กรณีตัวอย่างที่สังคมกล่าวถึงกันมากในกรณีเมื่อไม่นานมานี้ มาจากเวทีวิชาการสาธารณะ“หายนะสิ่งแวดล้อม กรณีปลาหมอคางดำ” เมื่อ 26 ก.ค. 67 วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อม และเลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) ได้เปิดเผยข้อมูลการระบาดของปลาหมอคางดำ ที่เชื่อมโยงกับฟาร์มยี่สาร จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นฟาร์มวิจัยและพัฒนาของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ที่ได้สร้างความเสียหายต่อชีวิตของชาวบ้าน ระบบนิเวศ และความมั่นคงด้านอาหาร
ต่อมา CPF ฟ้อง วิฑูรย์และมูลนิธิ BIOTHAI ในคดีหมิ่นประมาท ฐานเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จทำให้บริษัทเสียหาย และเรียกค่าเสียหายร่วมรับผิดชอบคดีละ 100 ล้านบาท รวมเป็น 200 ล้านบาท
องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงองค์การสหประชาชาติ จับตาคดี“ปลาหมอคางดำ” ที่ระบุว่าคดีนี้เป็นคดีฟ้องปิดปาก (SLAPP) หรือการใช้กฎหมายแพ่งเพื่อกลั่นแกล้ง ข่มขู่และปิดปากนักปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน

ลักษณะของ SLAPP คือโจทก์ผู้ฟ้องมักมีอำนาจและทรัพยากรมากกว่าจำเลยอย่างชัดเจน เช่น บริษัท ทุนใหญ่หรือนักธุรกิจ ฟ้องชาวบ้าน นักวิชาการ ประชาชน สื่อมวลชน นักเคลื่อนไหวปกป้องชุมชน ผู้ใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก หรือตั้งคำถามต่อความไม่ชอบมาพากลของทุนใหญ่หรือตรวจสอบการใช้อำนาจขององค์กรของรัฐ ซึ่งมักถูกดำเนินคดีหมิ่นประมาททางอาญาและแพ่ง การละเมิดแพ่ง ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงการชุมนุมยุยงปลุกปั่น
จุดประสงค์หลักของการฟ้องคดีไม่ใช่ผลแพ้ชนะคดีในศาล แต่เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดบรรยากาศความหวาดกลัว ทำให้ผู้ถูกฟ้องต้องเสียค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย เสียค่าใช้จ่ายแฝงจากการถูกดำเนินคดี เสียเวลา เสียสุขภาพจิต ทำให้คนธรรมดาล้มเลิกการใช้สิทธิ์ และบั่นทอนแรงจูงใจที่จะรักษาสิทธิ์เพื่อรักษาประโยชน์สาธารณะ
การฟ้องปิดปากจึงเป็นอีกการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพในการแสดงออก แทนที่จะแสวงหาความยุติธรรมจริง ๆ และให้ภาคธุรกิจ ภาครัฐร่วมกันหาความจริงและแก้ปัญหาจากต้นเหตุ
การฟ้องปิดปากนักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม
การฟ้องปิดปากหรือ SLAPP มักเกิดขึ้นเสมอในหลายกรณี เช่น
- ปี 2559 บริษัท ธรรมเกษตร จ.พะเยา ฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญากับแรงงานชาวเมียนมา นักสิทธิมนุษยชน นักข่าว รวมทั้งหมด 22 คน 38 คดี ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท เนื่องจากแรงงานเคลื่อนไหวประเด็นการละเมิดสิทธิแรงงาน เช่น การทำงานหนักเกินไป และค่าจ้างต่ำกว่ากฎหมายกำหนด ซึ่งศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตในการตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์เพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่บริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ และคดีบางส่วนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
- ปี 2566 อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถูกสั่งย้ายหลังเข้าตรวจค้น บริษัท สยามแมคโคร จำกัด ซึ่งปัจจุบันคือ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า ในเครือเจริญโภคภัณฑ์เพราะมีข้อมูลจากการสืบสวนพบว่ามีการรับซื้อชิ้นส่วนหมูแช่แข็งจากบริษัทเครือข่ายหมูเถื่อน ซึ่งจนบัดนี้เวลาผ่านไป 2 ปี ยังไม่มีการดำเนินคดีนั้นเลย
- ปี 2566 พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ออกหนังสือแจ้งเตือนทรูดิจิทัลฯ และสอบสวนกรณีการแทรกโฆษณาในช่องทีวีดิจิทัลบนแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต (TrueID) เพื่อรักษาความเป็นธรรมและคุ้มครองผู้บริโภค แต่ถูกบริษัทฟ้องจนศาลอาญาฯ พิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบมาตรา 157
โดยเฉพาะชาวบ้านและนักปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน ที่มักถูกดำเนินคดีประเภทนี้ เช่น ปี 2566 ชาวบ้านและกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จ. อุดรธานีว่า ฟ้องต่อศาลปกครองอุดรธานีขอเพิกถอนการออกประทานบัตรโครงการเหมืองแร่โปแตช เนื่องจากกระบวนการไม่ชอบด้วยกฎหมาย บริษัทจึงฟ้องหมิ่นประมาทชาวบ้าน แต่ศาลยกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีหลักฐานและมีพฤติกรรมประวิงคดี
และจากการรวบรวมข้อมูลขององค์กร Protection International (PI) คดี SLAPP หลังการรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบคดี SLAPP 595 คดี เป็นตัวเลขที่มากที่สุดในอาเซียน และกลุ่มธุรกิจที่ใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อปิดปากมากที่สุด 3 อันดับ คือกลุ่มเหมืองแร่ กลุ่มอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และกลุ่มพลังงาน
เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมไทย 4 ธ.ค. คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดสัมมนาทางวิชาการ “ปัญหาการฟ้องปิดปาก (SLAPP) นักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม” โดยผู้เข้าร่วมเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่สังคมไทจะมีกฎหมายป้องกัน “การฟ้องปิดปาก” โดยเฉพาะจากกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่มี “ทรัพยากรมาก” ใช้เป็นวิธีการในปกปิดความเสียหาที่เกิดขึ้น
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี BIOTHAI กล่าวว่าคดีปลาหมอคางดำเป็นคดีที่ 2 คดีแรกถูกฟ้องหมิ่นประมาทจากการโพสต์ข้อความใน Facebook โต้แย้งข้อมูลของบริษัทเอกชนค้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งเป็นสารเคมีที่ประเทศต่าง ๆ ประมาณ 44 ประเทศแบนสารชนิดนี้ แม้บริษัทจะฟ้องและแจ้งความเอาผิดไม่เป็นผลสำเร็จ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทำให้จิตตกเมื่อโดนคดี
จะเห็นได้ว่า ผลกระทบของการฟ้องปิดปากมี 3 ประการ
- ชาวบ้าน ประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวจิตตก กระทบความรู้สึกคนในครอบครัว มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่นค่าธรรมเนียมศาล ค่าทนาย ค่าเดินทาง เสียเวลาทำมาหากิน ขระที่โจทย์เป็นบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ มีทรัพยากรต่อสู้คดีเต็มที่ ไม่เดือดร้อนกับการดำเนินคดี
- ประชาชน ผู้ใช้สิทธิคนอื่นๆ ไม่กล้าจะใช้สิทธิตนเอง เกิดบรรยากาศความหวาดกลัวในชุมชน ทำให้คนกล้าไม่สนใจเรื่องส่วนรวม คนเคลื่อนไหวน้อยลงเรื่อยๆ พยานที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวเกิดความหวั่นไหว ไม่กล้าให้การณ์ และถูกกดดัน การสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวให้กับคนที่ปกป้องประโยชน์สาธารณะ ถือเป็นผลกระทบที่รุนแรง
- สร้างความเสียหายให้กับประเทศและสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบและการมีส่วนร่วมขั้นพื้นฐานของประชาชนหายไป ขณะเดียวกันเอกชนผูกขาดมีอำนาจเหนือสถาบันทางการเมือง แม้แต่สถาบันยุติธรรม
“ในกรณีปลาหมอคางดำระบาดไป 19 จังหวัด จากคำประกาศของกรมประมง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ เฉพาะที่ ต.แพรกหนามแดงตำบลเดียว เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ 131 ล้านบาท ในระดับประเทศประเมินว่าความเสียหายต่อปีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นผลกระทบที่ย่ำแย่มาก ๆ ยกตัวอย่างเฉพาะที่อ่าวคุ้งกระเบน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งประเมินแล้วว่าภายในช่วง 2 ปี ปลาหมอคางดำทำให้ชนิดสัตว์น้ำในอ่าวคุ้งกระเบน ลดลง 45% ชนิดสัตว์ ซึ่งกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพมหาศาล และความหนาแน่นของสัตว์น้ำ ลดลง 74.8% เมื่อไปทอดแห ปลาที่จับมาได้เป็นปลาหมอคางดำสัดส่วน 60.9% ของสัตว์น้ำที่จับได้
ถ้ากรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำข้อมูลนี้และฟ้องคดีเหมือนคดีอื่น เหมือนที่เคยฟ้องร้องบริษัทเรือบรรทุกน้ำตาลที่เรือล่มทำให้ปลาตายจำนวนมากในแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกค่าเสียหายต่อระบบนิเวศ การฟื้นฟูพันธุ์ปลา ประชาชนก็จะไม่ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ แต่ในเมื่อกรมประมงไม่ทำ ประชาชนจึงลุกขึ้นมาต่อสู้เอง”
ปัจจุบันคดีปลาหมอคางดำระบาด สภาทนายความทำสำรวจเพื่อช่วยชาวบ้านในการฟ้องคดี เฉพาะจังหวัดสมุทรสงครามจังหวัดเดียว เป็นความเสียหาย 2,486 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้ คดีศาลแพ่งรับคำฟ้องแบบกลุ่มแล้ว แต่ว่าทางฝั่งบริษัท CPF อุทธรณ์คดีอยู่ ทำให้คดียังไม่ได้คืบหน้าไปไหน และคงต้องใช้เวลานานมาก
เพราะกฎหมายที่มีอยู่ป้องกัน SLAPP ไม่ได้
แม้กรอบกฎหมายจะพยายามคุ้มครองสิทธิในการวิจารณ์และแสดงความคิดเห็นของประชาชน เช่นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 161/1 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลในการยกฟ้องการฟ้องที่อาจจะเป็นไปโดยไม่สุจริต หรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลย หรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ
และมาตรา 165/2 ที่ อนุญาตให้จำเลยในขั้นไต่สวนมูลฟ้องยื่นหรือแถลงให้ศาลทราบถึงข้อเท็จจริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าคดีไม่มีมูล
รวมถึงประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 ที่ ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากการถูกกลั่นแกล้งทางกฎหมาย แต่กฎหมายเหล่านี้ยังมีข้อจำกัดในการปฏิบัติใช้ ที่ทำให้ SLAPP เกิดขึ้นหลายครั้ง

สุรชัย ตรงงาม เลขาธิการ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) กล่าวว่า เพราะในทางปฏิบัติ เมื่อยื่นคำร้องในการไต่สวนมูลฟ้อง ตาม ป.วิอาญา มาตรา 161 ว่าเป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต ทางศาลมักไม่ได้วินิจฉัยไต่สวนเพิ่มเติม แต่จะดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนมูลฟ้องไปตามปกติและไปมีคำพิพากษาภายหลัง
ส่วนใหญ่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง เพราะถือว่าเป็นการแสดงความคิดเห็น เพื่อปกป้องสิทธิ์ หรือเพื่อติชมด้วยความเป็นธรรมหรือไม่ได้เข้าเงื่อนไของค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท แต่กว่าคดีจะสิ้นสุดต้องเวลานาน ชาวบ้าน ต้องใช้ชีวิตยากลำบากภายหลังวิจารณ์ เผยแพร่ความเห็น จากการถูกดำเนินคดี ต้องเดินทางไกล มีค่าใช้จ่าย ซึ่งทำให้วัตถุประสงค์ของ SLAPP บรรลุผล
และ SLAPP มักเกิดกับชาวบ้าน คนในชุมชนท้องถิ่น คดีที่เกิดขึ้น 78 % เป็นชาวบ้าน ซึ่งเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเป็นไปยากลำบาก เพราะทำให้ชาวบ้านต้องมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงทางเทคนิค หาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ซับซ้อน ในการสืบพยานหลักฐาน ชาวบ้านทั่วไปยากที่จะเข้าถึงข้อมูลในการพิสูจน์หลักฐาน พอชาวบ้านต้องเก็บข้อมูล หาสารปนเปื้อนในรั้วโรงงาน ก็โดนข้อหาบุกรุก
ทำให้ชาวบ้านหลายคนต้องถอนตัวออกไป หลังโดนฟ้อง จึงมีผลต่อขบวนการเคลื่อนไหว ขบวนการจึงต้องวางยุทธศาสตร์ให้การขับเคลื่อนดำเนินต่อ ต้องมีแถว 2 แถว 3 เตรียมรับมือการฟ้อง สู้คดี จัดสรรงบประมาณ รวบรวมเอกสารข้อมูล เพื่อบอกว่าตัวเองสุจริต เป็นเรื่องสำคัญ
และแม้พอมีกองทุนยุติธรรม ช่วยเหลือประชาชนรายได้น้อย ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ค่าประกันตัวผู้ต้องหา-จำเลย ให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียม แต่ก็ต้องใช้เวลานานในการพิจารณา บางคนถูกจับกุมไปแล้ว ทำให้ไม่ทันการณ์
ขณะเดียวกันในหลายคดี ทนายความยังไม่มีความเข้าใจประเด็นสิทธิชุมชน สิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจนำไปสู่การประนีประนอมยอมความ ให้ชาวบ้านยกเลิกขับเคลื่อน แต่สิทธิของชุมชนไม่สามารถจบด้วยการได้รับประนีประนอม ดังนั้นควรมีหลักสูตรอบรม ให้ความรู้แก่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
ทางด้าน ณัฐ จินตพิทักษ์กุล ทนายความ ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการฟ้องปิดปากหรือการแกล้งฟ้อง ส่วนใหญ่โจทก์มักเป็นบริษัทนายทุนใหญ่ ฟ้องชาวบ้านที่เป็นผู้เสียหาย ซึ่งชาวบ้านทำทุกอย่างที่ถูกต้องตามกฎหมายเช่นร้องเรียน แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หมวด สิทธิเสรีภาพ และก็เป็นหน้าที่ของรัฐในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้ง พ.ร.บ. สิ่งแวดล้อม
กฎหมายที่ใช้ปิดปากมักเป็น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ความผิดฐานหมิ่นประมาท มาตรา 328 หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา บนโลกออนไลน์ ซึ่งมีโทษหนักกว่าหมิ่นประมาททั่วไป รวมทั้ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 ว่าด้วยเรื่องการหมิ่นประมาทที่ไม่จริง ทำให้คนอื่นเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือทางทำมาหาได้ จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
เท่ากับว่า SLAPP เปลี่ยนมุมมมองเรื่องประโยชน์สาธารณะให้กลายเป็นหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นคดีทั้งแพ่งและอาญา ทำให้การตรวจสอบโดยประชาชนต้องชะงักงัน ให้ชาวบ้านต้องเลือกที่จะสู้คดีหมิ่นประมาทก่อนซึ่งใช้เวลายืดยาว แล้วค่อยกลับมาตรวจสอบหรือแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะต่อ
วิธีการป้องกันหรือรับมือมี 2 แบบ คือ
- ร่างกฎหมายการป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการระงับคดี ที่ยังไม่มีในประเทศไทย
- ให้ความรู้ความเข้าใจบุคคลากรในกระบวนการยุติธรรมเพื่อไม่ให้มีการใช้กฎหมายปิดปาก ตั้งแต่ต้นกระบวนการ สร้างควาตระหนักถึงประโยชน์สาธารณะ และการใช้เสรีภาพในการแสดงออกเพื่อประโยชน์สาธารณะ
“กระบวนการทางกฎหมายต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง บุคคลในระบบยุติธรรมต้องชั่งน้ำหนักประโยชน์สาธารณะของระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีว่า ใครปกป้องประโยชน์สาธารณะของใครมากกว่าเนี่ย ก็จะสามารถป้องกันการฟ้องปิดปากได้ระดับหนึ่ง
เห็นได้จากมาตรา 161/1 ที่ศาลสามารถยกฟ้อง หากโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริต แต่ศาลมักไม่ใช้ เพราะมักไม่ได้มีบทบาทชี้ว่าเป็นการฟ้องปิดปากหรือไม่ ศาลมักประทับรับฟ้องไว้ก่อนแล้วค่อยไปสู้กันในชั้นศาล รอคำพิพากษาทีหลัง ทำให้คดียิ่งล่าช้า ชาวบ้านยิ่งลำบาก ซึ่งก็ยิ่งเข้าทางผู้ฟ้องปิดปาก
ในชั้นอัยการต้องให้ความสำคัญเรื่องประโยชน์สาธารณะ ไม่ฟ้องคดี เพราะเห็นว่าเป็นการฟ้องปิดปาก หรือเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ทางสาธารณะ และการให้ชาวบ้านติดตามจับตาต่อไปย่อมเกิดประโยชน์สาธารณะมากกว่า รวมทั้งการปล่อยชาวบ้านชั่วคราวโดยไม่ต้องมีหลักประกัน ”
การสร้างกลไกและกฎหมายขจัดการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law)
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจะต้องเร่งให้มีกฎหมายที่ป้องการการฟ้องปิดปากประชาชนและยุติลงได้เร็วขึ้น ซึ่งกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรมจึงได้จัดทำ ร่าง พ.ร.บ. ป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน พ.ศ. …. (ร่างกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากฯ)
ปกป้อง ศรีสนิท อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงร่างกฎหมายนี้ว่าจะนำไปสู่การนิยามคำว่า “เรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ” คือ
เรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ หมายความถึง การติดตามตรวจสอบการทุจริตในภาครัฐ การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นส่วนรวม การอนุรักษ์หรือการบํารุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม การละเมิดสิทธิของประชาชนในวงกว้าง หรือเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวกับประโยชน์ของประชาชนในวงกว้างที่ส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพหรือความเป็นอยู่ของประชาชน หรือที่ประชาชนเห็นว่ามีความสําคัญ
เพื่อปรับแก้ประมวลกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4 ฉบับ ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เพื่อให้เรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ ไม่เท่ากับการหมิ่นประมาท ไม่ต้องมีความผิดทางอาญา ตามกฎหมายอาญา และหากสิ่งที่จำเลยพูดหรือเผยแพร่ไม่เป็นความจริง แต่เป็นประโยชน์สาธารณะ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหาย ตามกฎหมายแพ่ง
หากจำเลยรู้สึกว่า คดีที่ตนกำลังโดนเป็นการฟ้องปิดปาก ก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาล หากศาลพิจารณาว่าเป็นการฟ้องปิดปากจริง ศาลก็สามารถสั่งให้ยุติคดีได้ และสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่จำเลยเชิงลงโทษ เพื่อไม่ให้โจทก์ฟ้องร้องคดีใหม่อีก และในกระบวนการพิจารณาคดี ทั้งชั้นสอบสวน อัยการและชั้นศาล สามารถยุติได้หากเห็นว่าเป็นการฟ้องปิดปาก
ในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก ปกป้อง ศรีสนิท เสนอให้มีการทำคู่มือหรือออกเป็นแนวปฏิบัติเป็นระเบียบสำหรับพิจารณาคดี ที่เกี่ยวกับการฟ้องปิดปาก ด้วยการการนิยามความหมายของการฟ้องคดีที่ไม่สุจริต และการฟ้องปิดปาก ที่ชัดเจน เพราะคนที่ถูกฟ้องคือคนใช้สิทธิเสรีภาพและเพื่อประโยชน์สาธารณะ
รวมถึงการใช้ ป.วิอาญามาตรา 161/1 ที่ว่าการฟ้องนั้นไม่สุจริตโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง ควรจะมีหลักเกณฑ์พิจารณา และ ป.วิอาญามาตรา 165/ 2 ที่ให้สิทธิแก่จำเลยในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ชี้แจงเพื่อให้ศาลสั่งว่าคดีไม่มีมูล ควรกำหนดให้ไต่สวนคดีอย่างรวดเร็วภายใน 30 วัน เพื่อชี้ขาดว่าเป็นหรือไม่เป็นการฟ้องปิดปาก และยุติคดี
เพราะ SLAPP ทำให้คนหวาดกลัวการใช้สิทธ์
สาวิตรี สุขศรี รองคณบดี และ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าทุกวันนี้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยถูกคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่การติดตาม การทำร้ายร่างกาย การบังคับสูญหาย ไปจนถึงการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือกดทับเสียงของพวกเขา และ SLAPP ก็คือหนึ่งในรูปแบบการคุกคามนั้น
“SLAPP ไม่ใช่การใช้กระบวนการยุติธรรมไปเพื่อแสวงหาความเป็นธรรมตามกฎหมายอย่างแท้จริง และก็ไม่ใช่การพยายามยุติความขัดแย้งเชิงข้อเท็จจริง เพื่อทำให้การเคลื่อนไหวสาธารณะมีต้นทุนสูง ราคาแพง และเป็นอาชญากรรม จนผู้คนเลือกที่จะเงียบ เมื่อคำพูดหนึ่งต้องแลกด้วยคดีหนึ่งสำนวน สังคมทั้งสังคมจะเริ่มไม่พูด กลายเป็นการทำลายการมีส่วนร่วมตั้งแต่จุดเริ่มต้น
SLAPP จึงความผิดปกติที่ถูกสถาปนาให้ดูเหมือนว่ามันชอบด้วยกฎหมาย เพราะกฎหมายถูกสร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองการใช้สิทธิ์ ไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัวต่อการใช้สิทธิ์ หากกฎหมายถูกใช้สวนทางกับเจตนารมณ์นี้ ความยุติธรรมย่อมไม่บังเกิด
สังคมควรต้องช่วยกันปกป้องเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการมีส่วนร่วมของประชาชน กับการกระทำใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นโดยรัฐหรือเอกชน ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสิทธิในมิติต่าง ๆ ของพวกเรา อันเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตย”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
- Anti-SLAPP Law : ความหวังใหม่ในการต่อต้านคอร์รัปชันไทย
- ก.ม.คุ้มครองผู้ชี้เบาะแสคดีทุจริตต่อป.ป.ช. ไม่ช่วยแก้ฟ้องปิดปาก





