คนไทยมีแนวโน้มแต่งงานลดลง และเลือกจะใช้ชีวิตตัวคนเดียวมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่านิยมและทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้ชีวิตที่อิสระ มีโลกส่วนตัวมากขึ้น รวมถึงเหตุผลด้านความไม่พร้อมทางเศรษฐกิจและความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงด้านหน้าที่การงาน จากปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลให้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่มีแนวโน้มครองตัวเป็นโสดมากขึ้น
ข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า คน Gen Y (อายุระหว่าง 21-37 ปี) มีค่านิยมครองตัวเป็นโสด ไม่สมรส ไม่มีลูก และมุ่งทำงานเพื่อความสำเร็จ หรือให้ความสำคัญกับงานมากกว่าครอบครัว
คู่รักไทยจดทะเบียนสมรสน้อยลง
จากสถิติการจดทะเบียนสมรสในไทยที่มีแนวโน้มปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงระหว่างปี 2556-2565 อัตราการจดทะเบียนสมรสของคนไทยลดลงจาก13.1 คู่ต่อพันครัวเรือนในปี 2556 มาอยู่ที่ 11.3 คู่ต่อพันครัวเรือนในปี 2565 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องเลื่อนการจัดงานแต่งงานและการจดทะเบียนสมรสออกไปในช่วงปี 2563-2564 ก่อนจะกลับมาเพิ่มสูงขึ้นในปีต่อมา แต่ตัวเลขดังกล่าวยังคงอยู่ต่ำกว่าสถิติการจดทะเบียนสมรสในอดีต
นอกจากนี้ คนไทยมีแนวโน้มหย่าร้างเพิ่มขึ้น จากข้อมูลสถิติของกรมการปกครอง มีอัตราการจดทะเบียนหย่าเพิ่มสูงขึ้นจาก 4.7 คู่ต่อพันครัวเรือน ในปี 2556 มาอยู่ที่ 5.4 คู่ต่อพันครัวเรือน ในปี 2564 ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี
SCB EIC มองว่าประเด็นดังกล่าว สะท้อนถึงโครงสร้างของครัวเรือนในไทยที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งในแง่ขนาดของครัวเรือน โดยที่เฉลี่ยเล็กลงเรื่อย ๆ รวมถึงสัดส่วนครัวเรือนที่อยู่อาศัยคนเดียวที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหมายความว่าครัวเรือนที่อยู่อาศัยคนเดียวส่วนใหญ่ ก็คือ กลุ่มคนโสด
รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเด็กเกิดใหม่ต่ำสุดในรอบ 70 ปี
แต่การที่คนเป็นโสดมากขึ้น ก็ทำให้อัตราการเกิดของเด็กลดลงตามไปได้ ที่ผ่านมาไทยมีปัญหาเด็กเกิดน้อยลง ใน 2565 มีเด็กเกิดใหม่ 485,085 ราย ต่ำสุดในรอบ 70 ปี และจำนวนการเกิดน้อยกว่าการตายอีกด้วย ซึ่งทำให้คาดการณ์ว่าในอีก 60 ปี ข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงครึ่งหนึ่งเหลือ 33 ล้านคน และเสี่ยงที่จะขาดแคลนแรงงาน ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศในอนาคต
ทางรัฐบาลไทยได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงออกนโยบายส่งเสริมการมีบุตร โดยจะประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ด้วยการสนับสนุนโรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง จัดตั้งคลินิกส่งเสริมการมีบุตร บริการให้คำปรึกษา วางแผนการตั้งครรภ์ วินิจฉัยและรักษาภาวะมีบุตรยาก รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก (IUI) และพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลให้สามารถให้บริการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ได้มากขึ้น
โดยมีสาระสำคัญที่จะพิจารณาคือ มาตรการส่งเสริมการมีบุตร ทั้งเรื่องความสมดุลการทำงานกับการดูแลครอบครัว การแบ่งเบาค่าใช้จ่ายและภาระในการเลี้ยงดูบุตร การช่วยเหลือคนที่มีบุตรยาก รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ในกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มหนุ่มโสด สาวโสดที่อยากมีบุตรแต่ไม่อยากมีคู่ ให้มีโอกาสที่จะมีบุตรได้
สร้างการเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ ผ่านนโยบาย “ส่งเสริมการมีบุตร”
วิถีชีวิตวุ่นวาย-ปัญหาเศรษฐกิจ หนุนคนโสดเพิ่มสูง
สถานการณ์คนโสดที่เพิ่มสูงขึ้น มีสาเหตุที่คล้ายคลึงกันจากหลายปัจจัย ได้แก่
การขยายตัวของสังคมเมือง ที่มีส่วนทำให้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองใหญ่มีแนวโน้มที่จะครองตัวเป็นโสดมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากวิถีชีวิตที่วุ่นวายและเร่งรีบ การทุ่มเทกับเรื่องการทำงานมากขึ้น จึงทำให้มีเวลาส่วนตัวน้อยลง จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ค่านิยมในเรื่องการแต่งงาน หรือการมีครอบครัวของคนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป
ปัญหาความไม่พร้อมทางเศรษฐกิจ ทั้งจากความไม่แน่นอนด้านรายได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งภาระทางการเงินต่าง ๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น จากผลสำรวจในต่างประเทศพบว่า ปัจจัยข้อนี้เป็นสิ่งที่คนกลุ่ม Gen Y และคนรุ่นใหม่ ๆ จะให้ความสำคัญมาก เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต ความสัมพันธ์กับคนรอบตัว และความสามารถในการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบในอนาคต
มุมมองเกี่ยวกับโลกและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นผลมาจากปัญหาและความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปัญหาด้านสังคมและปัญหาอาชญากรรมต่าง ๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน จนทำให้คนรุ่นนี้ไม่อยากให้คนรุ่นต่อไปต้องเกิดมาเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ และต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในอนาคต
คนญี่ปุ่นมองการมีครอบครัวเป็น “ภาระ”
ความนิยมเป็นโสด ไม่ได้มีเฉพาะแค่ในไทยเท่านั้น แต่การสำรวจสำมะโนประชากรในหลายประเทศและฐานข้อมูลขององค์การ
สหประชาชาติ (United Nations) ในปี 2566 พบว่า ปัจจุบันมีคนโสดทั่วโลกมากถึง 2.12 พันล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนประชากรทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 23% ในปี 1985 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 35% ของจำนวนประชากรทั่วโลกภายในปี 2593 อีกด้วย
โดยประเทศที่มีสัดส่วนคนโสดต่อประชากรมากที่สุดในโลกคือ เดนมาร์ก อยู่ที่ 24.1% ของจำนวนประชากร รองลงมา ฝรั่งเศส และฟินแลนด์ ที่ 22.8% และ 19.6% ตามลำดับ ซึ่งประเทศที่ติด 10 อันดับแรกเกือบทั้งหมดอยู่ในทวีปยุโรป นอกจากจะเป็นผลมาจากความไม่พร้อมในการสร้างครอบครัวจากปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้าแล้ว ยังมีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรมในเรื่องการให้ความสำคัญกับความเป็นตัวตนที่ชัดเจนและหยั่งรากลึกในสังคมยุโรปมาอย่างยาวนาน
ขณะที่ในฝั่งเอเชียก็พบว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสัดส่วนคนโสดสูงที่สุด ติดอันดับที่ 15 ของโลก มีสัดส่วนราว 15.5% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ
จากการสำรวจของรัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อช่วงกลางปี 2564 พบว่าสัดส่วนกว่า 1 ใน 4 ของประชากรในวัย 30-40 ปี ยังไม่มีความคิดที่อยากจะแต่งงาน ซึ่งทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไปดังกล่าวได้สร้างความกังวลใจให้กับรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างมาก จนกลายเป็นวาระเร่งด่วนของประเทศ ที่ได้ชื่อว่ามีอัตราการเจริญพันธุ์ และอัตราการเกิดต่ำที่สุดติดอันดับต้น ๆ ของโลก
โดยผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นเพศหญิง เปิดเผยเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไม่อยากแต่งงาน คือ ไม่อยากสร้างภาระในชีวิตเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าที่และความรับผิดชอบในฐานะแม่บ้านและภรรยา รวมทั้งหน้าที่ในการเลี้ยงดูบุตร ผู้สูงอายุและสมาชิกคนอื่นในครอบครัว ซึ่งบทบาทเหล่านี้กลายเป็นความคาดหวังของผู้หญิงในสังคมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน
ขณะที่คำตอบจากผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นเพศชาย ส่วนใหญ่เหตุผลหลักที่ไม่อยากแต่งงานคือ ความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในหน้าที่การงานและความสามารถในการเลี้ยงดูครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นปัจจุบัน
สิ่งเหล่านี้คือเสียงสะท้อนถึงแนวคิดและค่านิยมเกี่ยวกับการมีครอบครัวของคนญี่ปุ่นที่เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตโดยสิ้นเชิง โดยมองว่าการแต่งงานอาจไม่ได้เป็นหลักประกันความมั่นคงหรือบรรทัดฐานในการใช้ชีวิต (Life norm) อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น อัตราการหย่าร้าง (Divorce rate) ของญี่ปุ่นในปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูงมากอีกด้วย
คนโสดใช้เงินมากกว่าคนมีครอบครัว
คนที่ชอบใช้ชีวิตคนเดียวมีแนวโน้มปรนเปรอตัวเอง และกล้าใช้จ่ายเงินเพื่อตัวเองมากกว่าคนที่มีครอบครัวแล้ว เพราะคนกลุ่มนี้จะมีภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันน้อยกว่าคนที่มีครอบครัว จึงทำให้กล้าที่จะใช้จ่ายเงิน เพื่อให้รางวัลและปรนเปรอความสุขของตัวเองอย่างเต็มที่ เช่น การซื้อสินค้าแบรนด์เนม การซื้อรถยนต์ซื้อของเล่น หรือของสะสมราคาแพง การออกไปรับประทานอาหารอร่อย ๆ นอกบ้าน การเข้าคลินิกเสริมความงามหรือสปา การเดินทางท่องเที่ยวหรือผจญภัยเพื่อซื้อประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในชีวิตให้กับตัวเอง เป็นต้น หรือการใช้จ่ายเงินเพื่อพัฒนาและยกระดับความรู้ความสามารถตัวเองเพื่อนำไปสู่ความก้าวหน้าในสายอาชีพมากขึ้น
โดยพฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนถึงความกล้าใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเอง และกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจก้อนโตสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนักเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น คนโสดยัง “สุขและสนุก” กับชีวิตได้มากกว่า จาก
งานวิจัยด้านพฤติกรรมมนุษย์ของ London School of Economics (LSE) พบว่าคนโสดหรือคนที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมักจะมีความสุขในการใช้ชีวิตและอายุยืนยาวกว่าคนที่แต่งงานแล้ว โดยมีเหตุผลสนับสนุน ได้แก่
ประการแรก คือ คนโสดส่วนใหญ่เป็นคนที่รักตัวเอง และเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น เพราะมองเห็นความสามารถของตัวเองที่สามารถอยู่ได้โดยไม่จ าเป็นต้องพึ่งพาคู่ชีวิต
ประการที่สอง คือ คนโสดส่วนใหญ่เป็นคนอารมณ์ดี เพราะไม่ต้องเสียสุขภาพจิตจากการทะเลาะเบาะแว้ง หรือหงุดหงิดจากปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ในชีวิตคู่ หรือภายในครอบครัว
ประการที่สาม คือ คนโสดจะมีเวลาโฟกัสกับตัวเองและได้มีโอกาสทำสิ่งที่ตัวเองรัก หรือสนใจมากกว่าคนที่มีครอบครัวแล้ว เช่น มีเวลากับหนังสือเล่มโปรด มีเวลาพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เพื่อช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าในอาชีพการงาน หรือการลงเรียนคลาสต่าง ๆ รวมทั้งยังมีเวลาออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพและรูปร่าง รวมถึงทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกอื่น ๆ ที่ตนเองมีความถนัดหรือสนใจเป็นพิเศษมากขึ้นอีกด้วย ขณะเดียวกันคนกลุ่มนี้ยังมีเวลาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคนรอบตัวมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งไลฟ์สไตล์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังบวกและสร้างความสุขในชีวิตให้กับคนโสด