ตามบันทึกข้อตกลงหรือ MOA ได้กำหนดเงื่อนไขให้รัฐบาลอนุทิน ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับแต่วันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ได้มีผู้ยื่นร้อง 2 คน ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า MOA ดังกล่าว เป็นทำการตกลงที่แบ่งปันอำนาจอธิปไตย บิดเบือนอำนาจบริหารที่ควรจะเป็นของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร ให้มาเป็นอำนาจแฝงของพรรคการเมืองฝ่ายค้านและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมือง ถือว่าเป็นการทำลายกลไกของระบอบประชาธิปไตย ทำให้การถ่วงดุลอำนาจในการปกครองประเทศไม่เข้มแข็ง ซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ
ใน คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตราม 49 (เรื่องพิจารณาที่ 29/2568) โดยมีคงเดชา ชัยรัตน์ เป็นผู้ร้อง ยื่นคำร้อง ให้ พรรคประชาชน เป็นผู้ถูกร้องที่ 1, ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายด้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ถูกร้องที่ 2 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน จำนวน 183 คนเป็นผู้ถูกร้องที่ 3
อย่างไรก็ตาม ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องยังอัยการสูงสุด ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดมีหนังสือแจ้งว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 ยังไม่เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 วรรคหนึ่ง
ดังนั้น จึงไม่มีเหตุที่อัยการสูงสุดจะพิจารณาดำเนินการ ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย จึงมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอและทางด้านศาลรัฐธรรมนูญเองก็ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา โดยอภิปรายว่า เนื่องจากบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่า เป็นกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เช่นเดียวกับอีกคำร้อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตราม 49 (เรื่องพิจารณาที่ 30/2568) ที่ อัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล เป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องเดียวกันว่า การจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (ผู้ถูกร้องที่ 1)ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน (ผู้ถูกร้องที่ 2) กับอนุทิน ชาญวีรกูล (ผู้ถูกร้องที่3) ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ผู้ถูกร้องที่ 4) โดยตกลงนั้น เป็นการได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายบริหารที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมบูญ โดยอาศัยมติพรรคการเมืองยินยอมให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตกอยู่ภายใต้ข้อผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำ
ด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันไว้ล่วงหน้า อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแชงเพื่อประโยชน์ของตนเองของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 4 นั้น เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อลัมล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัย
จากผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ คล้ายคลึงกับกรณีแรกว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 4 เป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน ไม่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่า เป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครอง ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
ที่มา: ศาลรัฐธรรมนูญ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




