การทำความเข้าใจ “ความจน” ด้วย “วิธีวิจัยเชิงปริมาณ” หรือการให้ตอบแบบสอบถามนั้น แม้จะทำให้เห็นความยากจนในภาพกว้าง แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้เห็นขนาด ความลึกของปัญหา ความเหลื่อมล้ำหลายมิติที่ซับซ้อน หรือการส่งต่อข้ามรุ่น
‘คณะนักวิจัยโครงการวิจัยความจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง’ มองว่า แม้จะไม่ได้ใช้วิธีวิจัยใหม่ใด ๆ แต่มองว่า “วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ” หรือการลงพื้นที่ไปพูดคุยกับคนจนตัวจริงในเชิงลึก จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้รู้ถึงความต้องการของพวกเขาอย่างแท้จริง
ระยะเวลากว่า 2 ปี ในการศึกษา จนได้ “สมุดปกขาว” ออกมาเป็นบทสรุป และได้ใช้พื้นที่สนทนาสาธารณะ “Policy Watch : ฉีกพินัยกรรมความจน หยุดส่งต่อวงจรข้ามรุ่น” ออกมาเปิดเผยความจริงของความจน พร้อมรับฟังความเห็น ระดมความคิดจากนักวิชาการและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อค้นหาทางออกที่จะนำไปสู่สังคมที่ทุกคนได้มีโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียม
ความจนมักถูกจำกัดด้วยมุมมองทางเศรษฐศาสตร์
ปัญหาความยากจนข้ามรุ่นในสังคมไทยมักถูกจำกัดอยู่ในมุมมองเศรษฐศาสตร์ เช่น การวัดความจนด้วยความจนสัมบูรณ์ ความจนสัมพัทธ์ หรือมองเรื่องรายได้เป็นหลัก ซึ่งไม่ครอบคลุม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ความยากจนกลายเป็น “กำแพงที่ยากจะก้าวข้าม” ได้ในสังคมไทย
งานวิจัยล่าสุดจากคณะโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง ค้นพบความจริงของความจนที่จะชวนทุกคนทลายกรอบความคิดเดิม ๆ ว่า “ความยากจนไม่ได้เกิดจากความขี้เกียจ แต่เป็นผลจากการที่ผู้คนต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยากจะต่อสู้ได้”
โดย ศ.กนกวรรณ มะโนรมย์ หัวหน้าโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง ได้สรุปประเด็นสำคัญที่ค้นพบ ดังนี้
- ความยากจนย้อนกลับไปมาได้ : ความยากจนไม่ได้ส่งต่อแบบ “วันเวย์” (One-way) จากรุ่นพ่อแม่สู่ลูกเท่านั้น แต่สามารถ “ย้อนกลับไป-กลับมา” ได้ตลอดเวลา เพราะลูกที่แม้จะได้รับการศึกษาจนจบปริญญาตรี แต่ต้องกลายเป็นเดอะแบกดูแลทั้งพ่อแม่และครอบครัวของตัวเองไปด้วย ส่งผลกระทบย้อนกลับไปถึงพ่อแม่ ทำให้ครอบครัวยังคงจมปลักอยู่ในความจนไม่รู้จบ
- ความยากจนมีหลากหลายมิติ : ความจนมีอาการและปัญหาที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น ครัวเรือนในพื้นที่เกษตร ต้องเผชิญกับราคาพืชผลตกต่ำและต้นทุนที่สูง, ชาวบ้านในพื้นที่ป่า ถูกกีดกันการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติที่เคยเป็นแหล่งทำมาหากิน, หรือชุมชนชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบจากน้ำกัดเซาะชายฝั่ง
- การถูกกีดกันจากระบบ: คนจนเรื้อรังมักถูกกีดกันจากสวัสดิการและนโยบายที่รัฐจัดเตรียมไว้ให้ ทั้งที่โดยหลักการแล้วพวกเขาควรได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

ศ.กนกวรรณ มะโนรมย์ หัวหน้าโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
นโยบายการศึกษาต้องครอบคลุมไปถึง “พ่อแม่” ไม่ใช่แค่ “เด็ก”
“การศึกษา” ถูกมองว่าเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยปลดล็อกความยากจนข้ามรุ่น แต่จากการลงพื้นที่พูดคุยกับ 25 ครัวเรือนในจังหวัดพิษณุโลกของ ผศ.ฐานิดา บุญวรรณโณ นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง พบว่า นโยบายที่มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการศึกษาของเด็กเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องครอบคลุมไปถึง “พ่อแม่” ด้วย
เนื่องจากในครัวเรือนยากจนมีคนหลายรุ่นอาศัยอยู่ร่วมกัน แม้คนเจนเนอเรชัน Y จะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 แต่อย่าลืมว่าสิทธิเรียนฟรี 12 ปี เริ่มปรากฏให้เห็นใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องแบกรับภาระดูแล ปู่ย่า พ่อแม่ รุ่นเบบี้บูมเมอร์หรือเจนเนอเรชันเอ็กซ์ ที่จบแค่ชั้น ป.3- ป.4 ในขณะเดียวกันตัวเองก็ต้องหาเลี้ยงครอบครัว ทำให้รายได้ที่หามาไม่เพียงพอที่จะมีเงินเก็บหรือลงทุนเพื่อยกระดับชีวิตลูกได้ พวกเขาจึงไม่สามารถที่จะเคลื่อนชั้นหลุดออกจากความจนได้
และที่น่ากังวลคือปัญหา “ครอบครัวแหว่งกลาง” ที่พ่อแม่ต้องทิ้งลูกไว้กับปู่ย่าในต่างจังหวัด แม้พวกเขาจะตั้งใจทำงาน แต่รายได้ ก็แทบไม่เพียงพอที่จะหักลบกลบหนี้ ขณะที่ผู้สูงอายุเหลือที่พึ่งพิงเดียวคือเบี้ยผู้สูงอายุ นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้หลานเข้าถึงการศึกษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
แม้รัฐจะมีนโยบายช่วยเหลือ แต่ก็ยังมีช่องว่าง นโยบายเเรียนฟรี 12 ปี ก็ยังมี “ค่าใช้จ่ายแฝง” ที่ผู้ปกครองต้องแบกรับภาระ เช่น ค่าชุดขาวสำหรับปฏิบัติธรรม
โครงการอาหารเสริม นมโรงเรียน และอาหารกลางวัน ยังจำกัดอยู่แค่ระดับประถมศึกษา ทำให้เด็กมัธยมหลายคนเข้าไม่ถึงการศึกษา ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าผู้ปกครองไม่มีเงินค่าขนมให้ไปโรงเรียน
นอกจากนี้ ปัญหา “หนี้นอกระบบ” ที่รัฐพยายามจะแก้ด้วยการให้ไกล่เกลี่ย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าหนี้ที่เก็บดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด จะกล้าเข้ามาในกระบวนการนี้จริงหรือไม่? และคนจนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือเจ้าหนี้ที่แท้จริงของพวกเขา
“ถึงเวลาแล้วที่รัฐจะต้องขยายการศึกษาภาคบังคับ และหากยังไม่สามารถแก้ไขได้ภายในเร็ววัน ในช่วงเวลาที่มีนี้จะต้องอัดความรู้ทักษะเด็กไทย ให้สามารถเป็นแรงงานกึ่งทักษะ หรือมีทักษะที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดไทยและตลาดโลกให้ได้ รวมถึงต้องมีนโยบายสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับผู้ปกครอง เพื่อให้พวกเขาสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง และมีศักยภาพในการดูแลลูกหลานได้อย่างยั่งยืน”
ผศ.ฐานิดา บุญวรรณโณ นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง

ผศ.ฐานิดา บุญวรรณโณ นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
นโยบายมุ่งเน้นเศรษฐกิจ ยิ่งผลักเกษตรกรกลุ่มเปราะบางให้จนลง
แม้พืชผลทางการเกษตรจะเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศ แต่คนเรามักนึกถึงครัวเรือนเกษตรกรว่าเป็นกลุ่มคนที่ยากจนที่สุด และอาศัยอยู่ในชนบท เพื่อปลูกผักทำสวน
งานวิจัยในจังหวัดอำนาจเจริญของ ผศ.ปิ่นวดี ศรีสุพรรณ นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง ได้เปิดเผยความจริงที่น่าซับซ้อนยิ่งกว่านั้นว่า ไม่ใช่เกษตรกรทุกคนจะยากจน แต่มีเกษตรกรกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในระดับ “ชั้นล่าง” ซึ่งถูกกดทับด้วยความยากจนเชิงโครงสร้างหลายมิติ
“เกษตรกรเดิมต้องเผชิญความยากจนเชิงโครงสร้างอยู่แล้ว จากราคาพืชผลที่ผันผวน การเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี หรือการต้องพึ่งพิงตลาดและกลุ่มทุน แต่ที่หนักกว่านั้นคือกลุ่มเกษตรยากจน ที่ไม่มีแม้แต่ที่ดินทำกินของตัวเอง”
ผศ.ปิ่นวดี ศรีสุพรรณ นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
เกษตรกรกลุ่มเปราะบาง ไม่เพียงแต่เผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูง ยังต้องเผชิญกับ “ความจนเชิงความคิด” ที่สังคมมองพวกเขาในแง่ลบ ทำให้การเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐเป็นเรื่องยาก
นโยบายของรัฐที่มุ่งเน้นเรื่องรายได้และเศรษฐกิจเป็นหลัก เช่น “โครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์” ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง ทำให้ครัวเรือนที่ยากจนอยู่แล้วไม่สามารถเข้าร่วมได้ และถูกกีดกันออกจากสวัสดิการของรัฐอย่างน่าเสียดาย
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยขนาดที่ดินที่น้อยหรือแทบไม่มีเลย ทำให้การรวมกลุ่มเพื่อทำเกษตรขนาดใหญ่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะถูกมองว่าคงทำอะไรไม่สำเร็จ
ดังนั้นรัฐและสังคมอาจต้องกลับมาทบทวนใหม่ถึงการแก้ปัญหาความยากจนที่มุ่งเน้นแต่ตัวเลข มาเป็นการสร้างโอกาสและกลไกที่เข้าถึงกลุ่มเกษตรกรเปราะบางได้อย่างแท้จริง

ผศ.ปิ่นวดี ศรีสุพรรณ นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
ข้อจำกัดของนโยบายรัฐสร้าง “มรดกความจน” ข้ามรุ่น
หลายคนอาจมองว่าความยากจนเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของเกษตรกรในพื้นที่คอมมิวนิสต์เก่า กลับพบความจริงที่น่าตกใจว่า ความยากจนข้ามรุ่นในหลายครัวเรือนอาจไม่ใช่ความผิดของพวกเขา แต่เป็น “ภาวะ” ที่ถูกสร้างขึ้นจากนโยบายของรัฐที่ไม่เป็นธรรมในอดีต
งานวิจัยของ ธวัช มณีผ่อง นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลังไป 3 ทศวรรษ พบว่าในช่วงที่มีการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ชาวบ้านต้องถูกพรากจากที่ดินและทรัพย์สินทั้งหมดอย่างฉับพลัน และเมื่อพวกเขากลับมา ที่ดินเหล่านั้นก็ถูกประกาศเป็นเขตสงวนทับพื้นที่
“การสูญเสียที่ดิน ไม่ได้หมายถึงแค่การไร้ที่อยู่อาศัย ที่ทำกินเท่านั้น แต่ยังเป็นการสูญเสีย ‘ฐานการดำรงชีวิต’ ทั้งหมด ทั้งพื้นที่หาของป่าและแหล่งอาหาร ทำให้ชีวิตของพวกเขาต้องตกอยู่ในภาวะ ‘ติดลบ’”
ธวัช มณีผ่อง นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
จากการศึกษาเชิงลึกใน 25 ครัวเรือน พบว่ามีเพียง 20% เท่านั้นที่สามารถขยับออกจากความยากจนได้ ส่วนอีก 80% ที่เหลือชีวิตยังต้องขึ้นอยู่กับสวัสดิการของรัฐเป็นหลัก แสดงให้เห็นว่าความยากจนของคนไร้ที่ดินเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีรากฐานมาจากข้อจำกัดของนโยบายรัฐ
การแก้ไขปัญหานี้จึงจำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการการทำงาน แต่วันนี้การทำงานของรัฐ ยังไม่สามารถทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานได้อย่างเต็มที่ การจะ “ฉีกพินัยความจน” ของคนกลุ่มนี้จึงเป็นเรื่องยาก เพราะต้องใช้องคาพยพทั้งหมด

ธวัช มณีผ่อง นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
ช่องว่างทางนโยบาย “เหมืองแร่” ทิ้งความจนซ่อนเร้นไว้ให้ชุมชน
คนมักนึกว่า “รายได้ต่ำ” เป็นสาเหตุของความจน แต่จากงานวิจัยในจังหวัดหนองบัวลำภูของ กิติมา ขุนทอง นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง ชี้ให้เห็นว่า ความยากจนของคนที่อาศัยอยู่รอบบริเวณเหมืองแร่ไม่ได้มาจากรายได้ที่ต่ำ แต่มาจาก “ทรัพยากรธรรมชาติ” ที่เคยเป็นฐานการดำรงชีวิตถูกแย่งชิงไปเป็นทุนของคนบางกลุ่ม
“คนในชนบท โดยเฉพาะคนจนพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ มีเงิน 100 บาทอยู่ได้ แต่คนกรุงอาจอยู่ยาก เพราะพวกเขามีทรัพยากรที่พึ่งพิงได้ เช่น ที่นา แหล่งน้ำ หรือแหล่งอาหาร แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อธรรมชาติที่เคยพึ่งพิงได้ กลายเป็นทุนของใครบางคน ความจนก็ไม่ใช่เรื่องรายได้อีกต่อไป”
กิติมา ขุนทอง นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
ชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณเหมืองแร่ ต้องตกอยู่ใน “เขตพื้นที่เสียสละ” ที่ต้องถูกดึงเอาทรัพยากรไปใช้ เพื่อการพัฒนาประเทศ ความยากจนที่ทำให้ชีวิตมีต้นทุนสูงอยู่แล้ว เมื่อเผชิญกับความเปราะบางอีกจึงยิ่งกลายเป็นต้นทุนที่บีบบังคับให้พวกเขาจนลง
อย่างไรก็ตามแม้เหมืองแร่จะสร้างรายได้ให้คนในชุมชน แต่เงินส่วนหนึ่งต้องถูกนำไปใช้หนี้ และต่อสู้เพื่อปกป้องทรัพยากรของชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่ยาวนานไม่ต่ำกว่า 2 ทศวรรษ ทำให้ไม่มีเงินเหลือพอที่จะส่งต่อ “ทุนเชิงบวก” ทั้งในรูปของเงินและโอกาสทางการศึกษาให้คนรุ่นลูกหลานได้
คนในพื้นที่เหล่านี้จึงเป็นกลุ่ม “ความยากจนแฝงเร้น” ที่แม้แต่เครื่องมือของรัฐอย่าง TP MAP ยังไม่สามารถวัดได้ และตกหล่นจากสวัสดิการและความช่วยเหลือของรัฐไปโดยปริยาย
ข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า หากรัฐยังคงมองข้ามช่องว่างทางนโยบาย ที่เกิดขึ้นจากการสกัดนิยม ก็จะไม่มีทางแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะเป็นความจนที่ถูกบีบบังคับและฝังรากลึกมาอย่างยาวนาน

กิติมา ขุนทอง นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
ภัยพิบัติซ้ำเติมความเปราะบาง ชาวประมงปัตตานี
ชาวประมงพื้นบ้านต้องเผชิญกับ “ความจน” ที่มีรากฐานซับซ้อนกว่าที่คิด และเป็นกลุ่มที่ยากจนที่สุดในหมู่คนจนด้วยกันเอง
ผศ.อลิสา หะสาเมาะ นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง เปิดเผยว่า จากการศึกษาชาวประมง ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ชาวประมงกลุ่มนี้คือ “คนไร้ที่ดิน” อย่างแท้จริง เพราะปัญหาน้ำกัดเซาะชายฝั่ง ทำให้โฉนดที่ดินของพวกเขาอยู่ในทะเล และพื้นที่ที่พวกเขาอยู่อาศัยก็ถูกประกาศเป็นเขตป่าอนุรักษ์ชายเลน
เมื่อไม่มีที่ดิน ไม่มีบ้าน จึงไม่มีเลขทะเบียนบ้าน และไม่สามารถเข้าถึงสิทธิพื้นฐานได้ ทำให้ชีวิตของพวกเขามีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าคนปกติ เช่น ต้องพ่วงใช้น้ำและไฟฟ้าจากเพื่อนข้างบ้านในราคาแพงที่แพงกว่า
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม จากนโยบายการศึกษา ที่เข้าไม่ถึงกลุ่มที่มีวัฒนธรรมและศาสนาที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่อย่าง “ปัตตานี” คนในชุมชนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยพูด อ่าน เขียน ภาษาไทยได้ ทำให้พวกเขาเสียเปรียบในการเข้าถึงโอกาสและสวัสดิการของรัฐ
นอกจากปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมแล้ว ชาวประมงยังต้องเผชิญกับวิกฤต ดังนี้
- การพัฒนาอุตสาหกรรมประมง: การเข้ามาของเรืออวนลากเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมประมงในช่วงปี 2505-2515 ทำให้จำนวนเรือประมงพาณิชย์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้เกิดวิกฤตการจับปลาได้น้อยลง ตั้งแต่ปี 2535-2545 และรุนแรงขั้นสุดจนหาปลาไม่ได้เลยในปี 2556
- น้ำเสียจากการพัฒนาเมือง: การพัฒนาในเมืองที่ถ่ายเทน้ำจืดออกสู่ทะเล ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศ ทำให้ปลา “น็อกน้ำ” ยิ่งซ้ำเติมวิกฤตหาปลาไม่ได้และภาวะทุพโภชนาการที่ชุมชนนี้เผชิญอยู่
“นโยบายพัฒนาภัยพิบัติในพื้นที่ชายฝั่งยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งที่ประเทศไทยมีพื้นที่มากถึง 22 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งมากมาย เรื่องนี้จึงต้องวิจัย สร้างนวัตกรรมสังคมใหม่ในพื้นที่แห่งนี้”
ผศ.อลิสา หะสาเมาะ นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง

ผศ.อลิสา หะสาเมาะ นักวิจัยโครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
บทสรุปปัญหาความยากจนในไทย คือนโยบายยังมองแบบเหมารวม
ข้อค้นพบทั้งหมดของคณะวิจัยฯ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นโยบายที่มีอยู่ในปัจจุบันยังคงมองปัญหาแบบ “เหมารวม” (One size fits all) ซึ่งส่งผลให้เกิดการเอื้อประโยชน์แก่คนบางกลุ่ม ขณะเดียวกันก็มีคนอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนจนที่ “ตกหล่น” ไม่ได้รับการเหลียวแล นี่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ยิ่งผลักดันให้ความยากจนกลายเป็น “กำแพงที่ยากจะก้าวข้าม” ได้ในสังคมไทย
ความยากจนนั้นมีหลายมิติและซับซ้อน ดังนั้นนโยบายที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง จึงต้องไม่ถูก “ตีขลุม” และต้องมี “คนจน” อยู่ในสมการ คือต้องออกแบบให้สอดคล้องกับความแตกต่างหลากหลาย ของปัญหาที่แต่ละกลุ่มเผชิญ เพื่อไม่ให้เกิดการกีดกันการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสที่ควรได้รับ
ที่สำคัญคือ ความยากจน เป็นปัญหาของ “คน” ไม่ใช่ “ตัวเลข” การแก้ไขปัญหาด้วยมาตรวัดทางเศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องปรับเปลี่ยนแนวทางในการเก็บข้อมูลใหม่ เพื่อให้เข้าใจถึงรากเหง้าและความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มคนเปราะบางในแต่ละมิติ
ชูบทบาทท้องถิ่น เติมเต็มระบบราชการ
ข้อมูลผู้มีความยากจนที่ TP MAP รวบรวมได้ปัจจุบันมีมากถึง 8.8 แสนคน สะท้อนให้เห็นขนาดและความซับซ้อนของปัญหา
วิโรจน์ น้ำหอม ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมสัมมาชีพชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน จึงมองว่า การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องอาศัย “การบูรณาการ” การทำงานกับหลายภาคส่วน แต่ด้วยเงื่อนไขของราชการที่ต้องตั้งงบประมาณตามฟังก์ชัน และต้องทำงานตามบทบาทหน้าที่ของตัวเอง หน่วยงายของรัฐจึงไม่สามารถทำงานข้ามกันได้
“กลไกระดับพื้นที่หรือชุมชน” จะเป็นหัวใจสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างนี้ ซึ่งตามโครงสร้างจะมี ศูนย์อำนวยการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (สอพจ.) ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และมี ศูนย์อำนวยการในระดับอำเภอ (สอ.) ที่มีนายอำเภอเป็นหัวโต๊ะ
ซึ่งฝ่ายเลขาฯ อาจทำหน้าที่รวบรวมประเด็นปัญหาความยากจนเหล่านี้เข้ามาพูดคุยในวงประชุม เพื่อบูรณาความช่วยเหลือของหน่วยงานที่มีภารกิจโดยตรง ให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด

วิโรจน์ น้ำหอม ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมสัมมาชีพชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน
ปัญหา “นิยาม” และ “ข้อมูลไม่ตรงกัน” อุปสรรคใหญ่แก้ความยากจน
การจะบูรณากับทุกภาคส่วนได้ ก่อนอื่นต้องเริ่มที่การมี “นิยามความจน” ที่ตรงกัน แต่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “ความยากจนเชิงพรรณนา” หรือการที่ “คนจน” ถูกนิยามแตกต่างกันไปตามระเบียบของแต่ละกระทรวง
ณัฐสุรีย์ อนุศาสนัน ผู้อำนวยการกองมาตรฐานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า คำว่า “คนจน” ของ พม. ก็จะขึ้นอยู่กับระเบียบของ พม. ขณะที่กระทรวงอื่น ๆ คำว่า “คนจน” ก็ขึ้นอยู่กับกระทรวงของเขา ทำให้คน “หลุดออกจากวาทกรรม” หรือกรอบนิยามของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเสมอ
นอกจากนี้ “ข้อมูลยังไม่พุ่งเป้า” คือไม่เป็นฐานเดียวกัน ตัวเลขผู้มีความยากจนของ TP MAP อาจอยู่ที่ 8.8 แสนคน ขณะที่ของ พม. พบอยู่ที่ 1.1 ล้านคน แม้จะใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกันหรือไม่ ความแตกต่างนี้สะท้อนถึง “ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน” ระหว่างหน่วยงาน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการจัดระเบียบให้ตรงและชัดเจนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว พม.ได้ลงนามความตกลงร่วมกับ 29 ภาคีเครือข่าย เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง ในชื่อ “MSO Logbook” และออกแบบการทำงานร่วมกับกรรมาธิการ
“ความยากจนมีหลายมิติ ไม่สามารถแก้แบบตัดเสื้อโหลได้ และอีกประการหนึ่งคือรัฐเอาไม่อยู่ ไม่ได้แปลว่าต้องขอรับบริจาค แต่เราทำอย่างไรก็ไม่สามารถพาก้าวข้ามความยากจนได้ มีวิธีที่น่าสนใจคือเขาต้องจัดการตัวเอง และรัฐต้องสนับสนุน รัฐสนับสนุนไม่พอ ยังต้องใช้ทุนสังคมเข้ามาช่วยด้วย”
ณัฐสุรีย์ อนุศาสนัน ผู้อำนวยการกองมาตรฐานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ณัฐสุรีย์ อนุศาสนัน ผู้อำนวยการกองมาตรฐานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สร้างสังคมที่เป็นธรรม ลดความเหลื่อล้ำในสังคม
แม้จะมีหลายภาคส่วนพยายามแก้ปัญหาความยากจน แต่ในมุมมองของ รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า ระดับนโยบายยังขาดความจริงจังอย่างเป็นรูปธรรม และสังคมก็ขับเคลื่อนประเด็นนี้น้อยเกินไป
ยกตัวอย่างโครงการขนาดใหญ่อย่าง “แลนด์บริดจ์” ที่หากไม่รับฟังเสียงของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ จะกลายเป็นการพัฒนาที่ถอยหลัง เนื่องจากเป็นการมุ่งสกัดทรัพยากรธรรมชาติมาขายโดยไม่สนใจผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม
การพัฒนาเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างความยากจนซ้ำซาก แต่ยังเป็นการ “ลิดรอนทรัพยากร” และผลักดันให้คนกลุ่มเดิม ๆ ต้องเผชิญกับความยากจนมากขึ้น
สิ่งที่น่ากังวลอีกคือ คนจนที่เข้าข่าย “ยากจนเรื้อรัง” พวกเขายังเป็นกลุ่มชายขอบที่ถูกกีดกันและเข้าไม่ถึงระบบสนับสนุนของรัฐอีก แม้กระทรวงต่าง ๆ จะบอกว่าเข้าถึงได้ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น รัฐจึงต้องมีโปรแกรมหรือมาตรการพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ
ส่วนการแก้หนี้นอกระบบ ที่จริงแล้วเป็นเพียงปลายทางของปัญหาหลัก นั่นคือ “รายได้ไม่พอ” และ “รายได้ไม่มั่นคง” ตัวอย่างเช่นพ่อค้าหาบเร่แผงลอยที่รายได้ไม่แน่นอนเพราะต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หากแก้หนี้ได้แต่ไม่แก้ไขปัญหาเรื่องรายได้ พวกเขาก็จะกลับสู่วงจรหนี้เดิมอย่างไม่มีทางออก
“เวลาเราพูดถึงความยากจน เราเหมือนไปแก้ปัญหาให้เขาซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรา ดังนั้นเราไม่ได้พูดเรื่องความยากจน แต่เราพูดเรื่อง ‘ความเป็นธรรมในสังคม’ ที่พวกเขาถูกทำให้จนและต้องอยู่ในระบบที่ไม่มั่นคง ซึ่งไม่เพียงทำให้เขาลำบาก ยังทำให้คนทั้งสังคมลำบากด้วย”
รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องเห็นใจคนจน แต่ถ้าอยากทำให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี ต้องทำให้เขาเข้าถึงการศึกษา และถ้าอยากให้เศรษฐกิจเติบโต ต้องทำให้คนจนนั้นรวยขึ้น เพื่อที่เขาจะได้มีเงินซื้อ จับจ่ายใช้สอย ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาให้คนจนเพียงอย่างเดียว แต่นี่จะทำให้คนในสังคมไปได้

รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“หากสังคมยังคงมีความเหลื่อมล้ำสูง ทุกคนจะอยู่ในความรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่มั่นคง เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาไม่เคยกระจายอย่างทั่วถึง”
ศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศ.สุริชัย ยังย้ำว่า ทัศนคติต่อคนจนเป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ปัญหา เราไม่ควรดูถูกความเป็นมนุษย์ของเขา เพราะ “เขาไม่ได้ไม่ช่วยตัวเองไม่ได้เลย” พวกเขามีศักยภาพในการต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง
หน้าที่ของรัฐ จึงต้องการพัฒนาวิธีการทำงานของตัวเอง โดยเฉพาะการสร้างนโยบายที่พิจารณาผลกระทบอย่างรอบด้าน ไม่มุ่งเน้นแต่ผลลัพธ์ที่รวดเร็วแต่ผิวเผิน และต้องสร้างเอกภาพ ทั้งเรื่องข้อมูลและนโยบาย ไปจนถึงการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน
ท้ายที่สุดรัฐต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต ไม่สร้าง “ความผิดใหม่” หรือปัญหาซ้ำซากจากการพัฒนาที่ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนอีกต่อไป

ศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข้อค้นพบจะบรรจุลงในแผนพัฒนาชาติที่ 14 ได้ทันหรือไม่ ?
การแก้ปัญหาความยากจนถูกบรรจุเป็นประเด็นสำคัญในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่องในหลายฉบับ และในฉบับปัจจุบัน (ฉบับที่ 14) มีกำหนดจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2570 – 30 กันยายน 2575 ซึ่งการร่างและรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำแผนฉบับนี้อยู่ระหว่างดำเนินการโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในขณะนี้
สุพัณณดา เลาหชัย ผู้อำนวยการกองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า การแก้ปัญหาความยากจนจะอาศัยเพียงแค่ “คำพูด” ไม่ได้อีกต่อไป จึงดีใจมากที่ได้เห็นการนำเสนอผ่านกรณีศึกษาของ “โครงการวิจัยความยากจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง” ซึ่งสภาพัฒน์ฯ สามารถนำไปต่อยอดได้
อย่างไรก็ตามสภาพัฒน์ฯ กำลังทำวิจัยในเชิงลึกเช่นเดียวกัน โดยใช้วิธี “Contextual Budget” ซึ่งเป็นการลงพื้นที่พูดคุยกับคนจน เพื่อสอบถามอย่างเช่นว่า สินค้าใดที่พวกเขามีหรือไม่มี ถึงจะถูกนิยามว่าเป็น “คนจน” ในมุมมองของพวกเขา จากนั้นจะนำข้อมูลที่ได้มา มาออกแบบสำรวจ เพื่อตรวจสอบความยากจนที่มีความหลากหลาย และเห็นถึงความแตกต่างในแต่ละภูมิภาคของไทยอย่างแท้จริง
แม้ว่าการวิจัยของสภาพัฒน์ฯ อาจใช้อีก 2 ปีต่อจากนี้ ทำให้ไม่สามารถบรรจุข้อมูลลงในแผนพัฒนาชาติฉบับที่ 14 ได้ทัน แต่ “สุพัณณดา” บอกว่า สภาพัฒน์ฯ ได้เปลี่ยนกระบวนการทำแผนใหม่ จากเดิมที่เคยยกร่างแผนไว้ก่อน แล้วค่อยรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ แต่ตอนนี้ สศช. ได้เชิญชวนให้ประชาชนร่วมทำแบบสอบถาม “ประเทศไทยเอาไงต่อ ? แผน 14” ตอบสิ่งที่อยากได้และต้องการให้มุ่งเน้น เพื่อออกแบบอนาคตของประเทศไปพร้อมกันตั้งแต่แรกเริ่ม
นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนกระบวนการทำ “แผนพัฒนาชาติ” ในรูปแบบใหม่อย่างสิ้นเชิง จึงอยากให้ทุกคนร่วมแสดงความคิดเห็น จุดประกายความคิดสู่สังคม เพื่อเปลี่ยนมุมมองจากการมองความจนเป็นเพียง “ตัวเลข” ไปสู่การเข้าใจ “ชีวิตจริง” ของผู้คนที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก และนำไปสู่การสร้างนโยบายที่สามารถ “ฉีกพินัยกรรมความจน” ได้อย่างยั่งยืน

สุพัณณดา เลาหชัย ผู้อำนวยการกองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
- ‘กระจายอำนาจ’ เปิดโอกาสให้ ‘คนจนเมือง’ มีส่วนร่วมแก้ปัญหาของตนเอง
- ทางออกเชิงนโยบายแก้ปัญหา ‘คนจนเมือง’
- รื้อกับดักความไม่มั่นคงที่อยู่อาศัย ‘คนจนเมือง’
- มองลึกปัญหา “คนจนเมือง” สู่ “นวัตกรรมแก้จน”
- ชวนทุกฝ่ายร่วมลงทุน ระดมทรัพยากร หยุดส่งต่อความจน สู่ คนรุ่นลูก-หลาน
- ส่องสูตรแก้จนด้วยมาตรวัดความเป็นธรรมของคนจนเมือง สานพลังลดความเหลื่อมล้ำ สู่ความเท่าเทียม