ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit rating) จากการที่รัฐบาลจัดเก็บรายได้น้อยลงจนกระทบความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งหากถูกลดอันดับเครดิตจริง จะทำให้รัฐบาลมีต้นทุนการกู้ยืมเงินที่สูงขึ้น หรือมีภาระดอกเบี้ยที่จ่ายมากขึ้น
รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 และแนวโน้มปี 2568 ของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ปัจจุบันอันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิตของไทยอยู่ที่ Baa1 โดยเมื่อวันที่ 29 เม.ย. มูดีส์ (Moody’s) บริษัทจัดอันดับเครดิตชื่อดังของโลก ได้ปรับมุมมองไทยเป็น Negative outlook เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอนจากการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งการลดลงของศักยภาพทางเศรษฐกิจและสถานะทางการคลังที่อ่อนแอลง
ขณะที่ เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P Global Ratings) หน่วยงานจัดอันดับเครดิตของสหรัฐอเมริกา และฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) บริษัทจัดอันดับเครดิต รายงานการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือของไทย โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BBB+ และคงมุมมองไว้ที่ Stable Outlook เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ภาคการเงินต่างประเทศยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล ทุนสำรองต่างประเทศที่อยู่ในระดับสูงตลาดทุนยังสามารถรองรับการระดมทุนของภาครัฐและเอกชนได้ แม้จะมีความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ในประเทศและมีอายุหนี้เฉลี่ยที่ค่อนข้างยาวและเอื้อต่อการบริหารจัดการภาระหนี้
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงร้อยละ 87.4 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเดียวกันและเป็นข้อจำกัดต่อประสิทธิภาพในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
หนี้สาธารณะไทยเสี่ยงทะลุ 70% เร็วขึ้น
เมื่อพิจารณาข้อจำกัดทางการคลังโดยเฉพาะด้านความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 16 ต่อ GDP ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม OECD และ Asia and the Pacific ที่ร้อยละ 24.8 และร้อยละ 18.6 ขณะเดียวกันไทยยังมีความเสี่ยงจากการที่หนี้สาธารณะปรับตัวเข้าสู่เพดานหนี้ตามกฎหมายที่ร้อยละ 70 ต่อ GDP เร็วกว่าการคาดการณ์ อาจเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ดังนั้นการกำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้และการลดสัดส่วนหนี้ภาครัฐลงให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมจะส่งผลให้ภาคการคลังมีความเข้มแข็งมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิตของไทย และสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รายได้รัฐน้อยลง
สำหรับโครงสร้างรายได้รัฐบาลของไทยพบว่า โดยเฉลี่ยมีสัดส่วนภาษีทางอ้อมคิดเป็นร้อยละ 51.4 ขณะที่ภาษีทางตรงคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.2 ประกอบกับโครงสร้างภาษีที่พึ่งพาฐานการบริโภคมากกว่าฐานรายได้หรือฐานทรัพย์สิน
เมื่อคำนวณค่า Buoyancy Revenue ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 1 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การจัดเก็บรายได้รัฐบาลขยายตัวต่ำกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นในระยะต่อไปท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก ประกอบกับความจำเป็นในการใช้จ่ายเพื่อดูแลสวัสดิการผู้สูงอายุที่มีในระยะต่อไปท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก ประกอบกับความจำเป็นในการใช้จ่ายเพื่อดูแลสวัสดิการผู้สูงอายุที่มี
ดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้จะสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ปัจจัยความสามารถในการชำระหนี้เป็นหนึ่งเกณฑ์สำคัญต่อการประเมินความเข้มแข็งทางการคลัง โดยพิจารณาจากสัดส่วน ภาระดอกเบี้ยต่อรายได้รัฐบาล ซึ่งหากเกณฑ์ดังกล่าวเกินกว่าร้อยละ 12 มีความเสี่ยงที่จะถูกพิจารณาอยู่ในระดับ Non-investment Grade (กลุ่มต่ำกว่าระดับลงทุน) หรือ Speculative Grade (กลุ่มที่ลงทุนเพื่อการเก็งกำไร)
ทั้งนี้ สัดส่วนภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 12 ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลง
รัฐควรเพิ่มงบจ่ายคืนหนี้
ทั้งนี้การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐจึงควรต้องจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ในส่วนของหนี้รัฐบาลที่มีวงเงินที่สูงขึ้นมากตั้งแต่ในช่วงวิกฤตโควิด-19 เพื่อให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีงบประมาณนั้น ควบคู่กับการเพิ่มศักยภาพทางการคลังเพื่อเพิ่มช่องว่างทางการคลัง (Fiscal Space) ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับหากมีสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์เกิดขึ้นในอนาคต
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ;
- เศรษฐกิจไทยอาการหนัก ส่งออกต่ำ-ท่องเที่ยวซึม
- “Amazing” จริงหรือไม่? GDP รายไตรมาส โต 3% ติดต่อกัน 7 ครั้งในประวัติศาสตร์ไทย
- เศรษฐกิจไทยกำลังแย่ลง เมื่อมูดีส์มองไม่เหมือนเดิม