกสามเท่าเพื่อช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ เพื่อเตรียมการรับมือสำหรับสภาพอากาศที่จะมีความสุดขั้วมากกว่านี้ในอนาคต
กรมอุตุโลกฯกล่าวว่าเป้าหมายสำหรับ “Early Warnings for All หรือ การแจ้งเตือน ไม่ใช่คำพูดสวยหรูแต่เป็นเส้นชีวิต เงินที่ลงทุนไปกับระบบการแจ้งเตือนจะช่วยชีวิตคนและเศรษฐกิจได้ ณ ตอนนี้เริ่มมีการพัฒนาแล้ว แต่ยังต้องทำต่อเพื่อให้ชุดข้อมูลดีขึ้น และขยายประสิทธิภาพการแจ้งเตือนในพื้นที่ที่เปราะบางมากที่สุด”
เพิ่ม “กองทุนการปรับตัว” แต่ไม่พอ
มีการตกลงที่จะเพิ่มทุนเป็นสามเท่า สำหรับกองทุนเพื่อการปรับตัวจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ หรือ Adaptation Fund กองทุนนี้เป็นการระดมทุนจากประเทศ่ร่ำรวย ให้แก่ประเทศที่ยังเปราะบาง ซึ่งการเพิ่มทุนในครั้งนี้นับเป็นการพัฒนาจากการลงทุนเดิมที่สองเท่า
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่จะตั้งไว้ว่าจะมีทุนถึง 120 พันล้านดอลล่าสหรัฐ ถูกผลักออกไปอีก 5 ปี เป็นปี 2035 แทน จากเดิมตั้งเป้าไว้ปี 2030 หลายประเทศและผู้เกี่ยวข้อง แสดงความไม่พอใจ เพราะมองว่าการผลักระยะเวลาออกไปเป็นการละเลยความเร่งด่วนของภัยพิบัติที่กำลังส่งผลกระทบในทุกวันนี้
ประเทศผู้ผลิตน้ำมันปัดตกประเด็น “เชื้อเพลิงฟอสซิล”
“Petrostates” หรือประเทศที่มีเศรษฐกิจเพิ่งพาต่ออุตสาหกรรมน้ำมันอย่างมาก เช่น ประเทศซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มพันธมิตร ต่างปฏิเสธที่จะพูดคุยเรื่องการให้คำมั่นสัญญาต่อแผนปฏิบัติการหรือ (Roadmap) ในการที่จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แม้ว่าจะมีอีก 90 ประเทศที่ต้องการจะผลักดันเรื่องนี้ก็ตาม
มีเพียงแต่การอ้างอิงถึง UAE Consensus ที่เกิดขึ้นในที่ประชุม COP28 ที่ประเทศดูไบ ณ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่มีคำมั่นสัญญาในการเริ่มเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ Joanna Depledge อาจารย์จากมหาวิทยาลัย Cambridge กล่าวว่า ฉันทามติฉบับนั้นกว้างเกินไป ภาษาที่นำมาใช้ก็มีความคลุมเครือและขาดความชัดเจน ฉะนั้นแล้วการอ้างอิงถึงฉันทามติที่กำกวมฉบับนี้ถือว่าเป็น “ก้าวที่ถอยหลัง”
ทั้งนี้ถึงแม้จะไม่มีการถกเรื่องแผนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างที่ควรจะเป็น แต่การเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงอยู่ “แบบสมัครใจ” ประธานาธิบดีของบราชิลประกาศว่า จะมีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ต่อ แต่จะคุยกันข้างนอกกระบวนการของสหประชาชาติ การพูดคุยได้รับสนับสนุนจากประเทศโคลัมเบีย และอีกกว่า 90 ประเทศในการประชุมที่จะจัดขึ้นในเดือนเมษายนปีหน้า เป็นความคาดหวังว่าการประชุมร่วมกันแบบสมัครใจนี้จะช่วยผลักดันกระบวนการต่างๆ ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
ผู้นำจากโคลัมเบียทิ้งท้ายว่า รัฐบาลที่มีความตั้งใจจะแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ต้นตอ กำลังรวมตัวกันและเดินหน้าต่อไป เพื่อหยุดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้รวดเร็วและเป็นธรรม และให้สอดคล้องกับเป้าหมาย 1.5 °C
สำนักข่าว Reuters มองว่า ผลลัพท์จากการประชุมก็เหมือนอดีตที่ผ่านมา แต่ละประเทศต่างใช้เงินมหาศาลในการแก้ไขอันตรายที่เกิดจากภัยพิบัติ แต่ดันละเลยต้นเหตุที่ทำให้เกิดความแปรปรวน
ทางออกป่าดิบชื้นครุมเครือ แต่มีกองทุนใหม่
นอกจากเรื่องพลังงานฟอสซิลแล้ว มีความตั้งใจเดิมว่าจะมีการพูดถึงประเด็นสถานการณ์และแผนปฏิบัติการป่าดิบชื้นที่เวที COP30 เพราะบราซิลผู้เป็นเจ้าภาพ เป็นประเทศที่มีป่าดิบชื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างป่าแอมะซอน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของบราซิล Marina Silva พยายามที่จะนำเรื่องนี้และแผนปฏิบัติการเข้าในที่ประชุม แต่ทว่าถูกปัดตกออกไปเพราะเรื่องป่าดิบชื้นถูกนำไปผนวกเข้ากับแผนปฏิบัติการพลังงานฟอสซิลที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้แล้ว ในมุมหนึ่งสามารถมองได้ว่าเป็นการกระทำทางการทูตที่ล้มเหลวจากฝั่งกระทรวงต่างประเทศ เพราะบราซิลเองเป็นประเทศที่เน้นการส่งออกน้ำมันมาเป็นระยะเวลานาน การกระทำที่สุดขั้วตรงนี้ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ประเทศเคยเป็นมา
อย่างไรก็ตามมีกองทุนใหม่เกิดขึ้นเพื่อช่วยเรื่องป่าไม้ บราซิลตั้งกองทุนชื่อว่า Tropical Forest Forever Facility (TFFF) เป็นการลงทุนระดับหลายพันร้านดอลล่าสหรัฐ โครงการนี้มีบราซิลเป็นหนึ่งในตัวตั้งตัวตี และยังมีการสนับสนุนจากธนาคารโลกและที่ปรึกษาทางการเงินจากลอนดอนอีกด้วย
TFFF ไม่ใช่การบริจาค แต่เป็นการลงทุน
การระดมทุน 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเป็น 95,000 ล้านปอนด์) จะถูกนำไปลงทุนใน Bonds และจ่ายผลตอบแทนเป็นรางวัลให้แก่ประเทศและชุมชนที่อนุรักษ์ผืนป่าได้อย่างสมบูรณ์ หากได้รับเงินทุนเต็มจำนวนตามที่คาดไว้ จะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีให้แก่ผู้ที่อนุรักษ์ป่าและอยู่ในเงื่อนไขที่กำหนด
ป่าแอมะซอนเป็นแหล่งรักษาสมดุลสภาพภูมิอากาศที่สำคัญที่สุดในโลก แต่ความอุดมสมบูรณ์ของป่าในทุกวันนี้ยากหรือแทบที่จะเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับไปเป็นเหมือน แต่การรักษาความสมดุลของป่าเป็นเรื่องที่ทิ้งไม่ได้ เพราะป่าจะช่วยบรรเทาความแปรปรวนจากธรรมชาติได้ ทุกวันนี้ประโยชน์ของป่าถูกมองข้ามไปเพราะทุนนิยม อุตสาหกรรม และแรงจูงใจทางการเงิน ที่เข้าไปเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการถางป่าเพื่อปลูกพืชชนิดเดียว (Monocultures) สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ จึงหวังว่ากองทุน TFFF จะเป็นแรงจูงใจด้านการเงินที่ดี เพราะไม่ใช่แค่การบริจาคเงินให้ไป
กองทุน TFFF หวังว่าจะได้รับการร่วมทุนจากประเทศในตะวันออกกลาง จีน ยุโรป และอเมริกาเหนือ แต่ก็มีความกังวลของด้านการเมืองเข้ามาเป็นอุปสรรค กองทุนนี้ถูกร่างขึ้นมาสมัยที่ประธานาธิบดี Joe Biden ครองตำแหน่งอยู่ แต่เรื่องกองทุนกลับเงียบลงไปหลังจาก Donald Trump ชนะเลือกตั้งและขึ้นมาครองตำแหน่งแทน ฝรังเศสเองก็มีความไม่ชัดเจนทั้งๆที่เป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุนช่วงแรกๆ ในขณะที่ประเทศจีนก็ไม่มีที่ทางจะให้คำมั่นสัญญาอะไร
โดยสรุปแล้วในที่ประชุม COP30 มีทั้งความชัดเจนและความคลุมเครือเกิดขึ้น เป็นคำถามที่มักจะเกิดขึ้นเสมอว่าสัญญาต่างๆ ที่ให้ไว้ในเวทีระดับชาติจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ในมุมหนึ่งมีความก้าวหน้า เช่น บางประเทศก็มีการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและติดตั้งพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง
แต่ในอีกมุมอำนาจของประเทศผลิตน้ำมันก็มีเสียงที่ใหญ่กว่าเสียงส่วนมากที่ต้องการจะคุยเรื่องเชื้อเพลิงฟอสซิล หากการร่วมมือกันแบบสมัครใจจะเห็นผลลัพท์ที่ดีกว่าในอนาคต ก็เป็นเรื่องน่าสนใจว่าจะหาแรงจูงใจหรือแรงกดดันอะไรเข้ามาบีบประเทศอื่นๆ ที่ไม่ให้ความร่วมมือ
ที่มา: The Guardian, World Meteorological Organization, Reuters
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง;




