เมื่อ 10 ก.ย. 68 ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ประชุมวินิจฉัยประเด็นการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีมติโดยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 ให้รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชน ออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน
อ่านเพิ่มเติม: มติศาลธรรมนูญ
แต่รัฐสภาไม่สามารถให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เท่ากับว่าประชาชนไม่สามารถเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญได้
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 1 ให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง เพื่อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนี้
- ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
- ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า มีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญ
- ครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียง ประชามติว่า เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
อย่างไรก็ตามศาลรัฐธรรมนูญ ให้การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้
เท่ากับว่าการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเกือบทุกขั้นตอน หากแต่ สภาร่างรัฐธรรมนูญ มาจากการเลือกของสภาผู้แทนราษฎร
การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ สืบเนื่องจากประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นพิเศษ เมื่อ 17 ม.ค. 68 ที่มีมติให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาว่ามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหมหรือไม่
ก่อนหน้านี้ เมื่อ 11 มี.ค. 64 ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยแล้วว่าต้องมีประชามติเสียก่อนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ และเมื่อร่างเสร็จต้องทำประชามติอีกครั้ง นำไปสู่ข้อถกเถียงว่า ต้องทำประชามติกี่ครั้ง ระหว่าง 2 ครั้งกับ 3 ครั้ง คือ
- ประชามติ 2 ครั้ง 1) ประชามติหลังแก้รัฐธรรมนูญ และ 2) ประชามติหลังจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับแล้วเสร็จ ที่จะทำให้รัฐธรรมนูญใหม่เกิดได้อย่างรวดเร็ว
- ประชามติ 3 ครั้ง 1) ประชามติก่อนที่รัฐสภาพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ 2) หลังจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านการพิจารณาของรัฐสภา และ 3) หลังจากจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เรียบร้อยแล้ว
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: