ในทางเศรษฐศาสตร์ การกระตุ้นเศรษฐกิจ (stimulus) มักจะหมายถึงรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้นโยบายการเงิน หรือ นโยบายการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ เช่น นโยบายการเงินที่มักจะคุ้นเคยกันดีคือการลดดอกเบี้ย ส่วนมาตรการทางการคลังมักจะเป็นการกระตุ้นด้วยมาตรการทางภาษี และการใช่้จ่ายภาครัฐผ่านโครงการขนาดใหญ่
เหตุผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็เนื่องมาจากการผลิตและการจ้างงานต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง หรือเรามักจะได้ยินบรรดากูรูทางเศรษฐศาสตร์ชอบพูดว่า “เศรษฐกิจไทยต่ำกว่าศักยภาพ” เพราะไม่มีการจับจ่ายใช้สอยหรือคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้การผลิตน้อยลงและอาจกระทบต่อการจ้างงาน รวมถึงรายได้ ดังนั้นมาตรการที่ออกมา รัฐบาลมักจะตั้งเป้าหมายกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว หรือ ที่นักการเมืองชอบพูดว่าจีดีพีจะโตเท่านั้นเท่านี้
สำหรับการกระตุ้นด้วยมาตรการทางการคลัง จะเป็นการเพิ่มอำนาจการจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐ เช่น การลดภาษี (ทั้งชั่วคราวและถาวร) รวมถึงการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ ซึ่งการอัดฉีดเม็ดเงินจากภาครัฐเข้าไปด้วยวิธีนี้ในทางทฤษฎีมักจะเชื่อกันว่าทำให้เศรษฐกิจขยายตัว อาจจะบางภาคเศรษฐกิจหรือทั้งระบบ จากอิทธิฤทธิของ “ตัวคูณ” เหมือนที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นด้วยการแจกเงินหมื่น แต่บังเอิญตัวคูณไม่ทำงาน ภาวะเศรษฐกิจก็เลย “แป๊ก”
หากย้อนไปดูข้อถกเถียงเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าประเทศไหน ๆ ก็มักจะมีการวิพากษ์วิจารณ์และการอธิบายหลายแง่มุม อย่างเช่นสมัยหนึ่ง ในช่วงที่ประเทศเศรษฐกิจตกต่ำ สถานะเครดิตย่ำแย่ สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยกู้ ทำให้ระบบเศรษฐกิจขาดสภาพคล่อง ธนาคารกลางอาจจะลดดอกเบี้ย แต่ในยุคที่เงินทองล้นโลก ปัญหาอาจไม่ใช่เรื่องการขาดแคลนสภาพคล่องหรือเงินในระบบ แต่เกิดจากปัญหา “ขาดเครดิต”
ปัญหา “ขาดเครดิต” อาจไม่เกี่ยวกับภาคธุรกิจกำลังจะเจ๊ง แต่อาจเกิดจากความไม่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศจะขยายตัวได้ ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะกระทบธุรกิจในประเทศ ทำให้สถาบันการเงินระมัดระวังปล่อยกู้ (เหมือนที่รัฐบาลเรียกร้องให้สถาบันการเงินปล่อยกู้) ธนาคารกลางอาจผ่อนเคลายความเข้มงวดปล่อยกู้ แต่ก็อาจเจอปัญหาเรื่องเถสียรภาพ เพราะไปผ่อนคลายความเข้มงวดการปล่อยกู้มากเกินไป ทำให้สถาบันการเงินเสี่ยงกับหนี้เสีย
อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นด้วยมาตรการทางการคลัง อาจทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของธนาคารกลางในการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และในทางกลับกัน หากเงินเฟ้อต่ำ ก็มีเสียงเรียกร้องให้ธนาคารกลางลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (เหมือนรัฐบาลบางประเทศตระโกนบอกแบงก์ชาติเป็นระยะ ๆ) แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาที่มาที่ไปของเงินเฟ้อด้วย เพราะดูเหมือนว่าวัฏจักรเงินเฟ้อมันดูแปลก ๆ ในช่วงหลัง กระตุ้นอย่างไรก็ไม่ส่งผลต่อเงินเฟ้อ
การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยอาจทำให้ภาคธุรกิจมีผลกำไรมากขึ้น และคาดหวังว่าจะเกิดการลงทุนมากขึ้นเป็นผลที่ตามมา อีกทั้งประชาชนที่เป็นหนี้ก็มีเงินเหลือมากขึ้น แต่สำหรับผู้ที่ต้องพึ่งพารายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากก็จะมีรายได้ลดลง ซึ่งก็เป็นการกระตุ้นให้คนจ่ายเงินทางหนึ่งด้วย เพราะไม่มีแรงจูงใจต้องฝากเงิน ซึ่งตามหลักการก็ควรจะเป็นเช่นนั้น
ส่วนมาตรการทางการคลัง หรือ มาตรการกึ่งการคลัง (ที่รัฐบาลอัดฉีดเงินโดยตรง) มีความเสี่ยงหลายประการ และมีความเสี่ยงจะเข้าข่ายประชานิยมแบบหลับหูหลับตา เพื่อให้ได้คะแนนเสียง หรือ เกิดการคอร์รัปชั่นในโครงการ ดังนั้นเมื่อมาตรการลดแลกแจกแถม ก็มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และเรียกร้องให้รัฐบาลกระตุ้นด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ มากกว่าจะใช้เงินแจก
ดังนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจก็มีแนวคิดประมาณนี้ และไม่มีคำตอบสำเร็จรูปที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว บางมาตรการที่ออกมาตั้งเป้าหมายสวยหรู แต่ปฏิบัติจริงก็ไม่เป็นตามเป้าหมาย ซึ่งในทางทฤษฎีก็มักจะเปิดทางให้มี “เหตุผล” ในการอธิบายเสมอ แต่เราจะตัดสินอย่างไรว่าอะไรเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ “สมเหตุสมผล” และจะพิจารณาจากอะไรว่าเป็นมาตรการที่ดี
การติดตามว่านโยบาย หรือ มาตรการอะไรมีความสมเหตุสมผลที่ง่ายที่สุด คือ เป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อคนหมู่มาก “ชัดเจนหรือไม่” และมีความสมเหตุสมผลในการคาดการณ์หรือไม่ ซึ่งไม่ใช่แค่การกล่าวอ้างผลที่ได้อย่างเลื่อนลอย เพราะที่ผ่านมาในอดีต โครงการที่ฟังแล้ว “ไม่สมเหตุสมผล” มักจะเอื้อประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่ม และเป็นไปเพื่อหวังผลทางการเมือง ไม่ใช่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แท้จริง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
แจกเงินหมื่นไม่คุ้มค่า แรงกระตุ้นเศรษฐกิจแผ่ว
เผยดัชนีความจนหลายมิติ(MPI) คนไทย”จน-เสี่ยงจน”เกือบครึ่งประเทศ
มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ กดหนี้เสียลดรอบ 1 ปี