ภาคการผลิตถือเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตมาโดยตลอด แต่ในช่วงที่ผ่านมาโรงงานไทยประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมลดลง ทำให้ต้องปิดกิจการไปจำนวนหลายราย ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาขายแข่งกับสินค้าไทย โดยมีข้อได้เปรียบทั้งปริมาณสินค้าที่มากและราคาที่ถูกกว่า ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่บางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปทุกอุตสาหกรรม แม้กระทั่งอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าตลาดในไทยมานาน ก็ยังถูกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติจีนเข้ามาตีตลาด เพราะมีราคาที่ถูกกว่า จนทำให้รถยนต์ญี่ปุ่นบางค่ายต้องย้ายฐานการผลิตออกไป
7 เดือนแรก โรงงานไทยปิดกิจการ 757 แห่ง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานบทวิเคราะห์สถานการณ์เปิด-ปิดโรงงานไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า โรงงานแจ้งเลิกกิจการอยู่ที่ 757 โรงงาน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 575 โรงงาน หรือเพิ่มขึ้น 31.7% โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 20,716 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 55.7% ซึ่งสะท้อนว่าโรงงานที่เลิกกิจการเป็นโรงงานขนาดเล็กที่มีเงินลงทุนรวมกันไม่สูงมาก และมีการจ้างงานรวม 22,708 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 66.6%
ในขณะที่โรงงานแจ้งเปิดกิจการใหม่ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 1,195 โรงงาน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีจำนวน 949 โรงงาน หรือเพิ่มขึ้น 25.9% มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 188,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 155.6% สอดคล้องกับการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 79.9%
หากแบ่งการแจ้งเปิด-ปิดโรงงานเป็นรายหมวด 21 อุตสาหกรรม พบว่า หมวดอุตสาหกรรมที่มีการแจ้งเปิดกิจการใหม่ แต่มีมูลค่าเงินลงทุนลดลงมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากพืช ลดลง 4,569 ล้านบาท ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ลดลง 1,599 ล้านบาท ยานพาหนะและอุปกรณ์ ลดลง 1,413 ล้านบาท การพิมพ์ฯ ลดลง 844 ล้านบาท และเครื่องแต่งกายฯ ลดลง 49 ล้านบาท
ส่วนหมวดอุตสาหกรรมที่ปิดกิจการแต่มีมูลค่าเงินลงทุนเลิกกิจการเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 2,124 ล้านบาท สิ่งทอเพิ่มขึ้น 933 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์โลหะเพิ่มขึ้น 870 ล้านบาท ยางและผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มขึ้น 660 ล้านบาท และเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมีเพิ่มขึ้น 514 ล้านบาท เป็นต้น
เมื่อนำจำนวนโรงงานที่เปิดกิจการ (1,195 โรงงาน) มาหักลบกับโรงงานที่เลิกกิจการ (757 โรงงาน) จะได้ภาพรวมโรงงานแจ้งประกอบกิจการในช่วง 7 เดือนแรก อยู่ที่ 438 โรงงาน เพิ่มขึ้น 17.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนรวมอยู่ที่ 167,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 521.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการจ้างงานเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 20,998 คน หรือ 96.9%
3 กลุ่มอุตสาหกรรมเปิด-ปิดโรงงาน
1.หมวดอุตสาหกรรมที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งเป็นหมวดอุตสาหกรรมที่มีการปรับตัวลดลงของทั้งจำนวนและมูลค่าเงินทุนโรงงานที่แจ้งเปิดกิจการสุทธิ จำนวน 7 อุตสาหกรรม ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์จากพืช 2) สิ่งทอ 3) เครื่องแต่งกายฯ 4) การพิมพ์ฯ 5) ยางและผลิตภัณฑ์ยาง 6) ผลิตภัณฑ์โลหะ และ 7) การผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์ ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะแข่งขันได้ยากขึ้นกับสินค้าจากต่างประเทศและสินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงทาง ด้านเทคโนโลยีเกิดขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านมาสู่ยานยนต์พลังงานทางเลือกมากขึ้น
2.หมวดอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนผ่านและปรับตัว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่จำนวนโรงงานแจ้งเปิดกิจการสุทธิปรับตัวลดลงแต่เงินลงทุนสุทธิเพิ่มขึ้น สะท้อนว่าเป็นกิจการโรงงานขนาดเล็กที่มีเงินลงทุนรวมกันไม่สูงมากที่ปิดกิจการไป มี 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ 1) เครื่องดื่ม 2) ผลิตภัณฑ์โลหะ 3) เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ 4) ผลิตภัณฑ์พลาสติก และ 5) หนังสัตว์และผลิตภัณฑ์
3.กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นหมวดอุตสาหกรรม ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของทั้งจำนวนและมูลค่าเงินทุนโรงงานที่แจ้งเปิดกิจการสุทธิ จำนวน 8 อุตสาหกรรม ได้แก่ 1) อาหาร 2) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 3) ผลิตภัณฑ์อโลหะ 4) เครื่องจักรเครื่องกล 5) กระดาษและผลิตภัณฑ์ 6) ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม 7) แปรรูปไม้และผลิตภัณฑ์ และ 8) โลหะขั้นมูลฐาน
สศช.แนะมาตรการช่วยเหลือธุรกิจไทย
การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันยังคงมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากการเปลี่ยนผ่านทางด้านเทคโนโลยี ความเข้มงวดที่เพิ่มมากขึ้นด้านกฎระเบียบและมาตรฐานการค้าการผลิตระหว่างประเทศโดยเฉพาะประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สภาวะหนี้ภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูงที่ส่งผลให้ข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการยากมากขึ้น รวมถึงการเข้ามาแข่งขันของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศซึ่งกระทบต่อภาคการผลิตภายในประเทศ แม้การเปิดโรงงานใหม่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การปิดโรงงานก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะการปิดตัวเพิ่มขึ้นของโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีภูมิคุ้มกันที่ไม่สูงนักในการเผชิญหน้ากับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจ
สศช. แนะว่าภาครัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการไทยกลุ่มดังกล่าว โดยมุ่งเน้นและให้ความสำคัญ ดังนี้
1.การยกระดับการผลิตและการดำเนินธุรกิจ เช่น การให้ความช่วยเหลือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง การสนับสนุนด้านองค์ความรู้ ในเรื่องของการจัดการ การดำเนินธุรกิจและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจทั้งในระดับแนวราบหรือเครือข่ายธุรกิจที่มีขนาดใกล้เคียงกัน และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจทั้งในระดับแนวลึก หรือเครือข่ายธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับธุรกิจหรือผู้ประกอบการขนาดใหญ่ เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถนำพาตนเองให้เข้าไปสู่ระบบห่วงโซ่การผลิตขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ เป็นต้น
2.การส่งเสริมให้ธุรกิจเข้าถึงช่องทางการตลาดสมัยใหม่ โดยเฉพาะช่องทางการตลาดที่ใช้เทคโนโลยีออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่เน้นการกระตุ้นอุปสงค์ผ่านเทคนิคการใช้อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ในการทำตลาดและเทคนิคการเล่าเรื่องเพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับสินค้า
3.การติดตามดูแลปัจจัยเสี่ยงที่อาจเข้ามากระทบกับ การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ทั้งในส่วนของการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศควบคู่กับการดูแลและบริหารจัดการกลไกราคาสินค้าที่เป็นธรรมกับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ตลอดจนพัฒนา/ปรับปรุงกลไก หรือกฎระเบียบที่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวะการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญทั้งในส่วนของเทคโนโลยีและประเด็น ด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการยกระดับศักยภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างเอกลักษณ์ของสินค้า ให้ตรงตามความต้องการของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs สามารถอยู่รอดและสามารถพัฒนาต่อยอดธุรกิจได้ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านสำคัญครั้งนี้ได้อย่างมั่นคง
ที่มา: รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2567และแนวโน้ปี 2567 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง