ผ่านมาเพียง 140 วันจากวันที่ตึกถล่ม ในวันที่ 15 ส.ค. 2568 สำนักประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ได้ประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ซึ่ง สตง. ได้ผลประเมิน 94.64 คะแนน เต็ม 100 เป็นอันดับ 1 ของหน่วยงานประเภทองค์กรอิสระ และมีคะแนนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 2.21 คะแนน
การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสของภาครัฐ (ITA)
ITA หรือ “การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ” (Integrity and Transparency Assessment) เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ถึงความโปร่งใสและมีคุณธรรม เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐได้ทราบถึงจุดแข็งและจุดที่ควรปรับปรุง แล้วพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพและเป็นที่เชื่อถือของประชาชน
ในการประเมิน ITA มีตัวชี้วัดอยู่ 10 ด้าน ได้แก่ การปฏิบัติหน้าที่, การใช้งบประมาณ, การใช้อำนาจ, การใช้ทรัพย์สินของราชการ, การแก้ไขปัญหาการทุจริต, คุณภาพการดำเนินงาน, ประสิทธิภาพการสื่อสาร, การปรับปรุงการทำงาน, การเปิดเผยข้อมูล, และการป้องกันการทุจริต
ขั้นตอนการประเมินนั้น เป็นลักษณะการตอบแบบสอบถามเน้นเรื่องการรับรู้ การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะเป็นหลัก โดยแบ่งผู้ให้ข้อมูลดังนี้
- ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (Internal Integrity and Transparency Assessment : IIT) หมายถึง บุคลากรในหน่วยงาน ตั้งแต่ระดับผู้บริหารไปจนถึงพนักงานจ้าง ที่ทำงานภายในเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี มีคะแนนประเมินร้อยละ 30
- ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (External Integrity and Transparency Assessment : EIT) หมายถึง บุคคล นิติบุคคล หรือหน่วยงานของรัฐอื่นที่มารับบริการหรือมาติดต่อตามภารกิจของหน่วยงาน มีคะแนนร้อยละ 30
- การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data Integrity and Transparency Assessment : OIT) โดยหน่วยงานที่เข้าร่วมเป็นผู้ตอบเอง ว่าระดับการดำเนินการต่างๆ เพื่อส่งเสริมความโปร่งใส และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ระดับมากน้อยเพียงใด คะแนนร้อยละ 40
ในทุกปี ป.ป.ช. จะมีประกาศไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ถึงกำหนดการประเมิน ITA ประจำปี เพื่อให้หน่วยงานต่างๆเข้าร่วม ซึ่งในการประเมินประจำปี พ.ศ. 2568 นั้น ป.ป.ช.ได้ออกประกาศในวันที่ 26 ก.ย. 2567 และมีขั้นตอนดังนี้
- 1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 2568 หน่วยงานที่เข้าร่วมประเมินเก็บรวบรวมข้อมูล ตอบแบบสอบถามการประเมิน IIT และ EIT
- 1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 2568 ป.ป.ช. เก็บรวบรวมข้อมูลตามแบบประเมิน EIT
- 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 2568 หน่วยงานที่เข้าร่วมประเมินเก็บรวบรวมข้อมูล ตอบแบบสอบถามการประเมิน OIT
- 1 – 31 พ.ค. 2568 ป.ป.ช. ตรวจคะแนน OIT
- 1 – 5 มิ.ย. 2568 ป.ป.ช. และสำนักงานสถิติแห่งชาติ ตรวจสอบการให้คะแนน OITเพื่อเสนอแนะแก้ไขผลตรวจยังองค์กรที่เข้าร่วม
- 1 – 10 ก.ค. 2568 ป.ป.ช.ประมวลผลประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง
- 11 ก.ค. 2568 – วันประกาศผลประเมิน ป.ป.ช. ทำรายงานผลการประเมินและข้อเสนอแนะส่งไปยังหน่วยงานที่เข้าประเมิน
- 1-31 ส.ค. 2568 ป.ป.ช. เสนอผลการประเมินยังคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง และประกาศเผยแพร่ผลประเมินต่อสาธารณชน
จากการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมทั้งสิ้น 8,317 หน่วยงาน และมีผู้ตอบแบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่า 1.35 ล้านความคิดเห็นนั้น ผลการประเมินภาพรวมระดับประเทศอยู่ที่ 93.82 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 0.77 คะแนน และสูงกว่าค่าเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
94.64 คะแนน สตง. ได้แต่ใดมา
ในวันที่ตึก สตง. ถล่มนั้น วันที่ 28 มี.ค. 2568 อยู่ในกำหนดเวลาที่ สตง. เก็บรวบรวมข้อมูล ตอบแบบสอบถามการประเมิน ITA และเป็นช่วงที่ ป.ป.ช. เก็บรวมรวมข้อมูลตามแบบประเมิน EIT ของ สตง. ด้วยเช่นกัน หลังประกาศคะแนน ได้เกิดข้อกังขาและมีข้อวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมที่คะแนนค้านสายตา ในวันที่ 18 ส.ค. 2568 สตง. จึงออกจดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ ชี้แจงขั้นตอนหลังประกาศผลคะแนนดังนี้
- แบบวัด IIT ประกอบด้วย 5 ตัวชี้วัด ได้แก่ 1. การปฏิบัติหน้าที่ 2. การใช้งบประมาณ 3. การใช้อำนาจ 4. การใช้ทรัพย์สินของราชการ 5. การแก้ไขปัญหาการทุจริต สตง. ได้เชิญชวนบุคลากรของสำนักงานเข้าตอบแบบสอบถามที่ Intranet ของสำนักงาน ไม่น้อยกว่า 400 ราย ได้ผู้เข้าตอบจำนวน 693 ราย
- แบบวัด EIT มี 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ คุณภาพการดำเนินงาน 2. ประสิทธิภาพการสื่อสาร 3. การปรับปรุงโดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- EIT ส่วนที่ 1 สตง.เชิญชวนให้หน่วยรับตรวจ สื่อมวลชน คู่สัญญาการจัดซื้อจัดจ้างกับ สตง. เข้าตอบแบบสอบถามที่หน้าเว็บไซต์ จำนวนไม่น้อยกว่า 400 ราย ได้ผู้เข้าตอบจำนวน 501 ราย
- EIT ส่วนที่ 2 สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการจัดเก็บเอง จำนวนไม่น้อยกว่า 40 ราย เข้าจัดเก็บในวันที่ สตง. จัดประชุมให้กับหน่วยรับตรวจ จำนวน 60 ราย และผู้ประเมินจัดเก็บเพิ่มเติมจากกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 28 ราย รวมมีผู้เข้าตอบ 88 ราย
- แบบวัด OIT ซึ่งเป็นการให้คะแนนการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลขั้นพื้นฐาน รวมถึงการแสดงเจตจำนงว่าจะปฏิบัติงานอย่างสุจริต เสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้มีค่านิยมเรื่องความสุจริต มีการประเมินความเสี่ยงและป้องกันการทุจริต ซึ่งแบบวัดนี้มี 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ การเปิดเผยข้อมูล 2.การป้องกันการทุจริต
เช่นเดียวกับที่ รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ออกมาชี้แจง ในวันที่ 19 ส.ค. 2568 ว่า หลักการของ ITA คือเรื่องธรรมาภิบาลในหน่วยงานนั้น ๆ ว่ามีมากน้อยเพียงใด และการประเมิน ITA เป็นการวัดสุขภาพขององค์กรว่า มีปัญหาใดบ้าง และรับข้อเสนอแนะจาก ป.ป.ช. เพื่อไปแก้ไข ไม่ได้เป็นการวัดถึงการทุจริตขององค์กร
คะแนน ITA สะท้อนอะไร
การประเมิน ITA มาจากแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่ได้กำหนดให้การประเมิน ITA ซึ่งใน พ.ศ. 2565 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้หน่วยงานภาครัฐต้องเข้าร่วมการประเมินนี้ เพื่อให้ได้ทราบถึงสถานะและปัญหาการดำเนินงานด้านคุณธรรมและความโปร่งใสขององค์กร
ในการประเมิน ITA หน่วยงานภาครัฐหลายแห่งมีคะแนนสูงอย่างมาก เกือบเต็ม 100 คะแนน เช่น องค์กรอิสระที่อันดับรองจาก สตง. คือ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ 94.64 คะแนน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้ 93.47 คะแนน และ ป.ป.ช. ได้ 93.18 คะแนน
หากแต่ ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index-CPI) ที่ประเทศไทยเข้าร่วมการประเมินตั้งแต่ พ.ศ. 2538 ที่ยังไม่เคยได้คะแนนเกิน 38 คะแนนจาก 100 คะแนน โดยปี พ.ศ. 2567 ได้ 34 คะแนน อยู่ในลำดับที่ 107 ของ 180 ประเทศ
สุภอรรถ โบสุวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท แฮนด์ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ให้ข้อสังเกตว่า ITA นั้นย่อมาจาก Integrity and Transparency Assessment ซึ่งทั้ง Integrity หรือความซื่อสัตย์สุจริต และ Transparency หรือความโปร่งใส เป็นคำใหญ่และมีความหมายกว้างมาก การจะวัดระดับความซื่อสัตย์สุจริตหรือความโปร่งใสเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่าย เลยไปศึกษาถึงเกณฑ์ต่าง ๆ จึงพบจุดที่อาจมีความคาดเคลื่อนที่ชวนเข้าใจผิด เพราะจากที่ศึกษา พบว่าแท้ที่จริงแล้ว ITA น่าจะเป็นการวัดระดับการสนับสนุน ส่งเสริม ความโปร่งใสและคุณธรรม และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะของหน่วยงานมากกว่า คะแนนที่บางองค์กรได้รับกับข่าวที่ออกมาหรือจากสายตาของประชาชนจึงอาจย้อนแย้งกัน
หากจะประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการประเมินวัดผลต้องมีปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้มีความเหมาะสมมากกว่านี้ เช่น ในด้านความโปร่งใส อาจจะต้องไปไกลกว่าเรื่องข้อมูลเปิด (open data) ที่เป็นพื้นฐานสำคัญ เช่นเมื่อหน่วยงานถูกร้องเรียนหรือรับเรื่องร้องเรียนแล้ว มีการดำเนินการอย่างไร มีการชี้แจงต่อสาธารณะได้อย่างทันท่วงทีหรือไม่เมื่อข่าวจากสื่อต่าง ๆ ในทางไม่ค่อยดี หรือมีการชี้แจงขั้นตอนแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง หากแต่หน่วยงานจำนวนมากไม่มีการเปิดเผยข้อมูลนี้และไม่ถูกนำมาวัดผลในด้านความโปร่งใส
สุภอรรถ โบสุวรรณ ย้ำว่า “ไม่ควรยกเลิก แต่ต้องปรับปรุงยกเครื่องใหม่” เพราะเครื่องมือในการประเมินหน่วยงานภาครัฐ ต้องพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ให้สามารถประเมินได้จริง
“ผมมีความเห็นว่าการจัดทำการประเมิน ITA นี้ ไม่ควรจะต้องยกเลิกแต่ต้องมีการปรับปรุงเกณฑ์ วิธีการ หรือกระบวนการ เพราะอย่างไรก็ตาม ITA ก็ยังมีคุณูปการในด้านการป้องกันการทุจริตบ้าง ทำให้หน่วยงานทุกหน่วยงานภาครัฐเริ่มให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอยู่บ้าง เช่น ในด้านการเปิดเผยข้อมูลพื้นฐาน การมีช่องทางสำคัญในการรับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้อง”
ในด้านกลไกการจัดการประเมินนั้น สุภอรรถ เสนอว่า กรรมการที่ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ของสำนักงาน ป.ป.ช. ควรมีองค์ประกอบภายนอกด้วย ไม่ใช่แค่ดำเนินการกันภายใน ป.ป.ช. ควรให้นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ภาคประชาสังคม เอกชน หรือกระทั่งสื่อมวลชนเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมิน และต้องเข้ามามีส่วนร่วมจริงๆ ไม่ใช่แค่ในนาม
นอกจากนี้ในการพัฒนาให้เครื่องมือใช้ได้จริงนั้นต้องแก้วิธีที่ได้มาซึ่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ให้ข้อมูลทั้งภายในองค์และนอกองค์กรรู้สึกความปลอดภัย เกิดการตื่นตัวที่จะให้ข้อมูล เพราะเรื่องคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่คนไม่กล้าจะเปิดเผย หน่วยงานที่ไม่มีการร้องเรียนอาจจะไม่ใช่หน่วยงานที่ดีหรือโปร่งใสที่สุด แต่เป็นหน่วยงานที่คนไม่กล้าจะเปิดเผยข้อมูลการโกงมากที่สุดก็เป็นได้
จากกรณีที่ สตง. ได้คะแนนประเมิน ITA สูงเป็นอันดับหนึ่งขององค์กรอิสระนั้น สุภอรรถ กล่าวว่า
“ในการประเมินหน่วยงานภาครัฐนั้นจะเห็นได้ว่า หน่วยงานภาครัฐได้คะแนนสูงเกือบหมด จนเกิดข้อสังเกตว่า เกณฑ์และวิธีการวัดเหล่านี้ใช้ได้จริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา เครื่องมือการประเมินคุณภาพหรือคุณธรรมองค์กร มักถูกให้ความสำคัญกับการทำตามเป้าตัวชี้วัด การยื่นเอกสารตามแบบฟอร์ม แต่ไม่ได้ให้คุณค่าหรือประโยชน์จริง ๆ จึงไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นจริง ตัวเลขอาจจะดีขึ้นทุกปี แต่สถานการณ์ไม่ได้ดีตามตัวเลขประเมิน”
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องควรแสดงบทบาทให้มากกว่านี้กับกรณีที่เกิดขึ้น และเห็นได้ชัดว่ายังขาดการจัดการหน่วยงานที่จะได้รับรางวัลหรือได้คะแนนสูง ทั้ง ๆ ที่ยังมีประเด็นข้อสงสัยทางสังคม หรือได้คะแนนสูงค้านสายตาประชาชน ซึ่งในกรณีนี้ควรจะพักการให้รางวัลไว้ก่อนเพื่อให้องค์กรนั้นจัดการตนเองเสียก่อน หรือไม่เอาหน่วยงานที่ได้คะแนนสูงมาจัดลำดับร่วมกับหน่วยงานอื่น จนกว่าประเด็นความไม่โปร่งใสหรือหรือทุจริตได้รับการพิสูจน์ ไม่เช่นนั้นการประเมินชี้วัด การแจกรางวัลต่าง ๆ จะไม่เป็นที่น่าเชื่อถือเลย