ThaiPBS Logo

ถึงเวลาใช้บทเรียนที่มี ยกระดับการจัดการภัยพิบัติ

13 ธ.ค. 256808:29 น.
ถึงเวลาใช้บทเรียนที่มี ยกระดับการจัดการภัยพิบัติ
  • ความเสียหายในภาคใต้ครั้งนี้ ไม่แตกต่างจากวิกฤตที่ภาคเหนือในปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นความเปราะบางของระบบการจัดการภัยพิบัติ
  • ขณะที่รัฐไทยเป็นรัฐพิธีกรรม เมื่อเกิดปัญหาต้องตั้งคณะกรรมการ และดำเนินงานตามระเบียบขั้นตอน ทำให้การทำงานล่าช้า
  • สุดท้ายเมื่อสถานการณ์ผ่านไป ทุกอย่างมักถูกลืมเลือน บทเรียนจึงไม่เคยถูกนำไปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง
  • ข้อค้นพบจากการถอดบทเรียน จนนำมาสู่ “สมุดปกแดง” ที่ล่าสุด ครม.มีมติเห็นชอบ ชี้ให้เห็นว่า การถอดบทเรียนใหม่อย่างต่อเนื่อง อาจไม่ใช่คำตอบ หัวใจสำคัญอยู่ที่การนำบทเรียนที่มีอยู่แปรเปลี่ยนไปสู่การปฏิบัติจริง
  • เพื่อไม่ให้การถอดบทเรียนใด ๆ จบลงแค่ในหน้ากระดาษ ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และเครือข่าย ร่วมกันเสนอให้สร้างพื้นที่ปฏิบัติการเรียนรู้ (Sandbox) ฟื้นชุมชน หาดใหญ่ใน หลังประสบภัย
เมื่อ "น้ำท่วมหาดใหญ่" กลายเป็น “ภาพก๊อปปี้” ของปัญหาการจัดการภัยพิบัติเดิมที่แก้ไม่ตก ท่ามกลางสถานการณ์ยุคโลกรวน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องเลิก "รัฐพิธีกรรม" เร่งรัดใช้ข้อเสนอเชิงนโยบายที่มี อย่าง “สมุดปกแดง” มาปรับใช้กับสถานการณ์จริง ก่อนที่ความเจ็บปวดจะวนลูปกลับมาเป็นความสูญเปล่าที่ไม่มีวันสิ้นสุด

นับตั้งแต่เหตุการณ์สึนามิ เมื่อปลายปี 2547 มาจนถึงมหาอุทกภัยน้ำท่วมที่ภาคใต้ครั้งล่าสุด ตลอดระยะเวลา 2 ทศวรรษ ประเทศไทยเผชิญกับความสูญเสียจากภัยพิบัติสะสมรวมกว่า 2.2 ล้านล้านบาท แม้จะมีการถอดบทเรียนมาแล้วหลายครั้ง แต่คำถามคือข้อมูลความรู้ที่ถูกกลั่นกรองมาอย่างดีจะถูกนำมาใช้จริงเมื่อไร ?

จากการรวบรวมประสบการณ์และจัดทำข้อมูลในหลายช่วงเวลา ของภาคประชาชน นักวิชาการ และเครือข่ายต่าง ๆ จนนำมาสู่แนวทางการจัดการภัยพิบัติแบบครอบคลุมทุกมิติในนาม “สมุดปกแดง” ที่ล่าสุด ครม. มีมติเห็นชอบ

แต่ทว่าทันทีที่สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่เริ่มคลี่คลายลง กลับมีการตั้งคณะอนุกรรมการถอดบทเรียนขึ้นมาอีก 5 ชุด

ท่ามกลางยุคโลกรวนที่ภัยพิบัติทวีความรุนแรงขึ้น การรอคอยคือระเบิดเวลา ที่นับถอยหลังสู่ความสูญเสียที่หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม หากยังไม่รีบนำองค์ความรู้ที่มีมาใช้ ความเจ็บปวดที่ผ่านมาจะวนลูปกลับมาเป็นความสูญเปล่าที่ไม่มีวันสิ้นสุด

Policy WatchThe Active ไทยพีบีเอส จึงร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ มหาวิทยาลัยทักษิณ สถาบันนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่สนทนาสาธารณะ “Policy Forum บทเรียนภัยพิบัติ: ถอดไว้ ใช้กี่โมง ชวนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาแลกเปลี่ยนความเห็น สะท้อนต้นทุน ข้อจำกัด และออกแบบแนวทางการผลักดันให้การจัดการภัยพิบัติที่มีชุมชนท้องถิ่นเป็นฐาน เดินหน้าไปสู่การ “ลงมือทำ” ที่เป็นจริง

“หลายองค์กรนัดหมายมาเจอกัน ไม่ใช่เพื่อมาเริ่มต้นนับหนึ่งถอดบทเรียนใหม่ เพราะเรามีความรู้ที่มีอยู่มากมายและมีข้อเสนอที่ชัดเจนอยู่ในมือแล้ว แต่เรามาคุยเพื่อหาทางออกร่วมกันว่า สิ่งที่ถอดไว้จะได้ ‘ใช้กี่โมง?’ หากบทเรียนเหล่านี้ถูกนำมาใช้เร็วกว่านี้ ความรุนแรงและความเสียหายครั้งล่าสุด อาจไม่หนักเท่ากับที่ผ่านมา วันนี้จึงไม่ใช่เวลาของการรอคอยความพร้อมจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่คือเวลาที่เราจะหยิบยกองค์ความรู้ มาลงมือทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์”

ณาตยา  แวววีรคุปต์  ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส

 

 

วิกฤตน้ำท่วม ไม่ใช่แค่ภัยพิบัติ แต่เป็นภัยทางความรู้สึก

เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้  ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภัยพิบัติ แต่ได้ก่อให้เกิด ความรู้สึก ที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งทั้งต่อผู้คนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบ และผู้ที่ติดตามข่าวสารทั่วประเทศ

“ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่น้ำท่วม แต่เป็น ‘ภัยทางความรู้สึก’ ซึ่งผมคิดว่าเป็นความรู้สึกของคนทั้งประเทศ ที่เห็นชะตากรรมของผู้คน แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยเขาอย่างไรจริง ๆ และคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก”

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา

โดยความรู้สึกและความคาดหวังที่ถูกสะท้อนออกมาจากเวทีสนทนาสาธารณะ สามารถสรุปได้ดังนี้

ในมิติของความสูญเสีย หลายคนยอมรับว่า “รู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง และโดดเดี่ยวเมื่อระบบการสื่อสารใช้งานไม่ได้ ต้องรอคอยความช่วยเหลือแบบไร้ความหวัง ขณะที่พื้นที่อุทกภัยไร้นาม รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะไม่ถูกพูดถึงและไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างที่ควรจะเป็น เช่นเดียวกับชุมชนพื้นที่ปลายน้ำ รู้สึกอึดอัด ทั้งที่เป็นพื้นที่รองรับน้ำ แต่กลับถูกเสนอความตายมาสู่ 10,000 ชีวิต ด้วยการ “ระเบิดถนนลพบุรีราเมศวร์” เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากตัวเมืองหาดใหญ่

ขณะที่ผู้อาศัยอยู่บ้านติดริมคลอง ร.1 และคลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบซ้ำซากในทุก ๆ ปี รู้สึกเคยชิน มองว่าปัญหานี้เป็นเรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ และตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นความบอบช้ำทางจิตใจ เมื่อเหตุการณ์ครั้งนี้รุนแรงจนน้ำท่วมมิดบ้าน ส่งผลให้เกิดภาวะหลอน นอนไม่หลับ เมื่อฝนตก

ส่วนกลุ่มอาสาสมัครและกู้ภัยเอง ก็ต้องเผชิญกับความ รู้สึกล้มเหลวที่แม้จะอยู่ในทีมประเมินและเตือนภัยน้ำ แต่กลับไม่สามารถปกป้องทุกคนไว้ได้ หลายคนต้องเผชิญกับวินาทีที่ยากลำบากในการตัดสินใจ แม้ว่าในเวลานั้นคนในครอบครัวหรือเพื่อนจะยังติดอยู่ในพื้นที่ท่วมหนักและรอคอยความช่วยเหลืออยู่ก็ตาม

ท่ามกลางความทุ่มเทเหล่านั้นของจิตอาสา ยังมีเสียงสะท้อนถึงความ “รู้สึกหวังเหวิดตามภาษาใต้ที่สื่อถึงความกังวลว่าการถอดบทเรียนครั้งนี้จะวนกลับไปสู่จุดจบแบบเดิม ๆ และไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้การจัดการภัยพิบัติเกิดขึ้นได้จริง

 อย่างไรก็ตามท่ามกลางวิกฤตที่หนักหน่วง ในอีกด้านก็ยังเห็นการรวมตัวที่เข้มแข็งของเครือข่ายภาคประชาสังคม คนรุ่นใหม่ และคนทำหลายภาคส่วน ที่พยายามก้าวข้ามขีดจำกัดของระบบราชการเพื่อช่วยเหลือกันอย่างเต็มกำลัง สิ่งนี้ไม่ได้สะท้อนให้เห็นแค่  น้ำใจคนไทยแต่ยังสะท้อนถึงการปรับตัว การพึ่งพาตนเองที่เกิดขึ้นในระดับชุมชน จนกลายเป็นแรงผลักดันก่อให้เกิดพื้นที่พูดคุยในวันนี้ และเกิด ความหวังใหม่ ว่าการเริ่มต้นครั้งนี้ จะนำไปสู่การแก้ไขระบบการจัดการและการวางแผนรับมือภัยพิบัติในอนาคต โดยมีชุมชนเป็นศูนย์กลาง

 

 

3 ข้อสังเกตที่ทำให้ระบบจัดการภัยพิบัติไทยยังเปราะบาง

ความเสียหายในภาคใต้ครั้งนี้ ไม่แตกต่างจากวิกฤตที่ภาคเหนือในปีที่ผ่านมา หรืออีกหลายเหตุการณ์ตลอดระยะเวลา 20 ปี สิ่งเหล่านี้คือภาพสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบการจัดการภัยพิบัติในสังคมไทย ซึ่ง รศ.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ ได้เปิดเผยข้อสังเกตสำคัญที่ทำให้เรายังคงติดอยู่ใน “วังวนเดิม” ดังนี้

  1. ความเชื่อ การมองว่าภัยพิบัติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเชื่อว่าเป็นเรื่องเวรกรรม ผู้ประสบภัยเปรียบเหมือนคนเคราะห์ร้าย จะได้รับผลกระทบมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเวรกรรมที่ทำมา ส่งผลให้การช่วยเหลือติดอยู่กับการ “สงเคราะห์” มากกว่าการสร้างพลังให้ชุมชนลุกขึ้นมามีส่วนร่วมในการจัดการตัวเองอย่างมีศักดิ์ศรี
  2. ความช้า รัฐไทยเป็นรัฐพิธีกรรม เมื่อเกิดปัญหา ยังคงต้องตั้งคณะกรรมการ ดำเนินงานตามระเบียบขั้นตอน ทำให้ความช่วยเหลือไปไม่ถึงมือประชาชนในเวลาที่ต้องการที่สุด
  3. ความชิน เมื่อสถานการณ์ผ่านไป ทุกอย่างมักถูกลืมอย่างรวดเร็ว คนตัวเล็กตัวน้อยถูกละเลย ขณะที่โครงสร้างส่วนกลางมักหาแพะรับบาป โยนความรับผิดชอบให้ท้องถิ่น ทั้งที่เป็นความบกพร่องเชิงระบบ

 

รศ.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ

 

“สมุดปกแดง” ลายแทงใหม่นโยบายภัยพิบัติ

“เราถอดบทเรียนกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ความรู้ก็อยู่ส่วนความรู้ การปฏิบัติก็อยู่ส่วนปฏิบัติ”

 รศ.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ

เมื่อภาพความเสียหายของหาดใหญ่ แทบจะเป็น “ภาพก๊อปปี้” ของปัญหาเดิมที่เคยถอดบทเรียนไว้แล้ว ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่เราไม่มีความรู้ แต่อยู่ที่ว่าข้อเสนอต่าง ๆ กลับยังไม่ถูกนำมาใช้จริง จนเกิดคำถามสำคัญว่า ถอดแล้วจะเริ่มใช้กี่โมง ?”

หากพิจารณาจากสิ่งที่เคยถอดบทเรียนเชิงนโยบายไว้อย่างชัดเจนใน สมุดปกแดง ซึ่งเพิ่งผ่านมติความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 จะพบว่า ปัญหาที่ทำให้ระบบการจัดการภัยพิบัติไทยยังเปราะบาง ในอดีตจนถึงปัจจุบันนั้น แทบจะไม่มีอะไรแตกต่าง

ไม่ว่าจะเป็น การทำงานแบบแยกส่วน (Silo) ที่ต่างคนต่างทำ ขาดการบูรณาการข้อมูลอย่างแท้จริง ช่องว่างทางกฎหมาย ของพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ที่ยังเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจในภาวะวิกฤต ไปจนถึง ฐานข้อมูลที่กระจัดกระจาย ไม่เป็นระบบเปิด (Open Access) ส่งผลให้การเตือนภัยที่หาดใหญ่ครั้งล่าสุด ยังคงเกิดความโกลาหล สื่อสารกันไม่ได้ในนาทีชีวิต ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้นโยบายจะวางไว้ดีเพียงใด แต่ถ้ากลไกการหยิบใช้ไม่เกิดขึ้นจริง ความเจ็บปวดของประชาชนก็ยังคงวนลูปเดิม

 

 

สมุดปกแดงเล่มนี้ จึงเสนอทางออกระดับนโยบายที่รัฐต้องเร่งขยับ ตั้งแต่การ แก้กฎหมายและระเบียบการเยียวยา ให้เกิดความเท่าเทียมและรวดเร็ว การจัดตั้ง ศูนย์ข้อมูลกลางด้านภัยพิบัติ และผลักดัน กองทุนภัยพิบัติระดับจังหวัด เพื่อให้มีงบประมาณพร้อมใช้ในพื้นที่ รวมถึงการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาผ่านกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงอุดมศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อสร้างความตระหนักรู้และการเอาตัวรอดตั้งแต่ระดับเยาวชน ทั้งหมดนี้คือโครงสร้างที่ต้องสร้างไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่รอตั้งคณะกรรมการใหม่ทุกครั้งที่น้ำท่วม 

 

 

ขณะที่ระดับท้องถิ่น สมุดปกแดง เน้นย้ำถึงการกระจายอำนาจสู่ระดับตำบล ผ่านการจัดตั้งคณะกรรมการและกองทุนภัยพิบัติชุมชน การสร้างแผนที่ความเสี่ยงและเส้นทางอพยพที่ชาวบ้านร่วมออกแบบ และการพัฒนา ระบบเฝ้าระวังแบบ Real-time โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน โดยมีหัวใจสำคัญคือการทำให้ท้องถิ่นมีแผนเผชิญเหตุที่ไม่ใช่แค่ แผนบนหน้ากระดาษ แต่เป็นแผนที่ผ่านการซักซ้อมและเข้าใจวิถีน้ำในพื้นที่อย่างแท้จริง เพื่อให้ชุมชนลุกขึ้นมาจัดการตัวเองได้ทันทีโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง

 

 

 

ข้อเสนอของประชาชน ยังไร้ส่วนกลางสานต่อ

ท่ามกลางความหวังว่า สมุดปกแดง จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ แต่เมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการถอดบทเรียนขึ้นมา 5 ชุด นำมาสู่ข้อสงสัยจากภาคประชาสังคมที่ว่า นี่จะเป็นการสานต่อ หรือจะเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง

 

 

โดย ไมตรี จงไกรจักร ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท และ โกเมศร์ ทองบุญชู ประธานเครือข่ายการจัดการภัยพิบัติธรรมชาติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้วิเคราะห์โครงสร้างคณะอนุกรรมการทั้ง 5 ชุดของรัฐบาลไว้อย่างน่าสนใจว่า โครงสร้างยังคงแยกส่วนและเน้นไปที่โครงสร้างทางกายภาพเป็นหลัก

หากพิจารณาการแต่งตั้งประธาน อย่างชุดที่ 1 คาดว่าจะเน้นการเตรียมความพร้อมรับภัยพิบัติ ผ่านการการบริหารจัดการน้ำ โดยมีเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นประธาน ชุดที่ 2 เน้นระบบอพยพและการทำงานของท้องถิ่นภายใต้การกำกับของปลัดกระทรวงมหาดไทย ชุดที่ 3 ชูบทบาทกองทัพเป็นแกนกลางในการเข้าช่วยเหลือประชาชน โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธาน ชุดที่ 4 เน้นภารกิจเยียวยาและประสานงานผ่านปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดกระทรวงมหาดไทย และชุดที่ 5 มุ่งเคลียร์ข้อบังคับต่าง ๆ โดยมี ศ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน

ด้าน เพ็ญ สุขมาก ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะฟันเฟืองสำคัญที่ร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งไทยพีบีเอส, สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, มูนิธิชุมชนไทย และเครือข่ายภาคประชาชน จัดทำสมุดปกแดง เปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีคณะอนุกรรมการชุดใดของรัฐบาลติดต่อมาเพื่อขอข้อมูลหรือนำสมุดปกแดงไปเป็นสารตั้งต้นในการทำงาน

อย่างไรก็ตามยังพอมีสัญญาณบวกอยู่บ้างเมื่อมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดย ผศ.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ กำลังเตรียมขยับบทบาทเป็นแกนหลักในการนำ “สมุดปกแดง” ไปขยายผลและนำไปสู่การปฏิบัติในเชิงนโยบายผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่มีชุดถอดบทเรียนของตัวเองเช่นกัน

เราไม่ได้ต้องการให้สมุดปกแดงเป็นเพียงงานวิจัยที่วางอยู่บนหิ้ง หรือต้องมาถอดบทเรียนกันใหม่ทุกปีที่ที่เดิม

เพ็ญย้ำชัดว่า ข้อมูลในสมุดปกแดงคือ “Input” ที่พร้อมให้นำไปสู่การปฏิบัติงานในทันที แต่อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะนำเอา “เข็มทิศ” ที่ประชาชนร่วมกันเขียนขึ้นมา ใช้นำทางก่อนที่วิกฤตครั้งหน้าจะมาถึงหรือไม่

 

เพ็ญ สุขมาก ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

 

ข้อเสนอเปลี่ยนการถอดบทเรียน สู่การปฏิบัติจริง

ไม่ใช่แค่สมุดปกแดงที่หลายคนคาดหวังให้กลายเป็นเข็มทิศของประเทศในการจัดการภัยพิบัติในอนาคต ยังมีบทเรียนอีกมากมายที่รอคอยการสานต่อในห้วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อไม่ให้การถอดบทเรียนจบลงแค่ในหน้ากระดาษ จึงน่าจะถึงเวลาที่ต้องร่วมกันขีดเขียน “แบบฝึกหัดใหม่” เพื่อหาทางออกจากวังวนเดิม

 

“วันนี้เราไม่ได้แค่มาพูดคุย แต่เรากำลังจะตั้งต้นทดลองปฏิบัติการในจุดที่เล็กลงก่อน โดยเริ่มจาก ‘หาดใหญ่ใน’ ซึ่งบทสรุปจากเวทีนี้จะถูกแปรเป็นข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อให้มั่นใจว่าเสียงของชุมชนจะกลายเป็นแผนงานที่รัฐนำไปใช้ได้จริง และแปรเปลี่ยนอนาคตการจัดการภัยพิบัติของประเทศ”

ณาตยา  แวววีรคุปต์  ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส

 

จากโจทย์ตั้งต้น เพื่อเปลี่ยนความรู้เป็นปฏิบัติการ นำมาสู่ข้อเสนอของ บัญชร วิเชียรศรี สถานีวิทยุกระจายเสียง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ที่ขอหยิบยก “พื้นที่หาดใหญ่ใน” ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำระหว่างคลองอู่ตะเภาและคลอง ร.1 ขึ้นมาเป็นพื้นที่ปฏิบัติการเรียนรู้ (Sandbox)

 

พื้นที่หาดใหญ่ใน เป็นพื้นที่เปราะบางสูง ถ้าทำที่นี่ได้ ที่อื่นก็จัดการได้ด้วย

 

นี่คือคำยืนยันจาก “บัญชร” ถึงความท้าทายของพื้นที่นี้ว่าเป็น “โจทย์ยาก” เพราะถูกขนาบข้างด้วยคลองหลักสองสายจนเหมือนถูกน้ำล้อม และมีชุมชนแออัดจำนวนมาก หากเราสามารถวางระบบให้คนในพื้นที่ที่ลำบากที่สุดตรงนี้รอดได้ พื้นที่อื่นๆ ก็จะสามารถนำบทเรียนเดียวกันนี้ไปปรับใช้ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

โดยแนวทางปฏิบัติการที่ตกผลึกร่วมกันบนเวทีถูกแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้

 

ระยะเร่งด่วน

  • สร้างระบบเตือนภัยชุมชน ใช้ “คนใน” เฝ้าระวังน้ำและสื่อสารกันโดยไม่จำเป็นต้องรอสัญญาณเตือนจากธง
  • หาที่อพยพของชุมชน ระบุจุดปลอดภัยในพื้นที่ เช่น มัสยิด หรือโรงเรียน พร้อมแผนเคลื่อนย้ายที่ชัดเจน
  • มีระบบจัดการขยะหลังน้ำลด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขอนามัย

 ระยะกลาง ยาว

  • มีศูนย์กลางจัดการและกระจายอำนาจทรัพยากร
  • มีฐานข้อมูลกลาง
  • จัดระบบทำแผนชุมชน มีกองทุน การฝึกอบรม และการวางแผนความมั่นคงทางอาหาร

อย่างไรก็ตาม ยศพล บุญสม ผู้ร่วมก่อตั้ง We Park ย้ำว่ายุทธศาสตร์เหล่านี้ต้องทำทุกระยะไปพร้อมกัน โดยต้องเริ่มจากการปรับความคิดใหม่ว่า  จากการแค่ตั้งรับภัยพิบัติ ไปสู่การออกแบบเมืองที่พร้อมเผชิญความท้าทายในอนาคต

โดยมองว่าวิกฤตครั้งนี้คือโอกาสทองในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ใหม่ ตั้งแต่การปรับผังเมือง โครงสร้างบ้าน การมีเส้นทางอพยพที่ปลอดภัย ระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะ จากที่ออกกำลังกาย ให้กลายเป็นพื้นที่รับน้ำและพื้นที่อพยพยามวิกฤต

อย่างไรก็ตามเนื่องจากแต่ละพื้นที่มีลักษณะทางกายภาพ (Setting) ที่ต่างกัน การกระจายความรู้ลงสู่หน่วยย่อยจึงสำคัญมากเพื่อให้การปรับปรุงเมืองทำได้รวดเร็วและตรงจุด

 

ยศพล บุญสม ผู้ร่วมก่อตั้ง We Park

 

นอกจากนี้ในมิติของการกู้ภัย  ไพโรจน์ ชัยจีระธิกุล ประธานมูลนิธิเส้นด้าย หาดใหญ่ เสนอประเด็นสำคัญที่ยังไม่เคยมีมาก่อน คือการผลักดันให้มี การตั้งกรมอาสาสมัครกู้ภัย เพื่อจัดทำระบบสวัสดิการ ประกันชีวิต และอุปกรณ์อย่างชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาคนหาดใหญ่นับ 6,000 ชีวิตรอดมาได้เพราะทีมงานที่สำคัญกลุ่มนี้ รัฐจึงควรดึง กู้ภัยเข้าสู่ศูนย์บัญชาการอย่างเป็นกิจลักษณะและให้ความคุ้มครองอย่างเป็นธรรม

 

ถ้าจะถอดบทเรียนใหม่ ต้องมาพร้อมโครงการและงบประมาณ

สุดท้ายนี้หากจะมีการถอดบทเรียนใหม่เกิดขึ้นอีกครั้ง ไพโรจน์ ย้ำว่า ความรู้และข้อเสนอที่ถูกกลั่นกรองมาเหล่านั้น จะต้องไม่จบลงแค่การพูดคุย แต่ต้องมาพร้อมกับงบประมาณและโครงการที่ชัดเจน เพื่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

การถอดบทเรียนต้องไม่ไร้ประโยชน์ และต้องไม่จบลงแค่การประชุม แต่ต้องมาพร้อมกับ โครงการและ งบประมาณกลางที่ชัดเจน โดยควรผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ของรัฐบาลใหม่ให้เร็วที่สุด เพื่อแปรเปลี่ยนความรู้ให้เป็นปฏิบัติการที่คุ้มครองชีวิตประชาชนได้จริง

ไพโรจน์ ชัยจีระธิกุล ประธานมูลนิธิเส้นด้าย หาดใหญ่

 

 

บทสรุปของเวทีครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การถอดบทเรียนครั้งใหม่ เพราะโจทย์และความต้องการของประชาชนนั้น คงเดิมมาตลอด หัวใจสำคัญในตอนนี้คือการ ตีเหล็กตอนร้อน” เพื่อเร่งรัดให้รัฐบาลนำความรู้ที่มีอยู่มากมายมายแปรเปลี่ยนเป็นแนวทางปฏิบัติ เพราะหากยังปล่อยให้ความรู้ถูกเก็บไว้บนหิ้ง และรอเพียงรัฐพิธีกรรมในการตั้งกรรมการชุดใหม่ไปเรื่อย ๆ บทเรียนปีนี้ก็จะเป็นเพียงแค่ความเจ็บปวดที่สูญเปล่าอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ภัยพิบัติ

ภัยพิบัติเป็นอีกปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ รัฐบาลส่วนกลางมีนโยบายเพิ่มขีดความสามารถชุมชนท้องถิ่นในการจัดการ และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยรัฐบาลจะสร้างการมีส่วนร่วมในการรับมือกับภัยธรรมชาติโดยเฉพาะการแก้ปัญหา PM 2.5 และการบริหารจัดการน้ำ  

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: