ThaiPBS Logo

ภัยพิบัติรุนแรงกระทบเศรษฐกิจหนัก หากไร้แผนรับมือ

16 ต.ค. 256713:48 น.
ภัยพิบัติรุนแรงกระทบเศรษฐกิจหนัก หากไร้แผนรับมือ
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินน้ำท่วมปี 67 สร้างผลกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างต่ำ 3 หมื่นล้านบาท และอาจแต่ 5 หมื่นล้านบาท หากน้ำท่วมขยายวงไปภาคกลางและภาคใต้
  • แนะทุกภาคส่วนเร่งวางแผนรับมือภัยพิบัติที่ถี่-รุนแรง จากสภาพอากาศสุดขั้ว อาจกระทบเศรษฐกิจไทยหนักขึ้นในอนาคต
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดน้ำท่วมปี 2567 กระทบเศรษฐกิจไทยอย่างต่ำ 3 หมื่นล้านบาท และอาจสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท หากน้ำท่วมขยายขอบเขตไปยังภาคกลางและภาคใต้ แนะทุกฝ่ายวางแผนรับมือภัยพิบัติที่เสี่ยงรุนแรงมากขึ้นจากสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว

จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบต่อไทยทำให้บางพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ำท่วมรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ประเมินว่า พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน จะเคลื่อนจากภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ในเดือน ก.ย.67 และ ต.ค.67 มาเป็นภาคกลางและภาคใต้ ในช่วงเดือน พ.ย.67 และ ธ.ค.67

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบหรือสร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งพื้นที่และผลผลิตทางการเกษตร รายได้ของครัวเรือน ธุรกิจ/ผู้ประกอบการ รวมถึงสิ่งปลูกสร้าง/ที่อยู่อาศัย และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น ถนนทรุด สะพานขาด เป็นต้น

ภายใต้สมมติฐานน้ำท่วมแต่ละพื้นที่กินเวลาเฉลี่ยประมาณ 15 วัน และเกิดความสูญเสียต่อ Gross Provincial Product (GPP) ในสัดส่วนประมาณ 20% ของจังหวัดนั้น ๆ ยกเว้นบางพื้นที่อย่างเชียงราย ที่น้ำท่วมซ้ำหลายรอบ ระยะเวลาจะมากกว่าเฉลี่ย และเชียงใหม่ ที่เกิดน้ำท่วมในเขตเมือง สัดส่วนความสูญเสียต่อ GPP จะมากกว่าเฉลี่ย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2567 อาจคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท หรือ 0.16% ของ GDP ประเทศ

ทั้งนี้ ถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวกินระยะเวลานานขึ้น หรือขยายขอบเขตไปยังพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองของภาคกลางและภาคใต้ ผลกระทบในกรณีเลวร้าย อาจมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท หรือ 0.27% ของ GDP ประเทศ

ประเมินผลกระทบจากน้าท่วมต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจ

แม้ในแง่เม็ดเงินผลกระทบปี 2567 จะน้อยกว่าปี 2554 ที่เกิดมหาอุทกภัยซึ่งในปีนั้นกินระยะเวลานาน กระทบโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมและภาคการผลิตเป็นหลัก เพิ่มเติมจากภาคเกษตรและครัวเรือน แต่ภัยพิบัติในปีนี้ ก็นับว่ารุนแรงมากโดยเฉพาะในบางพื้นที่ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งความเสียหายหลักส่วนใหญ่จะตกในภาคเกษตร รายได้ของครัวเรือน และการท่องเที่ยวในบางจังหวัด ส่งผลกระทบตามมาต่อการบริโภคและเศรษฐกิจไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การฟื้นฟูหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย คงจะมาจากงบประมาณของภาครัฐและการใช้จ่ายของภาคเอกชน ซึ่งคงช่วยหนุนกิจกรรมการก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านได้บางส่วน แต่ขณะเดียวกัน ครัวเรือนคงจำเป็นต้องก่อหนี้ ซึ่งก็จะมีผลกดดันการใช้จ่ายสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ ตามมา

ในระยะข้างหน้า จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว ทำให้ภัยพิบัติมีความเสี่ยงจะเกิดถี่และรุนแรงขึ้นอีก ดังนั้น ทุกฝ่ายควรวางแนวทางรับมือ เช่น การมีระบบเตือนภัยที่ชุมชน/ท้องถิ่นเข้าใจง่าย แผนปฏิบัติการฉุกเฉินเมื่อเกิดเหตุในแต่ละระดับ การทำประกันภัย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับความเสี่ยง เป็นต้น

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

 

ที่มา : วรรณวิษา ศรีรัตนะ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ทรัพยากรน้ำ

การบริหารจัดการน้ำตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กำหนดให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่จัดทำนโยบายและแผนแม่บทเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรน้ำในระยะ 20 ปี

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ภัยพิบัติ

ภัยพิบัติเป็นอีกปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ประกาศเพิ่มขีดความสามารถของพื้นที่และชุมชนท้องถิ่นในการจัดการ และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยรัฐบาลจะสร้างการมีส่วนร่วมในการรับมือกับภัยธรรมชาติโดยเฉพาะการแก้ปัญหา PM 2.5 และการบริหารจัดการน้ำ  

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: