ในยุคที่ “พลังงานสะอาด” กลายเป็นเป้าหมายของโลก ทรัพยากรที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงวัตถุดิบอุตสาหกรรม กลับกลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ใหม่ของมหาอำนาจ โดยเฉพาะ “แร่สำคัญ” หรือ Critical Minerals ที่เป็นหัวใจของเทคโนโลยีสีเขียว ตั้งแต่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ ไปจนถึงระบบป้องกันประเทศ
ทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ต่างเร่งขยายอิทธิพลผ่านเครือข่ายความร่วมมือด้านแร่ เพื่อยึดกุมห่วงโซ่อุปทานระดับโลกให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางภูมิรัฐศาสตร์ของตนเอง การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่ยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ กับไทย มาเลเซีย และญี่ปุ่น ในช่วงปลายปี 2568 จึงไม่ใช่เพียง “ข้อตกลงทางเศรษฐกิจ” แต่สะท้อนถึงการขยับหมากในเกมจัดระเบียบโลกยุคใหม่ ที่อาเซียนกำลังถูกดึงเข้าสู่สมรภูมิทรัพยากรแห่งศตวรรษที่ 21
Thai PBS Policy Watch ติดตามวงเสวนาวิชาการหัวข้อ “แร่ยุทธศาสตร์กับเกมภูมิรัฐศาสตร์ใหม่: MOU แรร์เอิร์ธ สหรัฐฯ-ไทย-มาเลเซีย-ญี่ปุ่น กับผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสิทธิชุมชนลุ่มน้ำ” เมื่อ 5 พ.ย. 68 ที่ผ่านมาโดยมีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ ร่วมแสดงความเห็นเกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่สำคัญที่ไทยเพิ่งลงนามกับสหรัฐอเมริกา พร้อมชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในหลายมิติ
ทุนนิยมสีเขียวกับการจัดระเบียบโลกใหม่
สืบสกุล กิจนุกร จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดประเด็นด้วยการชี้ให้เห็นว่า ข้อตกลงความร่วมมือด้านแร่สำคัญระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่เพิ่งลงนามนั้น ไม่เพียงเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือพลังงานเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงโครงสร้างใหม่ของทุนโลกที่กำลังปรับตัวเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า “ทุนนิยมสีเขียว” (Green Capitalism)
ระบบทุนนิยมสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนาน ตอนนี้จึงกำลังพยายามปรับตัวให้ยังทำกำไรได้ ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่านี่คือหัวใจของทุนสีเขียว คือการแก้ปัญหาของทุนด้วยกลไกของทุนเอง
สืบสกุล อธิบายว่า แนวคิด Green Transition หรือการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ถูกผลักดันผ่านกลไกตลาดเพื่อรักษาการเติบโตของระบบเศรษฐกิจโลก และหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการนี้คือแร่สำคัญ ซึ่งจำเป็นต่อเทคโนโลยีใหม่ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์
ไทยในบทบาทฐานแปรรูปหรือทางผ่าน
สืบสกุล ตั้งข้อสังเกตต่อ MOU ล่าสุดที่สหรัฐฯ ลงนามกับไทย โดยยกข้อมูลจากเพจของกงสุลใหญ่สหรัฐฯ ประจำเชียงใหม่ ซึ่งระบุชัดว่าเป็นความร่วมมือด้านแร่สำคัญ (Critical Minerals) เพื่อส่งเสริมการลงทุนและสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรม
สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเป็นฐานแปรรูปแร่สำคัญหรือไม่ เพราะในเอกสารมีการพูดถึงครบทั้งกระบวนการ ตั้งแต่สำรวจ ประเมินศักยภาพ การแปรรูป ไปจนถึงการรีไซเคิล ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ มองภาพรวมของห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ไม่ใช่เพียงการซื้อขายวัตถุดิบ
สหรัฐฯ กำหนดคำว่าแร่สำคัญในความหมายกว้างกว่าที่สังคมไทยเข้าใจ มิได้หมายถึงเฉพาะแร่หายาก (Rare Earth) เท่านั้น แต่รวมถึงแร่อุตสาหกรรมกว่า 50 ชนิดที่จำเป็นต่อเทคโนโลยีขั้นสูงและการป้องกันประเทศ เช่น ดีบุก สังกะสี ตะกั่ว ทังสเตน แมงกานีส หรือทองแดง ซึ่งหลายชนิดมีอยู่ในประเทศไทย
สืบสกุล กล่าวว่า ผู้คนมักพูดถึง Rare Earth ว่าเป็นของหายาก แต่ในมุมมองของสหรัฐฯ คำสำคัญจริงคือแร่สำคัญที่ระบบเทคโนโลยีของเขาต้องพึ่งพา

เครือข่ายแร่จากเมียนมาและบทบาทของไทย
สืบสกุล ชี้ให้เห็นบทบาทของไทยในฐานะทางผ่านสำคัญของแร่จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา ซึ่งมีทรัพยากรแร่มหาศาล และหลายพื้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ ข้อมูลจากกรมศุลกากรระบุว่า ในปี 2568 ไทยนำเข้าแร่จากเมียนมาอย่างถูกกฎหมายผ่านด่านชายแดน 8 แห่ง ตั้งแต่ เชียงแสน แม่สาย แม่สอด สังขละบุรี ไปจนถึงระนองและแหลมฉบัง มีมูลค่าสูงกว่า 100,000 ล้านบาท เฉพาะแร่พลวง แมงกานีส ตะกั่ว และทองแดงรวมกัน

สืบสกุล อธิบายว่า ไทยนำเข้าแร่จำนวนมากจากเมียนมา แล้วส่งต่อไปยังประเทศที่สาม เช่น จีน เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา โดยปีนี้ไทยส่งออกแร่พลวงเพียงชนิดเดียวกว่า 40,000 ล้านบาท นั่นแปลว่าไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภค แต่เป็นจุดเชื่อมในห่วงโซ่การส่งออก
สืบสกุล ตั้งคำถามว่า MOU ที่เพิ่งลงนามจะเปลี่ยนบทบาทของไทยจากทางผ่านไปสู่ฐานแปรรูปแร่เหล่านี้หรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนชายแดน

ภูมิรัฐศาสตร์ของชายแดนและทุนข้ามชาติ
สืบสกุล ชี้ให้เห็นมิติที่ลึกกว่าทางเศรษฐกิจ คือภูมิรัฐศาสตร์ของชายแดนซึ่งเกี่ยวข้องกับกองกำลังชาติพันธุ์และทุนข้ามชาติ เขากล่าวว่า ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาไม่ได้เป็นเพียงสงครามภายใน แต่คือการจัดระเบียบชายแดนใหม่ให้สอดรับกับทุนโลกและอุตสาหกรรมแร่ยุทธศาสตร์
พื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะรัฐฉานตอนเหนือและตอนใต้ เป็นแหล่งแร่สำคัญจำนวนมาก รวมทั้งแร่หายาก ซึ่งหลายพื้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังชาติพันธุ์ท้องถิ่นต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ทั้งในเชิงการค้าและการเมืองกับเครือข่ายทุนจากต่างประเทศ การที่ไทยตั้งอยู่ในแนวพรมแดนที่เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรเหล่านี้ ทำให้ไทยกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ในห่วงโซ่แร่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อมต่อโดยตรงกับนโยบายความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศมหาอำนาจ
กับดักอาณานิคมการพัฒนาในรูปแบบใหม่
สืบสกุล เห็นโครงสร้างความสัมพันธ์ในซีรีส์ MOU ของสหรัฐฯ ว่ามีลักษณะเป็นห่วงโซ่เดียวกันในระดับภูมิภาค โดยระบุว่า ภาพจะชัดเจนว่า ออสเตรเลียส่งแร่ให้มาเลเซีย มาเลเซียส่งต่อให้ไทย แล้วไทยส่งให้ญี่ปุ่น นี่คือห่วงโซ่การผลิตที่เชื่อมต่อกันทั้งหมด
สืบสกุล มองว่า MOU ของสหรัฐฯ กับไทย มาเลเซีย และญี่ปุ่น เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เดียวกัน ไม่ใช่เพียงข้อตกลงรายประเทศ แต่เป็นเครือข่ายเชิงระบบเพื่อสร้างเส้นทางทรัพยากรที่หลีกเลี่ยงการพึ่งพาจีน และทำให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นฐานการผลิตในห่วงโซ่แร่ยุทธศาสตร์ระดับโลก ดร.สืบสกุลกล่าวว่า แม้จะบอกว่าเป็นความร่วมมือทางเทคนิค แต่จริงแล้ว มันคือการจัดวางห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่ทำให้ไทยอยู่ในบทบาทผู้รับจ้างผลิต ไม่ใช่เจ้าของเทคโนโลยี
สืบสกุล สะท้อนว่า สังคมไทยยังคงติดอยู่ในกรอบคิดแบบอาณานิคมการพัฒนามายาวนาน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ไทยเปิดให้ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานการผลิตรถยนต์ โดยหวังจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี
สืบสกุล กล่าวว่า เราบอกตัวเองซ้ำว่าจะได้ความรู้และเทคโนโลยีจากต่างชาติ แต่หลายสิบปีผ่านไป เราก็ยังไม่มีรถยนต์ยี่ห้อไทยเป็นของตัวเอง
สืบสกุล กล่าวว่าแนวคิดถ่ายทอดเทคโนโลยีกลายเป็นมายาคติของการพัฒนาแบบพึ่งพา ซึ่งเสี่ยงจะเกิดซ้ำอีกครั้งภายใต้ชื่อใหม่ของโลกยุคพลังงานสะอาด
“เราอาจไม่ได้เป็นอาณานิคมเชิงอุตสาหกรรมแบบเดิม แต่กำลังกลายเป็นอาณานิคมสีเขียว คือประเทศที่ผลิตเพื่อโลกสะอาด แต่ตัวเองต้องรับความเสี่ยงและมลพิษ เขาเตือนว่า หากไทยไม่เปลี่ยนแนวคิดการพัฒนาเสียใหม่ การเข้าสู่ห่วงโซ่แร่ยุทธศาสตร์ก็จะซ้ำรอยเดิม คือเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตเหมือนยุคอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ผ่านมา”
มลพิษข้ามพรมแดนกระทบสุขภาพและความมั่นคงอาหาร
สืบสกุล อธิบายต่อว่า ปัญหาการทำเหมืองในเมียนมาได้ส่งผลให้เกิดมลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ซึ่งปัจจุบันพบการปนเปื้อนของโลหะหนักในน้ำ ดิน และผลผลิตทางเกษตรในจังหวัดเชียงราย เขาอ้างข้อมูลจากกระทรวงเกษตรว่า มีเกษตรกรกว่า 14,000 ครอบครัว ปลูกข้าวกว่า 130,000 ไร่ ด้วยน้ำที่ปนเปื้อนโลหะหนัก โดยข้าวเหล่านี้ออกสู่ตลาดโดยไม่มีการตรวจสารปนเปื้อนก่อนเก็บเกี่ยว

ปัญหานี้ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ชายแดน แต่ส่งผลต่อประชาชนทั่วประเทศ เพราะข้าวและพืชผักจากเชียงรายถูกกระจายไปทั่วประเทศ การตรวจสอบตัวอย่างพืชผัก 66 ตัวอย่างพบสารหนู แคดเมียม และตะกั่วจำนวนมาก แต่หน่วยงานรัฐกลับระบุว่าไม่เกินค่ามาตรฐาน เขากล่าวว่า ผลที่ตามมาคือ เรากำลังบริโภคพืชผักและปลาที่มีโลหะหนักสะสมทุกวัน ในขณะที่รัฐบอกว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย

การตรวจสอบน้ำประปาในเชียงรายพบสารหนูและแบเรียมในทุกเดือน โดยเฉพาะในพื้นที่แม่สาย ซึ่งใช้น้ำจากแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก มีผู้ใช้น้ำกว่า 40,000 ครัวเรือน หรือราว 120,000 คน ที่บริโภคน้ำประปาที่มีโลหะหนักปนเปื้อน
แม้ผลตรวจจะชี้ว่าค่าที่พบไม่เกินมาตรฐาน แต่เขาตั้งคำถามว่า การบริโภคสะสมในระยะยาวไม่อาจถือว่าปลอดภัยได้ พร้อมเรียกร้องให้การประปาส่วนภูมิภาคเร่งหาน้ำดิบแหล่งใหม่มาทดแทน เพราะพื้นที่ต้นน้ำในฝั่งเมียนมามีการทำเหมืองต่อเนื่อง
สืบสกุล ยังระบุว่า ชาวประมงในพื้นที่กว่า 60 ชุมชนที่เคยหยุดจับปลาไปช่วงหนึ่งเพราะกังวลต่อสารปนเปื้อน ก็กลับมาจับปลาตามปกติหลังภาครัฐประกาศว่าปลายังปลอดภัย ซึ่งรัฐไทยทำให้การบริโภคสารโลหะหนักกลายเป็นเรื่องปกติ
โครงสร้างการพัฒนาและผู้กระทำการที่ไม่ใช่รัฐ
การแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนไม่สามารถทำได้ด้วยความร่วมมือแบบทวิภาคี (ไทย-เมียนมา) อีกต่อไป เพราะมีผู้กระทำการที่ไม่ใช่รัฐ (Non-State Actors) เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ หรือทุนข้ามชาติ เข้ามาเกี่ยวข้อง เขากล่าวว่า กลุ่มเหล่านี้บางส่วนทำเหมืองเพื่อหารายได้ซื้ออาวุธ ขณะที่จีนก็ใช้โอกาสนี้เข้าไปลงทุนและเข้าถึงทรัพยากรในพื้นที่ความขัดแย้ง
สืบสกุล ชี้ว่า ปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่ปัญหาสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของการพัฒนา ซึ่งเกี่ยวพันกับอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก เขากล่าวว่า เราพูดว่าไม่อยากแทรกแซงกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน แต่การไม่พูดเรื่องนี้ ก็คือการปล่อยให้โครงสร้างอาณานิคมการพัฒนาเดินหน้าต่อไป
เรียกร้องให้เป็นวาระนโยบายระดับชาติ
ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา ปัญหามลพิษในลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำลวก แม่น้ำ โขง แทบไม่มีความคืบหน้า แม้รองนายกรัฐมนตรีสองท่านจะลงพื้นที่รับฟังประชาชน แต่การแก้ไขยังจำกัดอยู่ในระดับเฉพาะหน้า
เขากล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงกระทรวงเกษตรฯ ยังไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบได้ ข้าวที่ปลูกในพื้นที่ปนเปื้อนก็ยังไม่ถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง ส่วนการเจรจากับเมียนมาก็ยังไม่มีผู้นำทางการเมืองเข้ามารับผิดชอบโดยตรง
ดร.สืบสกุลจึงเสนอให้ทั้งปัญหามลพิษข้ามพรมแดนและ MOU แร่หายาก กลายเป็นวาระระดับชาติและข้อเสนอของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า
เขากล่าวว่า ถ้าพรรคการเมืองไม่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นพันธสัญญาเชิงนโยบาย ปัญหานี้ก็จะถูกปล่อยให้วนซ้ำ ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และอธิปไตยทางทรัพยากรของประเทศ
มุมมองจากภาคประชาสังคม แร่ยุทธศาสตร์ที่แลกมาด้วยแม่น้ำและชีวิต
เพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights) นำเสนอมุมมองจากการทำงานภาคสนามว่า ตลอดเวลาที่ทำงานเพื่อปกป้องแม่น้ำ เธอเห็นภาพซ้ำของความสูญเสียที่มองไม่เห็น
เมื่อแม่น้ำปนเปื้อนแต่ไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง ทั้งที่ต้นทางของปัญหาเริ่มจากประชาชนในพื้นที่ที่สังเกตเห็นความผิดปกติ และรวมตัวกันเรียกร้องผ่านเครือข่ายชุมชน เช่น เครือข่ายสิทธิมนุษยชนไทยใหญ่และภาคประชาชนในจังหวัดเชียงราย
“ต้องยอมรับว่ากรมควบคุมมลพิษ โดยเฉพาะสำนักงานที่เชียงใหม่ ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องถึง 12 ครั้ง ซึ่งถือว่ามีความพยายามเชิงรุกที่น่าชื่นชม แต่สิ่งที่ยังน่ากังวลคือ ค่าการปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักแม้ลดลงในบางช่วง แต่ก็ยังพบเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง”
เพียรพร ชี้ให้เห็นว่า ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดชี้ให้เห็นการขยายตัวของเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำอย่างต่อเนื่อง ขยายตัวแบบไม่หยุดจนยากจะควบคุม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เครือข่ายภาคประชาชน รวมถึงนักวิชาการอย่างอาจารย์สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เรียกร้องให้ปิดเหมืองและฟื้นฟูทันที
เพียรพร เปรียบเทียบว่า แม้แต่เหมืองที่อยู่ภายใต้กฎหมายของไทย เช่น เหมืองทองคำที่เลยหรือพิจิตร ซึ่งถือว่าเป็นระบบกำกับดูแลที่ดีที่สุดในภูมิภาค ก็ยังทิ้งร่องรอยของการปนเปื้อนและความเจ็บป่วยไว้กับชุมชน
สารพิษเหล่านี้ไม่ได้ฆ่าคนทันที แต่ค่อยๆ สะสมในร่างกาย เป็นพิษเงียบ (Bioaccumulation) ที่เราเห็นผลชัดแล้วจากหลายพื้นที่ ทั้งความเสื่อมโทรมของสุขภาพ ความพิการ และการสูญเสียผลผลิตทางเกษตร
เพียรพรกล่าวว่า ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา แม้จะมีการตรวจสอบและเสียงเรียกร้องมากมาย แต่ยังไม่เห็นความกระตือรือร้นของรัฐบาลในการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งรัฐบาลชุดก่อนและชุดปัจจุบัน แม้รองนายกรัฐมนตรีสองท่านจะลงพื้นที่เชียงรายเพื่อรับฟังปัญหา แต่ยังไม่มีแนวทางเชิงรุกที่เป็นรูปธรรม
เพียรพร สะท้อนว่า บางคนพูดว่าทำไมไม่จัดการให้จบๆ ไป เพื่อปกป้องประชาชนของตัวเอง ซึ่งสะท้อนความสิ้นหวังของผู้คนที่อยู่กับปัญหามลพิษมานานโดยไม่เห็นทางออก
ความเชื่อมโยงระหว่าง MOU และมลพิษที่เพิ่มขึ้น
ความน่าตกใจว่า หลังจากไทยลงนามใน MOU ความร่วมมือด้านแร่กับสหรัฐฯ พบว่าพื้นที่ลุ่มน้ำสาละวิน ซึ่งอยู่ติดชายแดนพม่า เริ่มพบการปนเปื้อนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า สูงกว่าค่ามาตรฐานถึง 5 เท่า ข้อมูลดาวเทียมและรายงานจากภาคประชาชนชี้ว่า เหมืองใหม่ๆ เกิดขึ้นหนาแน่นในฝั่งพม่า ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับเกมภูมิรัฐศาสตร์ของแร่
ดังนั้นจะพูดว่าเรื่องแร่ไม่เกี่ยวกับเราคงไม่ได้อีกต่อไป เพราะตอนนี้มันกระทบกับน้ำที่เราดื่ม ปลาในแม่น้ำที่เป็นอาหาร และรายได้ของชุมชนโดยตรง
เครือข่ายทุนและช่องว่างของกฎหมาย
สิ่งที่เราพบจากการสืบค้นคือ การลงทุนในเหมืองจำนวนมาก มีความเชื่อมโยงกับจีน แม้บางครั้งจะไม่ได้ขุดโดยตรง แต่ผ่านบริษัทตัวแทนหรือการร่วมลงทุนกับกองกำลังชาติพันธุ์ในพม่า รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติระบุชัดว่า มีนักธุรกิจจีนอยู่เบื้องหลังโครงข่ายการค้าแร่จำนวนหนึ่ง แม้รัฐบาลจีนจะยืนยันว่าไม่มีพลเมืองจีนเข้ามาลงทุนโดยตรงก็ตาม
เพียรพร ตั้งคำถามว่า แล้วแร่เหล่านี้ไหลเข้าประเทศไทยอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีการนำเข้าผ่านช่องทางธรรมชาติหรือด่านชายแดนที่ไม่ได้อยู่ในระบบ และถ้าใช่ ใครกำกับดูแล ใครรับผิดชอบ
สิ่งเหล่านี้สะท้อนช่องว่างของกฎหมายที่เกิดขึ้นในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในระบอบกึ่งเผด็จการ (Authoritarian States) ทำให้การตรวจสอบและความโปร่งใสของภาครัฐทำได้ยาก ช่องว่างนี้เองที่เปิดทางให้ทุนต่างชาติเข้ามาขุดแร่โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ จีน หรือญี่ปุ่น ต่างรู้ดีว่าการทำเหมืองแร่ให้สะอาดและปลอดภัยนั้น มีต้นทุนสูงมาก จึงไม่ทำในประเทศของตนเอง แต่เลือกมาทำในประเทศกำลังพัฒนาที่มีกฎหมายหลวมกว่า และบังเอิญเป็นพื้นที่ต้นน้ำของเรา
ความรับผิดชอบร่วมในห่วงโซ่อุปทาน
เพียรพรเชื่อว่า ภาระนี้ไม่ควรตกอยู่กับประชาชนในเชียงราย หรือมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง หรือชุมชนริมสาละวินเพียงลำพัง เพราะนี่ไม่ใช่แค่ปัญหาท้องถิ่น แต่เป็นปัญหาระดับโลก (Global Issue) ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานของทั้งโลก
เพียรพร กล่าวว่า เราต้องทำให้ทุกฝ่ายใน Supply Chain ของแร่สำคัญ (Critical Minerals) มีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ต้องแน่ใจว่าแร่ที่ได้มาเกิดจากกระบวนการที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
“การอ้างราคาถูกไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อปล่อยให้คนงานในเหมืองต้องใส่รองเท้าแตะลงไปกวนสารเคมีด้วยมือเปล่า ทั้งที่ในประเทศพัฒนาแล้ว กระบวนการเช่นนี้ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและมาตรการความปลอดภัยเข้มงวด”
ความยุติธรรมในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
หากเราจะพูดถึงการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด (Energy Transition) ที่ต้องใช้แร่ยุทธศาสตร์เหล่านี้เป็นวัตถุดิบ เราต้องพูดถึงความยุติธรรมในห่วงโซ่ด้วย เพราะการผลิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Mineral Sourcing) ต้องไม่แลกมาด้วยชีวิตของผู้คนและแม่น้ำ
เพียรพร อ้างถึงเอกสารของสหประชาชาติ เช่น UN Guiding Principles on Business and Human Rights และแนวทาง Transition Minerals ที่ระบุชัดว่า ลำดับแรกของการลงทุนด้านแร่คือ Human Rights Due Diligence และอันดับต่อมาคือ Biodiversity and Nature Safeguarding
เพียรพร อธิบายว่า นั่นหมายถึง ก่อนจะขุดแร่ใดๆ ต้องแน่ใจว่า สิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมได้รับการคุ้มครองก่อนเสมอ ไม่ใช่ปล่อยให้แม่น้ำและชุมชนของเรากลายเป็นต้นทุนของความมั่งคั่งโลก
มุมมองทางกฎหมายระหว่างประเทศ
จารุประภา รักพงษ์สาขา จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ MOU จากมุมมองทางกฎหมายระหว่างประเทศว่า แม้บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) จะไม่ใช่ข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศโดยตรง แต่เอกสารลักษณะนี้ถือเป็น Soft Law หรือกฎหมายที่มีผลผูกพันอย่างอ่อน ซึ่งมักเป็นก้าวแรกของการลงนามความตกลงที่เข้มข้นกว่านี้ในอนาคต
จารุประภากล่าวว่า แม้จะไม่ใช่สนธิสัญญา แต่ก็ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะมันสะท้อนทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์
ห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงทั้งภูมิภาค
จารุประภา อธิบายว่า เมื่อเปรียบเทียบ MOU ของสหรัฐฯ ที่ลงนามกับไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย จะพบว่า ทั้งหมดอยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน (Same Supply Chain) สหรัฐฯ แม้จะแยกลงนามรายประเทศ แต่เนื้อหามีลักษณะเชื่อมโยงกันหมด ตั้งแต่ขั้นตอนการสำรวจ การขุด การแปรรูป (Processing) ไปจนถึงการใช้ประโยชน์เชิงอุตสาหกรรม ซึ่งสะท้อนยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางทรัพยากร เพื่อลดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่แร่หายาก
“นี่ไม่ใช่ข้อตกลงแร่รายประเทศ แต่คือการจัดวาง Supply Chain ใหม่ทั้งระบบ ไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ถูกเชื่อมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายยุทธศาสตร์เดียวกัน”
ผลผูกพันทางการเมืองและเศรษฐกิจ
จารุประภา อธิบายว่า เอกสาร MOU ลักษณะนี้มักใช้เพื่อสร้างความยืดหยุ่นทางการทูต เพราะถ้าเป็นสนธิสัญญา จะต้องผ่านการรับรองจากสภา เช่น สภาคองเกรสของสหรัฐฯ หรือรัฐสภาไทย แต่ MOU สามารถลงนามได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการนั้น อย่างไรก็ดี แม้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรง แต่ก็มีผลผูกพันทางการเมืองและเศรษฐกิจในระยะต่อมา
แม้จะเขียนชัดเจนว่าไม่เป็นข้อตกลงตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ มันสร้างความคาดหวังระหว่างรัฐ และอาจกลายเป็นกรอบอ้างอิงในความร่วมมือหรือการเจรจาครั้งต่อไป
จารุประภา ยังกล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ไทยที่แทรกถ้อยคำ not legally binding ลงในเอกสารได้ เพราะเป็นการลดแรงกดดันทางกฎหมายระดับหนึ่ง แต่เตือนว่า นัยยะทางการเมืองยังคงอยู่ และหากในอนาคตมีข้อเรียกร้องจากคู่ภาคี รัฐบาลไทยจะต้องพิสูจน์เหตุผลหากปฏิเสธไม่ดำเนินการตาม MOU นั้น
MOU ช่องผูกพันแฝงที่ต้องระวัง
จารุประภา ชี้ว่า หนึ่งในข้อที่อาจส่งผลต่ออธิปไตยของไทย คือ ข้อกำหนดให้ผู้เข้าร่วม (participants) ทั้งสองฝ่าย ต้องแบ่งปันข้อมูล (share information) และความเชี่ยวชาญทางเทคนิค (technical expertise) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งหมายความว่า ไทยอาจต้องเปิดเผยข้อมูลสำรวจ ศักยภาพทรัพยากร หรือเทคโนโลยีบางอย่างให้แก่สหรัฐฯ ด้วย
คำว่า information ในเอกสารกว้างมาก หากตีความรวมถึงข้อมูลทรัพยากรในประเทศ หรือข้อมูลที่หน่วยงานรัฐถืออยู่ ก็อาจกระทบต่อความมั่นคงได้
อีกข้อหนึ่งที่เธอเห็นว่าน่ากังวล คือ ข้อที่ระบุว่าผู้เข้าร่วมจะได้รับโอกาสแรกในการลงทุน (first opportunity to invest) ในโครงการแร่หรือทรัพย์สินที่อยู่ในไทย ซึ่งเธอชี้ว่าคำว่า first opportunity มีน้ำหนักมากกว่า prioritize ที่ใช้ในเอกสารของมาเลเซีย เพราะหมายถึงสิทธิ์ลำดับแรกเพียงหนึ่งเดียว ไม่ใช่แค่ให้ความสำคัญก่อน
จารุประภา กล่าวว่า ถ้ามีโครงการลงทุนเกิดขึ้น ไทยอาจต้องเสนอสิทธิ์ให้อเมริกาพิจารณาก่อนประเทศอื่น และถ้าไม่ให้ ก็ต้องมีเหตุผลชัดเจนในการปฏิเสธ ซึ่งนี่คือแรงกดดันเชิงโครงสร้างในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
ข้อกำหนดเรื่อง investment project ครอบคลุมตั้งแต่การถ่ายทอดเทคโนโลยี (technology transfer), การสร้างศักยภาพบุคลากร (capacity building), ไปจนถึงการฝึกอบรมและการลงทุนโดยตรง ซึ่งเปิดช่องให้ตีความได้กว้างมาก
ถ้าไม่พร้อม :ใช้ข้อยกเว้นความมั่นคงแห่งชาติ
จารุประภา เสนอว่า หากรัฐบาลไทยยังไม่พร้อมดำเนินการในบางข้อ ควรใช้ข้อยกเว้นด้านความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Ground) เป็นเหตุผลในการชะลอหรือจำกัดการเปิดเผยข้อมูล เพราะเป็นข้อยกเว้นที่ได้รับการยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งในกรอบ WTO และข้อตกลงด้านการลงทุน
“นี่เป็นทางออกที่ชอบธรรมและใช้ได้จริง หากไม่พร้อม ก็ให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ เพราะทรัพยากรแร่คือฐานของอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ รศ.ดร.จารุประภากล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการหลังจากนี้ควรเป็นไปในลักษณะ damage control หรืออย่างน้อย management strategy เพื่อจัดการความคาดหวังของคู่ภาคีและสังคมโลก โดยไม่ทำลายความสัมพันธ์ทางการทูต”
MOU สัญญาณของการจัดระเบียบใหม่
จารุประภา เสนอแนวทางต่อรัฐบาลไทยสี่ประการ ประการแรก ต้องกำหนดกรอบข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้และไม่ได้ โดยยึดหลักความมั่นคงของชาติและสิทธิชุมชนในพื้นที่แหล่งแร่ ประการที่สอง ต้องประเมินผลกระทบด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพล่วงหน้า ก่อนการขยายการสำรวจหรือการแต่งแร่ ประการที่สาม ควรใช้เวที MOU เป็นช่องทางต่อรองเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการเพิ่มมูลค่าในประเทศ ไม่ใช่แค่เป็นฐานการแปรรูปเบื้องต้น และประการที่สี่ ต้องมีกรอบกำกับดูแลการลงทุนต่างชาติในทรัพยากรธรรมชาติอย่างรัดกุม เพื่อไม่ให้สิทธิ์ first opportunity กลายเป็นพันธะผูกพันถาวรในอนาคต
“เราควรมอง MOU นี้ไม่ใช่แค่เอกสารความร่วมมือ แต่คือสัญญาณของการจัดระเบียบใหม่ในห่วงโซ่อุปทานโลก ไทยต้องมีกลยุทธ์รับมือที่ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก”
ความท้าทายและทางเลือกของไทย
จากการเสวนาวิชาการครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นมิติที่หลากหลายของ MOU ด้านแร่สำคัญระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ตั้งแต่มิติทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไทยถูกวางตำแหน่งให้เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานทรัพยากรในภูมิภาค มิติทางกฎหมายที่แม้ MOU จะไม่ผูกพันทางกฎหมาย แต่มีผลผูกพันทางการเมืองและเศรษฐกิจ ไปจนถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ประชาชนในพื้นที่ชายแดนกำลังประสบอยู่
นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญทั้งสามท่านต่างชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการจัดการกับ MOU นี้ โดยไม่ให้ประเทศตกเป็นเพียงฐานการผลิตที่ต้องรับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ขณะที่มูลค่าและเทคโนโลยีหลักถูกถือครองโดยประเทศอื่น
ประเด็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในเมียนมาที่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำและชุมชนในเชียงราย ยังคงเป็นตัวอย่างเตือนใจที่ชัดเจนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากการขยายตัวของอุตสาหกรรมแร่ในภูมิภาคไม่ได้รับการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด และไม่มีกลไกความรับผิดชอบแม้แต่นิดเดียว
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง




