ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar rooftop) หรือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะท่ามกลางภาวะค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกับสัญญาณสนับสนุนพลังงานสะอาดจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ในบ้านอยู่อาศัย เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป
อ่านเพิ่มเติม: ติดตั้งโซลาร์รูปท็อป ลดหย่อนภาษี 2 แสน มีผลถึง 31 ธ.ค.70
มาตรการนี้กำหนดให้ ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อป มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่เกิน 200,000 บาท (รวม VAT) โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ใช้สิทธิต้องเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 (บ้านอยู่อาศัย) และเป็นผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40 (1) – (8) ของประมวลรัษฎากร โดยไม่รวมคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญ
ทั้งนี้ ชื่อผู้ขอใช้สิทธิต้องตรงกับชื่อเจ้าของมิเตอร์ไฟฟ้า และใช้สิทธิได้เพียง 1 คน ต่อ 1 มิเตอร์ ต่อ 1 ระบบ เท่านั้น ระบบที่ติดตั้งต้องเป็นแบบ On-grid คือ เชื่อมต่อกับโครงข่ายของการไฟฟ้า
กำหนดกำลังการผลิตติดตั้งให้ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ และให้ขออนุญาตอย่างถูกต้อง โดยต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ (Tax invoice) และเอกสารยืนยันการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ นับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2570
ในปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กรมสรรพากร และการไฟฟ้าฯ กำลังอยู่ในช่วงร่างประกาศและยังไม่มีกำหนดการที่แน่ชัดว่าจะประกาศในช่วงเวลาใด
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) วิเคราะห์ว่า มาตรการลดหย่อนภาษีดังกล่าวของภาครัฐ จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมากขึ้น เนื่องจากจะช่วยลดภาระต้นทุนในการติดตั้ง ยังช่วยให้ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือน
กระทรวงพลังงานประเมินว่าในปี 2566 ศักยภาพรวมอยู่ที่ราว 121,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ปริมาณการติดตั้งสะสมในปี 2565 ยังอยู่เพียง 1,893 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 1.6% ของศักยภาพทั้งหมด สะท้อนว่าการติดตั้งยังสามารถเติบโตได้อีกมาก
ลดหย่อนภาษียังจูงใจไม่พอ
จากผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคจำนวน 2,257 ราย ในช่วงต้นปี 68 ของ SCB EIC พบว่า 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามสนใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปแต่ยังไม่ตัดสินใจ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนในการติดตั้งที่อยู่ในระดับสูง โดยคาดว่ามาตรการลดหย่อนภาษีที่ระดับ 200,000 บาท จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เนื่องจากจะช่วยลดภาระภาษีได้ราว 6,100 – 50,000 บาท ขึ้นอยู่กับฐานภาษีของแต่ละบุคคล
นอกจากนี้ มาตรการลดหย่อนภาษียังเป็น “สัญญาณเชิงบวก” จากภาครัฐว่ารัฐบาลจริงจังกับการสนับสนุนพลังงานสะอาดจากภาคประชาชน และอาจต่อยอดไปสู่มาตรการส่งเสริมอื่น ๆ ในอนาคต เช่น การให้สิทธิเข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าเพื่อขายกลับเข้าระบบได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
แม้มาตรการลดหย่อนภาษีจะเป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่ตรงใจผู้บริโภค แต่อาจยังไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดจากภาครัฐ จากผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคของ SCB EIC เกี่ยวกับนโยบายภาครัฐที่จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ พบว่า การให้เงินอุดหนุนสำหรับการติดตั้งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐมากที่สุด (26% ของผู้ตอบแบบสำรวจ) ตามมาด้วย การให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง (20%)
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนในอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปลดล็อกให้สามารถขายไฟฟ้าได้เสรี (15%) หรือการเสนอขายระบบโซลาร์รูฟท็อปที่ถูกกว่าตลาด (14%) หรือแม้แต่การที่ภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินในราคาเดียวกับราคาขายปลีกไฟฟ้า (13%) และการผ่อนปรนให้ติดตั้งได้โดยไม่ต้องขออนุญาต (12%) สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคต้องการ “แพ็กเกจนโยบาย” ที่ครบถ้วน ทั้งในมิติของต้นทุน การเข้าถึงระบบ และสิทธิประโยชน์หลังการติดตั้ง
อุปสรรคติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป
แต่มาตรการทางภาษีเพียงอย่างเดียว อาจยังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนให้ผู้บริโภคสนใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคต้องเผชิญกับอุปสรรคในการติดตั้งในหลายด้าน สะท้อนจากผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคของ SCB EIC พบว่า ผู้บริโภคยังเผชิญอุปสรรคที่สำคัญ 3 ด้านในการตัดสินใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ได้แก่
ด้านแรก การตรวจสอบว่าผู้ให้บริการมีความน่าเชื่อถือ และราคาที่ผู้ให้บริการเสนอมีความเหมาะสม โดยจากผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคของ SCB EIC เกี่ยวกับอุปสรรคในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป พบว่า 44% ของผู้ตอบแบบสำรวจ มองว่า การตรวจสอบผู้ให้บริการติดตั้งมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นอุปสรรคสำคัญในการเลือกผู้ให้บริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ตามด้วย 39% การตรวจสอบว่าราคาที่ผู้ให้บริการติดตั้งเสนอมีความเหมาะสม เป็นอุปสรรคเช่นเดียวกั
ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังไม่สามารถตรวจสอบผู้ให้บริการในเรื่องคุณภาพและราคาที่เหมาะสมได้ โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปที่อาจจะไม่มีความรู้ว่าจะต้องตรวจสอบผู้ให้บริการติดตั้งที่มีคุณภาพได้อย่างไร
ด้านที่สอง การจัดหาเงินทุนสำหรับติดตั้ง โดยจากผลสำรวจวิธีการจ่ายเงินของผู้ที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปแล้ว พบว่า 52% ของผู้ตอบแบบสำรวจจ่ายค่าติดตั้งด้วยเงินสด ในขณะที่ 17% จ่ายค่าติดตั้งโดยการใช้บัตรเครดิตแบบเต็มจำนวน ส่วน 14% ใช้บัตรเครดิตแบบผ่อนจ่าย ซึ่งเมื่อสอบถามผู้บริโภคว่าอะไรคืออุปสรรคสำคัญในการหาแหล่งเงินทุน พบว่า 53% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอบว่าอุปสรรคสำคัญมาจากการจัดหาเงินทุนเพื่อจ่ายค่าติดตั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้บริโภค
ด้านที่สาม การขออนุญาตจากภาครัฐมีความยุ่งยากซับซ้อน เมื่อสอบถามเกี่ยวกับอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการขออนุญาตติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป พบว่า 27% ของผู้ตอบแบบสำรวจในกลุ่มที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปไปแล้ว ระบุว่าไม่มีอุปสรรค เนื่องจากผู้ติดตั้งดำเนินการให้ทั้งหมด แต่ 23% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ระบุว่า เผชิญความยุ่งยากในการติดต่อหน่วยงานรัฐ ในขณะที่อุปสรรคอื่น ๆ มาจากการต้องศึกษาข้อมูลการขออนุญาต การดำเนินการในการออกเอกสารล่าช้า และการนัดหมายมาตรวจสอบบ้านที่มีความล่าช้า
แนวทางส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อป
SCB EIC เสนอ 3 แนวทางที่จะเป็นมาตรการเสริมสำหรับภาครัฐในการสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มเติมในระยะสั้น ดังนี้
1. เพิ่มกลไกการตรวจสอบและอนุมัติคุณภาพของอุปกรณ์และผู้ให้บริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภาคสมัครใจ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปสามารถเลือกผู้ให้บริการจากรายชื่อที่ภาครัฐตรวจสอบแล้วว่าผ่านมาตรฐานทั้งในด้านคุณภาพและราคาได้
2. แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภาคประชาชน อาทิ การให้เงินอุดหนุนการติดตั้งและสนับสนุนการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยอาศัยความร่วมมือของสถาบันการเงิน ซึ่งจะสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและช่วยลดอุปสรรคในการหาเงินทุน
3. ขจัดอุปสรรคในการขออนุญาตและการเตรียมเอกสารที่ยุ่งยาก อาทิ การสร้างระบบ One-stop services (บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว) สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปที่บ้านอยู่อาศัย ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการขออนุญาตติดตั้งของประชาชนและผู้ให้บริการติดตั้งได้ ในระยะยาว ภาครัฐอาจพิจารณามาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติมที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค เช่น การปลดล็อกให้สามารถขายไฟฟ้าได้เสรี และการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินในราคาขายปลีก (Net-metering) เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็สามารถมีส่วนในการผลักดันการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปผ่านการดำเนินการใน 3 เรื่อง ได้แก่
1. ผู้ให้บริการติดตั้งควรเน้นสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อปิดช่องว่างของอุปสรรคสำคัญในการเลือกผู้ให้บริการของผู้บริโภค โดยผู้ให้บริการติดตั้งจะต้องมีหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือในด้านคุณภาพของการให้บริการ มีการเสนอรายละเอียดผลิตภัณฑ์และราคาที่ชัดเจน มีการรับประกันสินค้าและมีการให้บริการหลังการขาย
2. ผู้ให้บริการติดตั้งควรร่วมมือกับสถาบันการเงินนำเสนอแหล่งเงินทุนเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค เนื่องจากผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้เงินสดในการติดตั้งและเผชิญอุปสรรคในการจัดหาเงินเพื่อจ่ายค่าติดตั้ง ดังนั้น สถาบันการเงินและผู้ให้บริการติดตั้งควรร่วมกันพัฒนาทางเลือกทางการเงินที่เข้าถึงง่ายสำหรับผู้บริโภค เช่น สินเชื่อเช่าซื้อดอกเบี้ยต่ำเพื่อติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เป็นต้น
3. ผู้ให้บริการติดตั้งสามารถนำเสนอบริการขออนุญาตติดตั้งแทนผู้บริโภค เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากยังเผชิญปัญหาในการขออนุญาตติดตั้งเอง นอกจากนี้ ผู้ให้บริการสามารถเสนอส่วนลดราคาอุปกรณ์และค่าติดตั้ง เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมากขึ้น เนื่องจากผลการสำรวจผู้บริโภคของ SCB EIC พบว่า การได้รับส่วนลดเป็นหนึ่งในปัจจัยเสริมสำคัญที่จะทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมากขึ้น
ที่มา : ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
ไขปริศนา “ไฟฟ้าสีเขียว 5 พันเมกะวัตต์” ค่าไฟถูกจริงหรือ?
ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนถูก ทางออกลดปล่อยคาร์บอน
ไทยมั่นคงพลังงานไฟฟ้า ทำไมจ่ายค่าไฟแพง??