ความเข้าใจ และการยอมรับในอัตลักษณ์ จะเป็นรูปธรรมได้หรือไม่ ? Policy Watch – The Active ไทยพีบีเอส ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็น ทำความรู้จักอัตลักษณ์ท้องถิ่น ของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ใน “Policy Forum คุณค่าอัตลักษณ์ชายแดนใต้” เพื่อสร้างความเข้าใจ และรับรู้คุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่จะนำไปสู่ทางออกของสันติภาพสังคมไทย
“กระบวนการสันติภาพ ไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะแค่การพูดคุยบนโต๊ะเจรจา หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญคือ ภาคประชาชน ซึ่งจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าการแก้ปัญหานั้นจะออกมาในเชิงบวก หรือเชิงลบ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้เกิดความเข้าใจ และการคลี่คลายมายาคติ อคติที่มีต่อผู้คน ให้อยู่ในสายตาของรัฐบาล”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
“มลายู” พหุวัฒนธรรมที่งดงาม
เมื่อพูดถึง “ชายแดนใต้” หลายคนมักนึกถึงคำว่า “มลายู” แต่คำนี้ ชุมศักดิ์ นรารัตน์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ชายแดนใต้ บอกว่า ไม่ได้หมายถึงคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้เท่านั้น ยังรวมถึงประชากรอีกกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งในทางชาติพันธุ์คือคนเรียกว่า “โพลินีเซียน” ที่ย้ายอารยธรรมของตัวเอง ขยายไปถึงเกาะฮาวาย อีสเตอร์ มาดากัสการ์ หรือ บอร์เนียว
ส่วนการนับถือศาสนาหลายคนมักคุ้นเคยว่า “คนมลายูรับศาสนาอิสลาม” แต่ที่จริงแล้วตามประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปะตานีของไทย พบว่า ไม่ใช่ทั้งหมด บางส่วนยังเป็นมลายูพุทธ และมลายูฮินดู
“การผสมผสานของผู้คนที่นี่ จึงมีตั้งแต่กลุ่มคนดั้งเดิม กลุ่มอัสรี กลุ่มชาติพันธ์ุออสโตรเอเชียติก (มอญ-เขมร) ชาวฮินดูพราหมณ์ ชาวพุทธ และชาวจีน ถือเป็นความสวยงามในพื้นที่”
ชุมศักดิ์ นรารัตน์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ชายแดนใต้
แต่น่าเสียดาย “ภาษามลายู” ในสมัยอยุธยา เป็นภาษากลางที่ใช้ค้าขายทั่วคาบสมุทรมลายู แต่ในระยะหลังเมื่อเกิดการรวมศูนย์อำนาจของรัฐ กลับกลายเป็นคนชายแดนต้องเสียโอกาสทางด้านภาษา
รัฐคิดว่า “ภาษามลายู” เป็นภัยต่อความมั่นคง จึงให้ใช้ “ภาษาไทย” เพราะคิดว่าจะสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
แต่รัฐกำลังเดินหน้าผิดทิศทางอยู่หรือเปล่า ? เพราะถ้ามองมุมกลับกัน ถ้ารัฐให้การสนับสนุน รัฐจะได้ใจคนในจังหวัดชายแดนใต้ ได้โอกาส และความไหลลื่นทางวัฒนธรรม
“เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเคยเขียนคอมลัมน์ให้รัฐไทยสนับสนุนเด็กและเยาวชนในพื้นที่ได้เรียน ‘ภาษามลายู’ เพราะถ้าพวกเขาเข้าใจวัฒนธรรม และใช้เป็น จะขยายโอกาสทางการค้าทั่วคาบสมุทรมลายู”
ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ชายแดนใต้
อัตลักษณ์เป็นความธรรมดา ที่อาจไม่เกี่ยวพันถึงความมั่นคง
อัตลักษณ์ความเป็นมลายูพื้นถิ่น ไม่ได้มองว่าเป็นแค่การแต่งกาย ภาษา อาหาร เท่านั้น ในมุมมองของ ณายิบ อาแวบือซา นักวิชาการอิสระ ในฐานะคนมลายูมุสลิม ถือว่า “คนมลายู” รับอะไรมาได้ง่าย ๆ รับมาทุกวัฒนธรรม เพียงแต่สิ่งไหนที่ไม่เหมาะสม หรือขัดต่อหลักศาสนาก็จะดีดออก คนมลายูจึงอยู่ง่าย ปรับตัวเก่ง ให้สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งอื่น ๆ และต่อยอดทางวัฒนธรรมได้
อัตลักษณ์ในสังคมพหุวัฒนธรรม โดยตัวเองไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ “เจตจำนงและมุมมองทางการเมือง” หรือ “Political Will” ต่อวัฒนธรรม
โดย “ณายิบ” มองว่า วัฒนธรรมสยาม มลายู และชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ไม่เคยเป็นปัญหา เพราะเป็นวัฒนธรรมที่ต่อเติมมาจนนิ่ง แต่ที่เป็นปัญหาคือวัฒนธรรมไทยหรือเปล่า ที่เหมือนจะยังคิดไม่เสร็จ ยกตัวอย่างเช่น การหอมแก้มก่อนออกจากบ้าน เมื่อไปปะทะกับวัฒนธรรมที่นิ่งแล้ว จึงรู้สึกไม่เหมือนกัน ชวนให้คิดว่าวัฒนธรรมและพหุวัฒนธรรมของผู้คนกับรัฐ มองกันในความหมายเดียวกันหรือไม่
“ณายิบ” ยังเปรียบเทียบให้เห็นอีกว่า เมื่อ 50 ปีก่อน คนมลายูพูดไทยไม่ได้ หรือแม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็ฟังออก และตอนนี้ก็พูดไทยได้ทั้งหมดแล้ว เช่นเดียวกัน คนไทยพุทธ ในอดีตอาจพูดมลายูไม่ได้ แต่ตอนนี้หลายคนฟังออก สื่อสารได้ จะเห็นว่าคนมลายูไม่ได้มีปัญหากับการรับอะไรใหม่ ดังนั้นทำไมเราถึงปฏิเสธอัตลักษณ์นี้ออกไป สรุปแล้วอะไรคือปัญหา
“วัฒนธรรมคือ รสนิยม ความชอบ ของคนในพื้นที่นั้นที่ส่งต่อกันมาผ่าน ภาษา อาหาร และศาสนา เป็น ‘ความธรรมดา’ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ‘ความมั่นคง’ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจก็ได้ ขอแค่เคารพกัน ให้เกียรติกัน อย่ากดทับกันก็พอ”
ณายิบ อาแวบือซา นักวิชาการอิสระ
“อัตลักษณ์” นำพาความร่ำรวย เติมเต็มความฝันคนรุ่นใหม่
การปกครองและการศึกษาที่แปรเปลี่ยนไปตาม “การรวมศูนย์อำนาจของรัฐไทย” ทำให้คนในจังหวัดชายแดนใต้รุ่นลูก รุ่นหลาน แทบพูดภาษา “มลายู” ไม่ได้แล้ว
ผศ.ยาสมิน ซัตตาร์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หนึ่งในผู้เติบโตในจังหวัดปัตตานี เล่าให้ฟังด้วยว่า ตั้งแต่เล็กระบบการศึกษาก็ใช้ “ภาษาไทย” ทำให้แค่พอฟังภาษามลายูออก แต่พูดสำเนียงท้องถิ่นแทบไม่ได้แล้ว
อย่างไรก็ตามในสมัยที่ตัวเองเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ขณะนั้นเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วเกิดเหตุระเบิดขึ้น ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องใช้ความรุนแรงกัน
แต่เมื่อได้ออกมาเรียนต่อปริญญาตรี โท และ เอก ที่จังหวัดอื่น มีงานวิจัยหลายชิ้นที่สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาในจังหวัดชายแดนใต้ หนึ่งในประเด็นสำคัญ มาจากเรื่อง “อัตลักษณ์”ประกอบกับมีครอบครัวเป็นคนมลายู ได้พูดคุยกัน จึงเริ่มเห็นว่าเพราะมีการถูกกดทับหรือความอยุติธรรมก่อน จึงเกิดความรุนแรงขึ้น
“ที่ผ่านมาเราเห็นว่ามีความพยายามในหลาย ๆ เรื่อง ที่ทำให้อยู่ในสภาวะที่มีความรู้สึกที่ดีขึ้น คนกลุ่มนึงพอเขารู้สึกว่าอัตลักษณ์ หรือตัวตนของเขามันถูกเติมเต็ม เขาจะรู้สึกว่าเป็นเจ้าของของประเทศนี้ไปด้วย
แต่พออัตลักษณ์ ไม่ได้ถูกตรวจสอบ รวมถึงเงื่อนไขของความรุนแรง ทำให้อัตลักษณ์ยังไม่ถูกยอมรับ สุดท้ายแล้วความรุนแรงไม่จบลง โจทย์สำคัญนำมาสู่การคิดว่า ต้องทำงานนำอัตลักษณ์ของคนมลายูขึ้นมาอย่างไร”
ผศ.ยาสมิน ซัตตาร์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
เพราะฉะนั้นรัฐต้องหนุนเสริมสิ่งที่มีอยู่ในพื้นที่ เช่น ภาษา และ อาหาร ให้ถูกยอมรับอย่างแท้จริง จนไปสู่ขั้นที่จะทำให้เกิดความเคารพ และทำให้อัตลักษณ์มีที่ทางในสังคมได้มากขึ้น เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความร่ำรวย ยังอาจเติมเต็มความฝันของคนรุ่นใหม่ ให้พวกเขาได้เติบโตสร้างอนาคตที่บ้านเกิดได้อย่างภาคภูมิใจ

ผศ.ยาสมิน ซัตตาร์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
รัฐต้องแปลงร่าง จาก “ชาตินิยม” เป็น “ชาติสัมพันธ์”
“สังคมเปรียบเหมือนกับป่า เพราะไม่ได้มีเพียงแค่เผ่าใดเผ่าหนึ่ง หรืออัตลักษณ์ใดอัตลักษณ์หนึ่ง ป่าไม่ได้มีเฉพาะต้นสน มีต้นไม้ชนิดอื่นด้วย สังคมไทยมีป่าที่มีความหลากหลายมากกว่า 70 ชนิด ฉะนั้นสังคมไทยมีความหลากหลายทางอัตลักษณ์เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นจุดเด่น ที่นานาประเทศให้ความสนใจ”
ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยาประยุกต์และชาติพันธุ์ศึกษา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
เมื่อก่อนไม่มีพรมแดนของ “รัฐชาติ” แต่ตอนนี้จาก “ป่า” กลายเป็น “สวน” มีรั้วรอบขอบชิด จากที่พี่น้อง “มลายู” หรือ “ชาวอาข่า” ทางภาคเหนือ จะสามารถข้ามไปลาว ข้ามไปจีน ข้ามไปเวียดนาม ได้ทุกเมื่อ ทุกวันนี้ข้ามไม่ได้แล้ว ต้องใช้พาสปอร์ต
การมีรั้ว หรือ การเป็นชาติ มองได้ 2 มุมมอง
- “สวนเชิงเดี่ยว”มองอัตลักษณ์เป็นวัชพืช ต้องตัดแต่งพันธุกรรม จึงทำให้เกิดการล้ม การตาย สร้างระบบคุณฆ่า
- “สวนผสมผสาน”ยอมรับทุกความหลากหลาย เปลี่ยนระบบคุณฆ่าเป็นคุณค่า
ถ้าทำ “สวนเชิงเดี่ยว” นั่นหมายความว่าจะต้องใช้ยาฆ่าหญ้าไปเรื่อย ๆ และรุนแรงขึ้น เพราะอัตลักษณ์อยู่ในดีเอ็นเอ ทำอย่างไรก็ฆ่าไม่ตาย ดังนั้นจะดีกว่าหรือไม่ ? ถ้ายอมรับทุกความหลากหลาย เปลี่ยนให้เป็น “สวนผสมผสาน” เราอาจจะได้เห็นทางเลือกมากขึ้น และเห็นโอกาสในการอยู่ร่วมกัน
ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยาประยุกต์และชาติพันธุ์ศึกษา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แม้จะไม่ใช่คนในพื้นที่ชายแดนใต้ แต่ขอออกมาสะท้อนในฐานะคนชาติพันธุ์เหมือนกัน ว่า จากที่ได้ฟังความเห็นบนเวทีในวันนี้ พี่น้องชาติพันธุ์ไม่ได้ปฏิเสธการยอมรับความหลากหลาย แต่ “เจตจำนงทางการเมือง” หรือ “Political Will” ต่างหากที่เป็นปัญหา
ถึงเวลาที่รัฐต้องแปลงร่างตัวเอง ยกระดับมุมมอง ทิศทาง และการขับเคลื่อนอัตลักษณ์ของชาติใหม่ จาก “ชาตินิยม” (Ethnocentric) ไปสู่ “ชาติสัมพันธ์” (Ethnorelative) โดยต้อง “ยอมรับ” (Accept) ก่อนว่ารัฐของเราเป็นพหุวัฒนธรรม แล้ว “ประยุกต์” (Adapt) ใช้โอกาสจากความร่ำรวยทางอัตลักษณ์ที่หลากหลายมาทำให้เกิดคุณค่า เช่น สร้างประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ภาษามลายู ผลักดันครัวไทยสู่ครัวโลก และ “บูรณาการ” (Integrate) บูรณาการใช้ศักยภาพของอัตลักษณ์แต่ละพื้นที่
“กระบวนการสันติภาพอาศัย ‘3 ศัก’ ที่จะช่วยบูรณาการให้เกิดขึ้นได้ คือ หลอมรวมทุกคนให้มีศักดิ์ศรี ไม่จำกัดศักยภาพ และทำนโยบายให้ศักดิ์สิทธิ์และเท่าเทียม”
ผศ. สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยาประยุกต์และชาติพันธุ์ศึกษา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
สังคมไทยต่างกันได้ รัฐต้องจัดความสัมพันธ์ใหม่สู่สันติภาพ
ความพิเศษของจังหวัดชายแดนใต้ที่แตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ คือ 80% ของประชากรเป็น “ชาวมลายู” มีตัวหนังสือ “ยาวี” นับถือ “ศาสนาอิสลาม” และอาคารสถานที่ต่าง ๆ มีเอกลักษณ์ ชวนให้ระลึกถึงประวัติศาสตร์
ขณะที่ภาษาของชาวเหนือและอีสาน มีความใกล้เคียงกับภาษาไทยของคนภาคกลาง ทำให้ปรับตัวเข้ากันได้ง่าย กลายเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ มองว่าเป็นเรื่องทั่วไป ประกอบกับพวกเขายังนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาเดียวกันกับที่คนภาคกลางส่วนมากนับถือ
เมื่อมี “นโยบายรัฐนิยม” ที่ให้ทุกคนเป็นคนไทย เชื้อสายไทย แต่งตัวเป็นไทย ผู้ชายสวมหมวก ผู้หญิงใส่กระโปรง ในหลายหลายจังหวัดไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่ชายแดนใต้ ซึ่งมีวัฒนธรรมเข้มข้น จึงเกิดการเรียกร้องในการปกครอง การศึกษา ขอให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์
“สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการดำเนินคดีในมิติความมั่นคง การลงโทษ และสุดท้าย มากกว่านั้น ในสมัยก่อนไม่มีกฎหมายซ้อมทรมาน เกิดการอุ้มหายไปเลย กลายเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ที่พัฒนาไปสู่ความรุนแรง”
จาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
คำว่า “มลายู” จากที่เคยใช้กันอย่างลื่นไหล แต่หลายสิบปีที่ผ่านมากลับไม่ได้ปรากฏอย่างเป็นทางการของไทย กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดการกดทับผู้คนในพื้นที่ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งในสาระสำคัญที่กรรมาธิการจะจัดทำข้อเสนอถึงสภาฯ และรัฐบาล ไปสู่การแก้ปัญหาความไม่สงบอย่างเป็นรูปธรรม
ซึ่งตอนนี้กรรมาธิการฯกำลังเขียนสรุปรายงานข้อเสนออยู่ โดย “จาตุรนต์” มองว่า เรื่องใหญ่ที่โยงกับ “เจตจำนงทางการเมือง” คือ รัฐต้องเปลี่ยนมุมมอง จัดความสัมพันธ์ใหม่ในสังคมที่มีอัตลักษณ์ มีความพิเศษ ให้ถูกต้องเหมาะสม ต้องยอมรับว่า สังคมไทยต่างกันได้ และความต่างเป็นความงดงาม จึงจะอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุข และทุกส่วนได้ใช้ศักยภาพตัวเองเต็มที่
โดยข้อเสนอในรายงานนั้น “จาตุรนต์” มองว่า ควรส่งเสริมให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงออก แสดงออกทางการเมือง ไปจนถึงการต่อสู้ทางการเมืองโดนสันติวิธี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้ง และด้วยความที่ชายแดนใต้เป็นจังหวัดที่มีระบบการบริหารปกครองที่รวมศูนย์เป็นพิเศษที่สุด เป็นเขตปกครองพิเศษมานานแล้ว การกำหนดนโยบายการศึกษาและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว จึงต้องการการกระจายอำนาจมากเป็นพิเศษ
อีกเรื่องที่สำคัญคือ ภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยเชื่อมต่อระหว่าง รัฐ และประชาชนที่มีความแตกต่างหลากหลายในวัฒนธรรม จึงต้องส่งเสริมให้พวกเขาเข้มแข็ง และชวนให้คิดกันต่อว่าจะทำอย่างไรให้เกิดกระบวนการพูดคุย สื่อสาร ระหว่างกันได้ดีขึ้น

จาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
เสียงสะท้อนจากประชาชนถึงรัฐ แก้ปัญหาชายแดนใต้
ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และนักวิชาการที่มาร่วมงาน “Policy Forum คุณค่าอัตลักษณ์ชายแดนใต้” ได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งในชายแดนใต้และทุกพื้นที่ชายขอบชองประเทศ ฝากไปถึงรัฐบาลเพิ่มเติมด้วยว่า
- มีพื้นที่ปลอดภัยสาธารณะในการพูดคุย เสนอความเห็น หาทางออกร่วมกันในอัตลักษณ์ท้องถิ่น
- กระจายอำนาจ การศึกษา คน งบประมาณ และการตัดสินใจให้ทุกพื้นที่ชายขอบสามารถออกแบบความเป็นเอกภาพของรัฐไทย
- ส่งเสริมการใช้ “ภาษามลายู” เป็นภาษากลางใช้ควบคู่กับภาษาไทย บรรจุในโรงเรียนประถม มัธยมศึกษา รวมถึงการใส่ในป้ายทางหลวงในพื้นที่
- มีหลักสูตรการเรียนการสอน ทำให้เข้าใจในความแตกต่างหลากหลาย ไม่มีอคติซึ่งกันและกัน
- สนับสนุนการรักษาอัตลักษณ์ท้องถิ่น ผลักดันให้กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่คนในชุมชนสามารถสร้างรายได้ โดย) ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ภาษามลายู และ 2.) ผลักดันอาหารพี่น้องชาวมลายู ให้เป็นเมนูอาหารที่จะพาประเทศไทยเดินหน้าสู่ครัวโลก
“วัฒนธรรม” เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งความขัดแย้งชายแดนใต้ถึงรากเหง้า แต่ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือหัวใจสำคัญ ภาคประชาชนคือผู้ที่จะจุดประกายการพูดคุยเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นในสังคม และมีบทบาทสำคัญในการติดตามตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ นักวิชาการ และภาคประชาสังคม ส่งเสียงความคิด ให้ความเห็นเชิงนโยบาย เพื่อหนุนเสริม ให้ไปถึง “สันติภาพที่กินได้จริง”