โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือโครงการ “บัตรคนจน” จัดเป็นนโยบายเงินให้เปล่า ซึ่งเป็นเครื่องมือกระจายรายได้จากคนรวยไปสู่คนจน เพื่อสร้างความคุ้มครองทางสังคม และมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาความยากจนเฉพาะหน้า โดยในปี 2566 มีผู้ได้รับบัตรคนจนจำนวน 14.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 6 เท่าของคนไทยที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ซึ่งมีจำนวน 2.39 ล้านคน ในปีเดียวกัน
บัตรคนจนเปิดให้ลงทะเบียน 2 รอบ รอบแรกในปี 2560 และรอบที่สองในปี 2565 ผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ของกระทรวงการคลัง หรือผ่านหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ เช่น สำนักงานคลังจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเขต หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ฯ ทุกสาขา
ในรอบแรก ผู้ที่มีสิทธิได้รับบัตรต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ 5 ข้อ และในรอบที่สอง มีการเพิ่มเกณฑ์คุณสมบัติอีก 3 ข้อ พร้อมกับปรับปรุงรายละเอียดของเกณฑ์คุณสมบัติเดิมบางประการ ซึ่งภาครัฐมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลของหน่วยงานของรัฐเพื่อระบุว่าผู้ลงทะเบียนมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์หรือไม่ ซึ่งขั้นตอนตั้งแต่การเปิดลงทะเบียนจนถึงเริ่มใช้งานบัตรได้ รวมระยะเวลา 7–8 เดือน
สิทธิประโยชน์ของบัตรคนจนมี 5 อย่าง ประกอบด้วย
1. ได้รับวงเงินซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตรจากธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้า) และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยมีวงเงิน 200–300 และ 300 บาท สำหรับโครงการรอบปี 2560 และ 2565 ตามลำดับ
2. ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่กระทรวงพลังงานกำหนด 45 บาท และ 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน สำหรับรอบปี 2560 และ 2565 ตามลำดับ
3. ค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ โดยในรอบปี 2560 มีวงเงินสำหรับรถทัวร์ บขส. 500 บาทต่อเดือน และค่าโดยสารรถไฟ 500 บาทต่อเดือน แต่หากผู้ถือบัตรอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลจะได้ค่ารถเมล์ ขสมก. และรถไฟฟ้า 500 บาทต่อเดือน สำหรับรอบปี 2565 มีวงเงินรวม 750 บาทต่อคนต่อเดือนสำหรับรถสาธารณะ
4. เงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้า 315 ต่อครัวเรือนต่อเดือน และค่าน้ำประปา 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน
5. เบี้ยผู้พิการเพิ่มเติม 200 บาทต่อเดือน
บัตรคนจนอยู่ในมือคนจน (จริงๆ) แค่ไหน?
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) วิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการบัตรคนจนของไทยบนฐานข้อมูล SES ซึ่งมีกลยุทธ์การสุ่มสำรวจ (sampling strategy) ที่สะท้อนภาพครัวเรือนทั้งหมดของไทย และมีข้อมูลที่จำเป็นในการวิเคราะห์โครงการบัตรคนจนสามส่วนสำคัญ คือ
- ข้อมูลคุณลักษณะหลายประการที่ตรงกับคุณลักษณะของเกณฑ์บัตรคนจนซึ่งช่วยให้ประเมินได้ว่าใครมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์และไม่เข้าเกณฑ์บ้าง
- ข้อมูลผลประโยชน์จริงที่ได้จากโครงการบัตรคนจน (เฉพาะรอบการสำรวจปี 2564 และ 2566) ที่สามารถนำมาประเมินว่าใครได้รับสิทธิจากบัตรคนจนบ้าง
- ข้อมูลการบริโภคซึ่งสามารถใช้เป็นตัวชี้วัดระดับความยากจนได้
พบว่ามีสาเหตุหลัก 3 ประการที่ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน คือ
1. ความคลาดเคลื่อนที่มาจากการกำหนดคุณสมบัติผู้รับบัตรที่อาจไม่ตรงกับคุณสมบัติของคนจน
ธนาคารโลก (World Bank) ให้นิยาม “ความยากจน” ว่าเป็นการขาดแคลนความเป็นอยู่ที่ดี แต่เกณฑ์การวัดความยากจนในทางปฏิบัตินั้นทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การวัดในรูปตัวเงินที่สะท้อนผ่านระดับรายได้หรือการบริโภค ไปจนถึงการวัดด้วยเกณฑ์ที่กว้างขึ้นผ่านปัจจัยอื่นที่ไม่ใช้เงิน เช่น สุขภาพ อายุขัย การศึกษา และเวลาว่างที่มีในแต่ละวัน
สำหรับงานศึกษานี้จะประเมินความยากจนจากเกณฑ์ระดับการบริโภค เพราะสามารถสะท้อนความเป็นอยู่ที่ดีได้ตรงกว่าระดับรายได้ และไม่ผันผวนเท่ารายได้ เช่น คนที่ทำงานตามฤดูกาลจะมีรายได้เพียงบางช่วงของปีแต่ยังสามารถเกลี่ยระดับการบริโภคได้ นอกจากนี้ การวัดความยากจนจากการบริโภคยังสอดคล้องกับวิธีการของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่นิยามคนจนว่า คือ คนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจน ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่ายอาหารและสินค้าบริการที่ปัจเจกบุคคลจำเป็นต้องใช้ในการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน
แต่การคัดกรองคนจนจากระดับการบริโภคไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะรัฐมักขาดข้อมูลว่าแต่ละคนมีระดับการบริโภคจริง ๆ เท่าไหร่ ดังนั้น วิธีที่นิยมใช้กันจึงเป็นการคาดการณ์ผ่านคุณลักษณะที่มองเห็นได้ และมีความสัมพันธ์กับการบริโภคแทน หรือที่เรียกว่า proxy means test (PMT) ซึ่งการคัดกรองคนจนเมื่อรัฐไม่มีข้อมูลการบริโภค แต่ต้องประมาณการณ์จากเกณฑ์คุณสมบัติที่รัฐมีข้อมูล ก็สามารถจัดเป็นความสัมพันธ์กับการบริโภคแทน ได้ลักษณะหนึ่ง
แล้วบัตรคนจนออกแบบเกณฑ์คัดกรองสะท้อนคนจนจริง ๆ ได้ดีแค่ไหน การประเมินประสิทธิภาพของความสัมพันธ์กับการบริโภค โดยทั่วไปทำได้โดยการทดสอบว่าเกณฑ์คุณสมบัติคัดกรองที่ใช้ (proxy) สามารถคาดการณ์ระดับการบริโภคจริงของครัวเรือนได้ดีแค่ไหน โดยทดสอบด้วยการสุ่มแบ่งครึ่งข้อมูลออกเป็นสองชุด ได้แก่ ชุด training (sample size = 51,474) ชุด testing (sample size = 51,842) โดยนำข้อมูลชุด training ไปหาความสัมพันธ์ระหว่างระดับการบริโภคหลังหักมูลค่าบัตรคน และคุณสมบัติที่ถูกใช้เพื่อคัดกรองในโครงการบัตรคนจน หลังจากนั้นจึงนำค่าสัมประสิทธิของความสัมพันธ์ที่ได้มาคาดการณ์ระดับการบริโภค ด้วยข้อมูลคุณสมบัติคัดกรองในชุด testing
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบการบริโภคคาดการณ์และการบริโภคจริงในชุดข้อมูล testing ก็จะทำให้สามารถประเมินประสิทธิภาพของความสัมพันธ์กับการบริโภคได้
แต่จากการจำลองพบว่าไม่สามารถคาดการณ์ระดับการบริโภคได้ถูกต้องทั้งหมด สะท้อนว่าการตัดสินให้บัตรคนจนบนตามระดับการบริโภคคาดการณ์จะเกิดความผิดพลาดได้
จากรูปภาพที่ 2 ด้านล่าง แสดงการบริโภคคาดการณ์ในเกณฑ์นอน และการบริโภคที่แท้จริงในเกณฑ์ตั้งบนข้อมูลชุด testing โดยหากขีดเส้นความยากจน (เส้นสีเขียว) ลงบนทั้งสองแกนจะทำให้สามารถแบ่งกลุ่มคนออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
- ด้านซ้ายล่าง คือ กลุ่มคนยากจนจริงที่ได้รับบัตรคนจน (correct inclusion)
- ด้านขวาบน คือ กลุ่มคนที่ไม่ยากจนและไม่ได้รับบัตรคนจน (correct exclusion)
- ด้านขวาล่าง คือ กลุ่มตกหล่น (exclusion error) หมายถึงกลุ่มที่ยากจน (ระดับการบริโภคจริงต่ำกว่าเส้นความยากจน) แต่ไม่ได้รับบัตรคนจนเพราะแบบจำลองประเมินว่าการบริโภคคาดการณ์สูงกว่าเส้นความยากจน
- ด้านซ้ายบน คือ กลุ่มรั่วไหล (inclusion error) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการบริโภคจริงสูงกว่าเส้นความยากจน แต่วิธี PMT ประเมินว่าเป็นกลุ่มที่ยากจน เห็นได้ว่าความคลาดเคลื่อนลักษณะนี้ย่อมเกิดขึ้นใน PMT เพราะข้อจำกัดของข้อมูลที่ทำให้เราไม่สามารถระบุคนจนได้แม่นยำ
นอกจากความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากข้อจำกัดทางข้อมูลที่เลี่ยงไม่ได้ ยังอาจมีความคลาดเคลื่อนที่มาจากการออกแบบเกณฑ์ที่อาจไม่ได้สอดคล้องกับคุณสมบัติของคนจน
หากใช้เกณฑ์การคัดกรองจริงของโครงการบัตรคนจนมาคาดการณ์ระดับการบริโภคจากความสัมพันธ์ดังกล่าว จะได้การบริโภคคาดการณ์ที่ 9,295 บาทต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าระดับเส้นความยากจนถึง 3 เท่า ดังนั้นการใช้เกณฑ์ดังกล่าวในการคัดกรอง สะท้อนว่าผู้ออกแบบให้ความสำคัญกับการลดปัญหาการตกหล่นน้อย ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงปัญหารั่วไหลมากนักตั้งแต่ขั้นการออกแบบ
2. ความคลาดเคลื่อนที่มาจากการคัดกรองผู้รับสิทธิได้อย่างไม่แม่นยำ
รัฐอาจไม่สามารถคัดกรองคนที่มีคุณสมบัติตรงกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ได้ สาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากการขาดข้อมูลที่ครบถ้วนในการคัดกรอง เช่น แม้รัฐจะกำหนดว่าผู้ได้รับสิทธิต้องมีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปี แต่หากรัฐไม่รู้รายได้ที่แท้จริงของประชากรทุกคนก็อาจมีคนรายได้สูงบางคนที่ได้รับสิทธิ์
แล้วบัตรคนจนคัดกรองไม่แม่นยำมากแค่ไหน จากการเปรียบเทียบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับบัตรคนจน และผู้ที่ไม่ได้รับบัตรคนจนในฐานข้อมูล SES ที่ได้มีการสอบถามการรับผลประโยชน์จากบัตรคนจนและมีข้อมูลรายได้และสินทรัพย์อย่างละเอียดในปี 2566 จากนั้นจะประเมินความแม่นยำในการคัดกรองบนตัวอย่างคุณสมบัติสำคัญ 2 ประการ คือ รายได้และสินทรัพย์
ในภาพรวมพบว่า กลุ่มผู้ที่ได้รับบัตรคนจน มีการกระจุกตัวอยู่ในระดับรายได้ต่ำมากกว่ากลุ่มผู้ที่ไม่ได้รับบัตรคนจน ขณะที่สัดส่วนของคนที่ผ่านเกณฑ์รายได้แต่ไม่ได้รับบัตรคนจนคิดเป็น 58.5% ของคนที่ผ่านเกณฑ์รายได้ทั้งหมด และมีสัดส่วนคนที่ได้รับบัตรแต่ไม่ผ่านเกณฑ์รายได้คิดเป็น 11.5% ของคนที่ไม่ผ่านเกณฑ์รายได้ทั้งหมด
ผู้ถือบัตรคนจนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์รายได้หรือเกณฑ์สินทรัพย์ทางการเงิน สะท้อนถึงความคลาดเคลื่อนของการคัดกรอง ทั้งนี้ เมื่อประเมินแยกแต่ละเกณฑ์ อาจไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้ที่ผ่านเกณฑ์แต่ไม่ได้รับบัตรในเกณฑ์หนึ่ง ๆ จะเป็นผู้ตกหล่น เพราะอาจเป็นคนที่ไม่ผ่านคุณสมบัติในเกณฑ์อื่น ๆ ได้
นอกจากนี้ สาเหตุที่คุณสมบัติของผู้ถือบัตรไม่ตรงกับเกณฑ์ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการที่ข้อมูล SES ไม่ได้แสดงข้อมูลในปีที่มีการคัดกรองโดยตรง ซึ่งการคัดกรองแล้วให้สิทธิต่อเนื่องในแต่ละปีก็ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนอีกลักษณะหนึ่ง
3. ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการคัดกรองแล้วให้สิทธิประโยชน์บัตรคนจนเป็นเวลานานหลายปี โดยไม่มีการคัดกรองซ้ำ
บางคนที่ยากจนในปีที่มีการคัดกรอง อาจจะหลุดพ้นจากความยากจนในปีถัดมา หรือคนที่ไม่จนก็อาจกลายเป็นคนจนได้เช่นกัน แล้วเกณฑ์การคัดกรองมีคลาดเคลื่อนจากการไม่ได้คัดกรอบซ้ำมากแค่ไหน
เพื่อประเมินรายได้ที่เปลี่ยนเมื่อเวลาผ่านไป จากการจำลอพลวัติของการกระจายรายได้ของครัวเรือนแยกตามระดับการศึกษา หากสมมติให้ครัวเรือนมีรายได้ในปีแรกเท่ากับเกณฑ์ที่ 100,000 บาท/ปี ซึ่งผ่านเกณฑ์พอดีและได้รับบัตรในปีแรก แต่ไม่มีการคัดกรองซ้ำในปีถัดมา
ผลการจำลองพบว่า กลุ่มคนที่มีการศึกษาต่ำซึ่งเป็นกลุ่มที่รายได้โตน้อยและมีความไม่แน่นอนสูง มีสัดส่วนรายได้เกินเกณฑ์ประมาณ 52% ในปีแรก และเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 60–70% เมื่อผ่านไป 5 ปี ซึ่งสัดส่วนนี้สูงกว่าสำหรับกลุ่มครัวเรือนอายุน้อยเนื่องจากกลุ่มนี้มักมีรายได้ที่โตเร็วกว่า
ส่วนกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงนั้นโดยเฉลี่ยมีอัตราการเติบโตของรายได้ที่สูงกว่า มีโอกาสที่รายได้จะเกินเกณฑ์ 56% ในปีแรก และเพิ่มขึ้นถึงกว่า 70–89% เมื่อผ่านไป 5 ปี อย่างไรก็ดี มีเพียง 3.7% ของครัวเรือนที่มีระดับการศึกษาสูงกว่าอุดมศึกษาเท่านั้นที่ได้รับบัตรคนจน
ทั้งนี้ 78.5% ของครัวเรือนไทยมีหัวหน้าครัวเรือนที่ได้รับการศึกษาต่ำกว่าระดับอุดมศึกษา และ 97% ครัวเรือนที่ได้รับบัตรคนจนมีหัวหน้าครัวเรือนที่ระดับการศึกษาต่ำกว่าระดับอุดมศึกษา
แม้จะไม่ได้แยกว่าแต่ละสาเหตุข้างต้นส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนสุดท้ายมากน้อยแค่ไหน แต่คงพอกล่าวได้ว่าแต่ละสาเหตุร่วมกันส่งผลให้มีผู้ที่ได้รับบัตรคนจนที่ไม่ได้ยากจนจริง ๆ
จากรูปที่ 7 การบริโภคต่อหัวหลังหักมูลค่าบัตรคนจน (สำหรับกลุ่มผู้ถือบัตรคนจน) ในแกนนอนและสัดส่วนคนที่อยู่ในแต่ละระดับการบริโภคในแกนตั้ง โดยแปลงข้อมูลระดับครัวเรือนจาก SES ปี 2564 เป็นระดับบุคคลตามข้อสมมติข้างต้นและคำนึงถึงน้ำหนักของครัวเรือนแล้ว ซึ่งหากสมมติให้คนยากจนคือคนที่มีระดับการบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจน (สีแดง) ด้วยข้อสมมติข้างต้นพบว่ามีสัดส่วนการรั่วไหลคิดเป็นประมาณ 20.7% (มีคนไม่จน 10.1 ล้านคน ที่ได้รับบัตรคนจน จากคนไม่จนทั้งหมด 49 ล้านคน) และมีสัดส่วนการตกหล่นคิดเป็นประมาณ 40.4% (มีคนจน 1.4 ล้านคน ที่ไม่ได้รับบัตรคนจน จากคนจนทั้งหมด 3.5 ล้านคน)
กรอบการวิเคราะห์ประเมินประสิทธิภาพของโครงการใน 3 ขั้น และพบว่าโครงการบัตรคนจนมีการตั้งเกณฑ์คุณสมบัติที่สัมพันธ์กับการบริโภคที่สูงกว่าเส้นความยากจนถึง 3 เท่า จึงอาจไม่ได้ออกแบบเพื่อให้เงินกลุ่มคนยากจนเท่านั้น เพราะเมื่อกำหนดเกณฑ์คุณสมบัติแล้ว รัฐมีการคัดกรองที่ไม่ตรงกับคุณสมบัติที่ตั้งไว้อยู่บ้างในเกณฑ์ของรายได้และสินทรัพย์ทางการเงิน เป็นต้น
การที่รัฐให้สิทธิประโยชน์ต่อเนื่องหลายปีโดยไม่ได้คัดกรองใหม่ ไม่ได้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของผู้ถือบัตร เช่น ครัวเรือนที่ระดับรายได้เข้าเกณฑ์ในปีที่คัดกรอง ก็มีแนวโน้มที่มีรายได้เกินเกณฑ์เมื่อเวลาผ่านไป ส่งผลให้เกิดปัญหารั่วไหลมากขึ้นหากไม่มีการคัดกรองซ้ำ
โดยความคลาดเคลื่อนทั้ง 3 ข้องต้นที่กล่าวมี พอจะช่วยให้เข้าใจประสิทธิภาพของโครงการในภาพรวม ซึ่งด้วยข้อสมมติสามารถประเมินได้ว่า ปัญหารั่วไหลคิดเป็นประมาณ 20.7% (มีคนไม่จน 10.1 ล้านคน ที่ได้รับบัตรคนจน จากคนไม่จนทั้งหมด 49 ล้านคน) และมีสัดส่วนการตกหล่นคิดเป็นประมาณ 40.4% (มีคนจน 1.4 ล้านคน ที่ไม่ได้รับบัตรคนจน จากคนจนทั้งหมด 3.5 ล้านคน)
ปรับ”บัตรคนจน”ให้ดีขึ้นได้อย่างไร?
การปรับโครงการบัตรคนจน โดยใช้กรอบคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่เป็นการออกแบบโครงการเพื่อให้เกิดระดับสวัสดิการสังคม (social welfare) ที่สูงที่สุด ซึ่งจากงานศึกษาของ Hanna & Olken (2561) สามารถแบ่งขั้นตอนการออกแบบได้เป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. การเลือกคุณลักษณะและรูปแบบความสัมพันธ์ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อสะท้อนความยากจน เนื่องจากรัฐอาจไม่มีข้อมูลที่จะระบุว่าใครเป็นคนจนได้อย่างแม่นยำ รัฐจึงจำเป็นต้องประเมินความยากจน โดยคาดการณ์ผ่านคุณลักษณะที่มองเห็นได้ (observable characteristics) หรือที่เรียกว่า proxy means test (PMT) ซึ่งหากรัฐสามารถระบุตัวคนจนได้แม่นยำมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการให้บัตรคนจนกับคนที่มีฐานะดีอยู่แล้ว หรืออีกนัยหนึ่งก็ คือ การออกแบบ PMT ที่ดีจะนำไปสู่สวัสดิการสังคมที่สูงขึ้นด้วย
ขั้นตอนของการออกแบบ PMT เริ่มต้นจากหาคุณสมบัติที่คาดว่าจะสามารถอธิบายความยากจนได้ โดยข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติเหล่านี้อาจมาจากการสำรวจ หรือจากฐานข้อมูลที่รัฐมี เช่น คนที่มีรถขับอาจจะมีระดับการบริโภคสูงกว่าคนที่ไม่มีรถขับ หรืออนุมานได้ว่าคนที่มีรถขับจะมีโอกาสยากจนน้อยกว่า ดังนั้น การมีข้อมูลว่าใครมีรถยนต์ขับก็สามารถช่วยให้รัฐระบุว่าใครจนหรือไม่จนได้ดีขึ้น
ยิ่งมีข้อมูลคุณสมบัติหรือ proxy ที่หลากหลายก็มีโอกาสที่จะช่วยอธิบายความยากจนได้แม่นยำ โดยสามารถนำ proxy ต่าง ๆ ที่มีมาหาความสัมพันธ์กับระดับการบริโภคหรือความยากจน โดยสามารถหาชุดตัวแปรและลักษณะความสัมพันธ์ที่สะท้อนความยากจนได้แม่นยำที่สุด แล้วจึงนำชุดตัวแปรและความสัมพันธ์เหล่านั้นมาใช้ในการออกแบบเกณฑ์การคัดกรอง
การประเมินในขั้นตอนนี้สามารถทำได้บนชุดข้อมูลที่มีทั้งตัวแปร proxy และระดับความยากจนจริง โดยสุ่มแบ่งครึ่งข้อมูลออกเป็นสองชุด เป็นชุด training ที่ใช้ในการหาความสัมพันธ์ระหว่าง proxy และระดับการบริโภค กับชุด testing ที่นำความสัมพันธ์ที่ได้มาหาค่าการบริโภคคาดการณ์ (predicted consumption) ซึ่งสามารถทำให้เราเปรียบเทียบการบริโภคคาดการณ์และการบริโภคจริงเพื่อประเมินประสิทธิภาพของ PMT นั้น ๆ ได้
2. ประเมินปัญหา “ตกหล่น” และ “รั่วไหล” ที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนเกณฑ์บัตรคนจน เมื่อเลือกชุดคุณสมบัติและรูปแบบความสัมพันธ์ที่สะท้อนความยากจนได้ดีที่สุดแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การประเมินว่าจะตั้งเกณฑ์คุณสมบัติเข้มงวดในระดับไหน โดยการเปลี่ยนความเข้มงวดของเกณฑ์ที่จะส่งผลกับระดับการบริโภคคาดการณ์ของผู้ที่ได้รับบัตร ซึ่งเป็นตัวกำหนดระดับปัญหาตกหล่นและรั่วไหล จำนวนคนที่จะได้รับสิทธิ ตลอดจนมูลค่าสิทธิประโยชน์ที่แต่ละคนจะได้รับ บนงบประมาณที่เท่ากัน
3. การเลือกเกณฑ์คัดกรองเพื่อให้ได้สวัสดิการทางสังคมสูงที่สุด การประเมินผลลัพธ์ของโครงการบัตรคนจนผ่านแนวคิดสวัสดิการทางสังคม ทำให้สามารถเปรียบเทียบผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความเข้มงวดของเกณฑ์การคัดกรองโดยคำนึงถึงปัจจัยในแต่ละมิติที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งความแม่นยำของ PMT การแลกเปลี่ยน (tradeoffs) ระหว่างปัญหาตกหล่นและรั่วไหล สิทธิประโยชน์ที่ให้ต่อหัว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสวัสดิการ (welfare) รายบุคคลที่จน หรือรวยแตกต่างกัน
หากลองพิจารณาจากตัวอย่างของการตั้งเกณฑ์ให้เข้มงวดขึ้น จะทำให้เกิดปัญหารั่วไหลน้อยลงและปัญหาตกหล่นมากขึ้น และมีจำนวนผู้รับสิทธิโดยรวมน้อยลงด้วย แต่ผู้ที่ได้รับสิทธิแต่ละคนจะได้บัตรคนจนในมูลค่าที่สูงขึ้น ซึ่งการปรับเกณฑ์ในลักษณะนี้จะส่งผลต่อสวัสดิการสังคมผ่านหลายช่องทางและมี tradeoffs ในหลายมิติ
โดยสรุปคร่าว ๆ ได้ดังตารางที่ 1 ซึ่งเห็นได้ว่าผลต่อสวัสดิการสังคมจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละช่องทาง และขนาดของผลก็จะเปลี่ยนไปตามเกณฑ์ความเข้มงวดอีกด้วย ซึ่งการประเมินผลลัพธ์ผ่าน สวัสดิการสังคมจะคำนึงถึงมิติต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งหมด
จะเห็นได้ว่าระดับ สวัสดิการสังคม จะสูงสุด เมื่อตั้งเกณฑ์การคัดกรองค่อนข้างเข้มงวด (ปัญหารั่วไหลต่ำ) ซึ่งหมายถึงว่าทรัพยากรที่มีจำกัดนั้นขะถูกจัดสรรให้กับกลุ่มคนที่ยากจนจริง ๆ และแต่ละคนก็จะได้ทรัพยากรค่อนข้างมาก ซึ่งจะช่วยให้ได้สวัสดิการสังคมที่สูง
ที่มา : บัตรคนจน ตอนที่ 1: บัตรคนจนคัดกรอง “คนจน” ได้ดีแค่ไหน? / บัตรคนจน ตอนที่ 2: เราจะปรับโครงการบัตรคนจนให้ดีขึ้นได้อย่างไร? โดย พิทวัส พูนผลกุล หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER), ธนิสา ทวิชศรี หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER), ธนพล กองพาลี เศรษฐกรอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)