ขณะนี้คดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 50 – 100 คน อยู่ในระหว่างกระบวนการสืบสวนข้อกล่าวหาขั้นที่ 1 ซึ่งการฮั้วสว. ถือว่าฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ที่ทำให้การเลือก สว. ใน พ.ศ. 2567 ไม่สุจริตเที่ยงธรรม หากผลคำตัดสินว่ามีความผิดจริง อาจมี สว. มากกว่าครึ่งหนึ่งของสภาต้องพ้นตำแหน่งและถูกดำเนินคดี
พิรุธฮั้ว สว.
การเลือก สว. 2567 ถูกตั้งสงสัยจากสังคมโดยทั่วไป รวมทั้งผู้สมัคร สว. เอง ว่ามีการฮั้วกันหรือไม่ นับตั้งแต่วันที่เลือกสว. ไปจนถึงในวันที่ กกต.รับรอง 200 สว.ชุดใหม่อย่างเป็นทางการ เนื่องมาจาก
- เบื้องต้นระบบการเลือก สว. ไม่ใช่ระบบเลือกตั้ง แต่เป็นระบบโหวตกันเองภายในผู้สมัคร จึงง่ายต่อการฮั้ว ซึ่ง กกต. จัดพื้นที่และเวลาให้บางกลุ่มนั่งล้อมวงคุย ซึ่งทำให้ผู้สมัครสามารถนัดแนะตกลงการโหวตได้
- ในการกำหนดกลุ่ม แบ่งผู้สมัครออกเป็น 20 กลุ่ม ตามความเชี่ยวชาญ อาชีพ และอัตลักษณ์ ซึ่งมีการกำหนด“กลุ่มอื่นๆ” ด้วย ทำให้เปิดช่องให้เกิดผู้สมัครที่ถูก “จัดตั้ง” ขึ้นมาเลือกกันเองได้ง่าย
- พบผลคะแนนในการเลือกที่เกาะกลุ่มกันเป็นแพทเทิร์น เขียนเรียงเลขผู้สมัครเหมือนกันหมดทุกลำดับทั้ง 10 ช่อง ประมาณ 130 ใบ
- พบว่ามี 8 จังหวัดที่มีผู้เข้ารอบเลือกไขว้เกือบทั้งจังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สตูล เลย อำนาจเจริญ ยโสธร สุรินทร์ และผู้สมัครที่ได้รับเลือกจากระบบนี้ก็มาจากกลุ่มจังหวัดนำ”
- ผู้สมัครสว.อิสระ ไม่ได้ถูกจัดตั้ง มีประมาณ 2,000-3,000 คน
- พบว่า ผู้สมัคร 8 อันดับแรกมีคะแนนเกาะกลุ่มกันมาก และทิ้งห่างจากอันดับถัดมา
- การพิจารณาคุณสมบัติของแต่ละกลุ่มเพื่อโหวต มีเวลาไม่ถึง 10 นาที ยากที่จะพิจารณาได้อย่างครบถ้วน ยกเว้นว่ามีการรู้จักกันมาก่อน
ผ่านมาปีกว่า เพิ่งจะมีการดำเนินคดี
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการฮั้วเลือกสว. ทำให้ ผู้สมัคร สว. ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กกต.ว่าพบการกระทำเข้าข่ายจัดตั้งหรือฮั้ว ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. 2567 และมียื่นคำร้องต่อ กกต.และ ดีเอสไอ เรื่อยมาโดยผู้สมัคร และชุด สว.สำรอง ให้มีการตรวจสอบกระบวนการเลือก สว. เป็นจำนวนราว 570 คำร้อง
อย่างไรก็ตามการดำเนินการตรวจสอบเป็นไปอย่างล่าช้า กว่าที่ กกต. จะออกหมายเรียกให้ สว. จำนวน 55 คน ไปรับทราบข้อกล่าวหา ก็เมื่อระหว่างวันที่ 19 – 21 พ.ค. 2568 และในช่วงเวลาที่ล่าช้านั้น มีการปฏิบัติการดังนี้
- 3 ก.ย.2567 ดีเอสไอ ได้รับคำร้องสอบสวนฮั้วเลือก สว. และได้ดำเนินการปรึกษากับ กกต. ถึงการตรวจสอบ
- 22 ม.ค.2568 กกต.แจ้งกลับดีเอสไอโดยไม่มีความคืบหน้า
- 3 ก.พ. 2568 ดีเอสไอ ไม่เห็นความคืบหน้าจาก กกต. จึงแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมต่อ กกต.
- 10 ก.พ. 2568 กลุ่ม สว. สำรอง และผู้สมัคร สว. ยื่นหนังสือต่อดีเอสไอให้การสอบสวนคดีฮั้วประมูลเป็นคดีพิเศษ
- 18 ก.พ. 2568 กกต. ทำหนังสือตอบกลับดีเอสไอ ยังไม่ได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการ กกต.ชุดใหญ่พิจารณา ด้วยเหตุผลว่า ทางดีเอสไอยังไม่มีมติว่าจะรับเรื่องไว้หรือไม่
- 22 ก.พ. 2568 ประธาน กกต. ยอมรับว่า ได้รับหนังสือเกี่ยวกับคดีฮั้วเลือก สว. จากดีเอสไอแล้ว
- 6 มี.ค. 2568 ประธาน กรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) คือนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และ รองประธาน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม มีมติรับพิจารณาคดี เป็นคดีพิเศษ และพิจารณาว่าเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินและอั้งยี่
- 19 มี.ค. 2568 สว.กลุ่มหนึ่งยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเรื่องรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธาน กคพ. และ รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองประธาน กคพ. ไม่มีอำนาจในการสอบสวนคดี การที่ กคพ.มีมติรับคดีนี้เป็นการแทรกแซงครอบงำหน้าที่และอำนาจของ กกต. และ สว. ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ และยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เอาผิด รมว.ยุติธรรม และอธิบดีดีเอสไอ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จากกรณีดังกล่าว
- 26 มี.ค. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์รับคำร้องของ สว.
- 7 พ.ค. – 14 พ.ค. 2568 กลุ่ม สว. ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง นายภูมิธรรม เวชยชัย และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
- 9 พ.ค. 2568 ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ กกต. นำหมายเรียกเชิญ สว. 53 คน ให้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในวันที่ 19 พ.ค.
- 14 พ.ค. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติสั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หยุดปฏิบัติหน้าที่ รมว.ยุติธรรมเฉพาะตำแหน่งผู้กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษและรองประธานกรรมการคดีพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ขั้นตอนการสอบสวนและลงโทษคดีฮั้ว
ในการดำเนินคดีฮั้วเลือกตั้งสว. มีขั้นตอนดังนี้
- สว. รับทราบข้อกล่าวหา ชี้แจ้งแก้ข้อกล่าวหาที่สำนักงาน กกต.
- เมื่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ กกต. และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สืบสวนไต่สวนเสร็จแล้ว เสนอเรื่องต่อสำนักงาน กกต.
- สำนักงาน กกต. เสนอให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาด แล้วเสนอ กกต. ชุดใหญ่
- กกต. ชุดใหญ่ ทำหน้าที่พิจารณาอีกที หากการสืบสวนพบว่ามีความผิดจริง กกต. จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง
- ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งทันที ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษา
- สว. ที่มาจากการฮั้วเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น 5 ปี
- ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการซื้อเสียงและการฮั้ว ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น 20 ปี
- นอกจากนี้ยังมีคดีฟอกเงินและอั้งยี่ ที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) กำลังสืบสวนเพื่อส่งสำนวนคดีให้พนักงานอัยการคดีพิเศษ หากพบว่ามีความผิดจริง ดีเอสไอจะออกคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบชั่วคราว
สว.ยังคงปฏิบัติหน้าที่ระหว่างอยู่ในคดีอยู่การสอบสวน
แม้ในระหว่างที่คดีอยู่ในชั้นของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน สว. ยังสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้ ซึ่งได้สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้กับประชาชน ว่า สว. จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงธรรมหรือไม่ เพราะ สว. มีอำนาจหน้าที่ให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งหลายองค์กรมีบทบาทตรวจสอบ สว. โดยตรง
การเลือกองค์กรอิสระที่มาตรวจสอบตัวเอง ทำให้เกิดความกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน นำไปสู่กระแสเรียกร้องของเครือข่ายภาคประชาชนให้ สว. หยุดปฏิบัติหน้าที่ให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรตรวจสอบทุกตำแหน่งที่จะมีส่วนกับการตรวจสอบที่มาของ สว. เสียเอง จนกว่าคดีจะสิ้นสุด
หากแต่ในระหว่างดำเนินคดีนี้ ซึ่งเป็นช่วงปิดสมัยประชุมสภา สว. กลับมีนัดประชุมสมัยวิสามัญพิจารณา ลงมติเพื่อเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ในวันที่ 31 พ.ค. 2568 ได้แก่
- กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีอำนาจตรวจสอบบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ สว. ว่าเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติหรือไม่
- ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญ เพื่อตรวจสอบผู้จะดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีอำนาจชี้ขาดว่า สว. จะพ้นตำแหน่งหรือไม่ หลังศาลตัดสินว่ามีความผิดในคดีฮั้ว
- กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติ สว. และเป็นองค์กรสำคัญที่รับผิดชอบคดีฮั้วเลือก สว.
- ตำแหน่งอัยการสูงสุด ที่บทบาทยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากพบว่า สว. ร่ำรวยผิดปกติ
ในการประชุมวิสามัญวันที่ 31 พค. 2568 นี้ สว.จำนวนหนึ่งได้เสนอให้ชะลอวาระการให้ความเห็นชอบเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ในระหว่างที่คดียังไม่สิ้นสุด หากแต่ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมากไม่เห็นชอบให้ชะลอวาระ ด้วยคะแนนไม่เห็นชอบ 125 เสียง เห็นชอบ 37 เสียง งดออกเสียง 12 คน และไม่ลงคะแนน 1 คน ทำให้ สว. เสียงข้างน้อยเดินออกจากห้องประชุมทันที
รัฐธรรมนูญปี 2560 ต้นตอฮั้วเลือก สว.
การเลือกกันเองระหว่างผู้สมัคร ส.ว. เป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนและเป็นมรดกของคณะรัฐประหาร ที่ยิ่งรัฐประหารในแต่ละครั้ง รัฐธรรมนูญยิ่งกำหนดให้ สว. ไม่ยึดโยงกับประชาชน นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด กระทั่งเกิดรัฐประหารปี 2549 และเกิดรัฐธรรมนูญปี 2550 สว. มาจากเลือกตั้งส่วนหนึ่งและสรรหาอีกส่วนหนึ่ง
ต่อมาเมื่อเกิดรัฐประหารปี 2557 ที่นำไปสู่รัฐธรรมนูญปี 2560 สว. มาจากการคัดเลือกกันเองของผู้สมัคร จนนำไปสู่คดีฮั้วเลือก สว.
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
กติกาเลือกสว. แก้บล็อกโหวต-ได้คนคุณภาพจริงหรือ?