ThaiPBS Logo

“อาชีวะไทย” แรงงานทักษะฝีมือดี เนื้อหอมในตลาดโลก

12 ก.พ. 256717:47 น.
“อาชีวะไทย” แรงงานทักษะฝีมือดี เนื้อหอมในตลาดโลก
  • อาชีวศึกษาไม่ได้ด้อยกว่าการเรียนสายสามัญ มีทั้งความรู้ และทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง ผ่านการเรียนรู้แบบฝึกฝนจากการลงมือทำจริง สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้หลากหลาย ถึง 102 สาขาวิชา
  • เป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากแรงงานอาชีวศึกษาไทยมีทักษะฝีมือดี โดดเด่นเป็นพิเศษในอุตสาหกรรมเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ อาชีพด้านการท่องเที่ยว การโรงแรม ศิลปกรรม และอาหาร
  • นักเรียนอาชีวะไทย มี 4 อุปสรรคสำคัญ ด้านการเรียนการสอน ขาดความรู้ความเข้าใจในสาขาที่เลือกเรียน ภาพลักษณ์ในแง่ลบของอาชีวศึกษา และวุฒิที่ได้ หรือสาขาที่เรียนไม่ตรงกับความต้องการตลาด
  • ต้องเร่งส่งเสริมภาพลักษณ์เพื่อให้เห็นความสำคัญของสายอาชีวศึกษา ปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอนอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะภาษาต่างประเทศ
นักเรียนอาชีวะเป็นภาพลักษณ์ของความรุนแรงในสังคมไทยมานานหลายปี ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจของเด็กในยุคปัจจุบันที่เลือกไปเรียนสายสามัญแทนสายอาชีวศึกษา ทำให้ไทยขาดแคลนแรงงงานทักษะมีฝีมือในอุตสาหกรรมสำคัญ และในขณะเดียวกันแรงงานดังกล่าวก็เป็นที่ต้องการสูงในต่างประเทศ

ภาพภาพลักษณ์เชิงลบที่ออกมาตลอดในแต่ละปีของนักเรียนอาชีวะ ทั้งความรุนแรง การทะเลาะวิวาท และอาชญากรรม ซึ่งข่าวที่ออกมาก่อให้เกิดทัศนคติเชิงลบแบบเหมารวมกับนักเรียนอาชีวะและแรงงานสายอาชีวะ ทั้ง ๆ ที่ในหลายโอกาส นักเรียนอาชีวะก็ใช้ทักษะและความรู้ทำประโยชน์ให้ชุมชนและสังคมด้วยเช่นกัน แต่มักไม่เป็นข่าว

ประกอบกับการขาดข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอาชีวศึกษาไทยที่รอบด้าน ส่งผลให้นักเรียนจำนวนมากไม่นิยมเลือกเรียนสายอาชีพ ปัจจุบันไทยจึงเผชิญกับภาวะการขาดแคลนแรงงานทักษะมีฝีมือจากอาชีวศึกษาในหลายอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ

แต่นักเรียนอาชีวะและแรงงานทางด้านอาชีวศึกษาเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญ ถือเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศชาติ และมีศักยภาพในการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้หลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง

จากผลการศึกษาวิจัย “การพัฒนาศักยภาพและเอกลักษณ์แรงงานอาชีวศึกษาไทยใน 3 อุตสาหกรรมหลัก: การวิเคราะห์ผ่านแผนที่เส้นทางการก้าวเข้าสู่แรงงานอาชีวศึกษาไทย ภายใต้แนวคิดความปกติใหม่” ตั้งแต่ปลายปี 2563 ถึง พ.ค. 2565 ของ รศ.ดร. จุลนี เทียนไทย ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับอาชีวศึกษาไทย จุดเด่น-เอกลักษณ์อาชีวะไทยที่เป็นที่ยอมรับในตลาดแรงงาน ซึ่งน่าส่งเสริมยกระดับให้ดียิ่งขึ้น และ ยังมีข้อเสนอต่าง ๆ เพื่อพัฒนาแรงงานสายอาชีพของไทย ทั้งด้านความรู้ ทักษะ (Up-Skill) และการสร้างอาชีพใหม่ เป็นต้น

การวิจัยชิ้นนี้เน้นการศึกษาแบบเจาะลึกเพื่อให้ได้มุมมองจาก คนใน 3 กลุ่ม จำนวนทั้งสิ้น 177 คน ได้แก่ กลุ่มนักเรียนอาชีวศึกษาที่กำลังศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) อายุ 18 ปี ขึ้นไป กลุ่มแรงงานอาชีวศึกษา ที่เรียนจบแล้ว อายุระหว่าง 19-49 ปี และกลุ่มนายจ้างที่รับผู้จบการศึกษาอาชีวะเข้าทำงาน

แรงจูงใจสำคัญให้นักเรียนเลือกสายอาชีวศึกษา

ผลการวิจัยเผยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกเรียนด้านอาชีวศึกษาของนักเรียน ได้แก่ ปัจจัยภายใน คือ การรู้จักตัวเองว่ามีความชื่นชอบและสนใจการเรียนอาชีวะซึ่งเน้นการลงมือปฏิบัติ และมีเป้าหมายอาชีพในอนาคตชัดเจน

ทั้งนี้ส่วนปัจจัยภายนอก อาทิ คนรอบตัว โดยเฉพาะครอบครัวเป็นแรงบันดาลใจให้เลือกเรียนอาชีวะ การเห็นโอกาสที่จะได้งานทำหลังเรียนจบ สามารถหารายได้พิเศษระหว่างเรียน เหตุผลด้านการเงิน เช่น ค่าใช้จ่ายในการเรียนที่ไม่เป็นภาระครอบครัว การได้รับทุนการศึกษา การได้รับคำแนะนำจากครูแนะแนว และการประชาสัมพันธ์จากสถาบันอาชีวศึกษา รวมถึงภาพลักษณ์และชื่อเสียงของสถาบันอาชีวศึกษาและบริบทพื้นที่ เช่น พื้นที่ที่เด่นในเรื่องการท่องเที่ยว จะมีนักเรียนที่อยากเรียนสาขาการท่องเที่ยว เป็นต้น

สายอาชีวศึกษาเรียนรู้ได้เร็ว-ต่อยอดงานได้

อาชีวศึกษาเป็นทางเลือกที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าการเรียนสายสามัญ หรืออาจจะได้เปรียบกว่าเมื่อเดินเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยสายอาชีวศึกษาในประเทศไทยมีการเรียนการสอนกว่า 11 ประเภทวิชา และจำนวนสาขาวิชาที่เปิดสอนกว่า 93 สาขาวิชา ซึ่งสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้หลากหลาย ปัจจุบันมีถึง 102 สาขาวิชา

“อาชีวศึกษาคือการเรียนในสิ่งที่ใช้ได้จริง นักเรียนสายอาชีวศึกษามีทั้ง ความรู้ และ ทักษะ ที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง ผ่านการเรียนรู้แบบฝึกฝนลงมือทำ จึงเกิดทักษะ ทั้ง Hard Skills และ Technical Skills”

นอกจากนี้ การที่ได้รับโอกาสในการฝึกฝนลงมือปฏิบัติทั้งในโรงเรียนและในสถานประกอบการ นักเรียนอาชีวะจึงได้พัฒนาทักษะและสมรรถนะสำคัญ (Soft Skills) ที่ไม่ใช่ทักษะอาชีพโดยตรงด้วย เช่น ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น การควบคุมอารมณ์ ความเข้มแข็งอดทน การรับมือกับความกดดันในโลกแห่งความเป็นจริง การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า มีความคิดสร้างสรรค์ การมีใจรักในการให้บริการ ซึ่งทักษะเหล่านี้เสริมความพร้อม และความชำนาญ ในการปฏิบัติงาน ซึ่งทำให้นายจ้างและผู้ประกอบการมั่นใจที่จะจ้างงานนักเรียนอาชีวะ เนื่องจากเชื่อมั่นว่านักเรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้เร็วและต่อยอดงานได้ทันที

อย่างไรก็ตาม อาชีวศึกษานั้นไม่ได้เรียนง่ายและไม่ได้ด้อยกว่าสายสามัญ โดยอาชีวศึกษาคือการเรียนในสิ่งที่ใช้ได้จริง และนักเรียนจะได้พัฒนาตัวเองในหลากหลายทักษะ ซึ่งเมื่อเรียนจบก็สามารถเป็นผู้ประกอบการหรือเติบโตในเส้นทางอาชีพของตนเองได้

แรงงานอาชีวะไทยเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศ

สำหรับแรงงานอาชีวศึกษาไทยมีเอกลักษณ์อันเป็นที่ยอมรับ และต้องการในตลาดแรงงานทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ลักษณะงานต้องใช้ทักษะฝีมือและความชำนาญสูง แรงงานอาชีวศึกษาไทยจะยิ่งมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ เช่น อุตสาหกรรมเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ อาชีพด้านการท่องเที่ยว การโรงแรม ศิลปกรรม และอาหาร

แรงงานอาชีวศึกษาไทยมีทักษะฝีมือดี จนบริษัทต่างชาติให้การยอมรับและจ้างไปทำงาน ซึ่งสิ่งที่แรงงานอาชีวะของไทยแตกต่างจากแรงงานอาชีวะจากประเทศอื่น ได้แก่ การมีความคิดในการประยุกต์อย่างสร้างสรรค์ สามารถนำองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิมมาประยุกต์หรือดัดแปลงใหม่ให้ตอบโจทย์บริบทของท้องถิ่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจอุตสาหกรรมที่เน้นการบริการ เช่น ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว แรงงานอาชีวะไทยจัดได้ว่ามีความโดดเด่นและเป็นที่ต้องการของตลาด

“เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ ส่งผลให้แรงงานไทยมีคุณลักษณะที่ส่งผลดีต่อการทำงานในสายอาชีพ เช่น การรับมือกับลูกค้าด้วยความสุภาพ นอบน้อม มีสัมมาคารวะกับรุ่นพี่หรือนายจ้าง เรามีความเป็นมิตรที่สร้างความรู้สึกอบอุ่น เป็นผู้ที่กินอยู่ง่าย ไม่คิดเล็กคิดน้อยในหน้าที่การทำงานและเงิน ”

ทั้งนี้แรงงานอาชีวศึกษาชาวไทยยังสามารถทำงานเกินเวลา หรือเกินหน้าที่ไปบ้าง โดยคิดว่าเป็นน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้นายจ้างประทับใจ และกลายเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากแรงงานชาติอื่น ๆ
จากจุดเด่นดังกล่าว หากนักศึกษาและแรงงานอาชีวะไทยได้รับการสนับสนุนโดยการเพิ่มทักษะความรู้เฉพาะทางของแต่ละสาขา รวมถึงการสื่อสารภาษาต่างประเทศ และการเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ จะทำให้นักเรียนและแรงงานอาชีวะไทยมีความโดดเด่นอย่างก้าวกระโดด

4 ปัญหาใหญ่ เป็นอุปสรรคนักเรียนอาชีวะไทย

งานวิจัยบ่งชี้ให้เห็นปัญหาและอุปสรรคหลายประการสำหรับนักเรียนอาชีวะ ตั้งแต่การเรียนอาชีวะ จนไปถึงการเข้าสู่ตลาดแรงงาน (เนื่องจากงานวิจัยนี้ดำเนินการศึกษาระหว่างเดือนธ.ค. 2563 – พ.ค. 2565 ซึ่งยังอยู่ในช่วงการระบาดของโควิด-19 )
ปัญหาด้านการเรียนการสอนอาชีวศึกษาในสถาบัน  
  • อุปกรณ์การเรียนการสอน อาทิ อุปกรณ์ไม่เพียงพอ ชำรุดหรือตกรุ่นไปแล้ว ไม่มีสื่อการสอนที่หลากหลายและเหมาะสม ไม่มีห้องปฏิบัติการจำลองการทำงานเสมือนจริง หรือมีแต่ไม่ครบถ้วน
  • หลักสูตร วิชาสามัญเน้นการท่องจำและสั่งงานมากกว่าวิชาหลักในสายอาชีพ รายวิชามีเนื้อหาไม่ได้รับการปรับปรุงให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง บางรายวิชามีเนื้อหาที่ยากเกินความจำเป็น ฯลฯ
  • ครู มีไม่เพียงพอ ไม่มีความเชี่ยวชาญในวิชาที่สอน ขาดทักษะทางเทคโนโลยี
  • ตัวนักเรียน เช่น ต้องทำงานพิเศษเพื่อหารายได้ ฯลฯ จนทำให้ขาดการเรียนรู้อย่างสมบูรณ์

ปัญหาการลาออกระหว่างเรียน มีหลายสาเหตุเกิดจากนักเรียนเพิ่งค้นพบในภายหลังว่าสาขาที่เลือกเรียนนั้นไม่ถนัด และไม่ตรงตามบุคลิกภาพ  หรือจริตนิสัยของตนเอง เนื่องจากความเข้าใจผิดและการไม่มีข้อมูล หรือความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาขาที่ตนเลือกมาเรียน ทำให้นักเรียนไม่ทราบถึงความชอบและความถนัดของตนเองอย่างแท้จริง รวมทั้งเกิดจากการตั้งครรภ์ระหว่างเรียน ปัจจัยทางด้านครอบครัวมีฐานะยากจนลำบาก และปัจจัยเกี่ยวกับครูหรือโรงเรียน

ปัญหาอุปสรรคที่แรงงานอาชีวศึกษาพบในช่วงการทำงาน หนีไม่พ้นเรื่องผลกระทบจากภาพลักษณ์ในแง่ลบของอาชีวศึกษา ทำให้ถูกตีตรา ถูกสบประมาทแบบเหมารวมตามภาพจำเกี่ยวกับนักเรียนอาชีวศึกษา รวมทั้งถูกลดทอนคุณค่าว่าด้อยกว่าคนที่จบสายสามัญและมหาวิทยาลัย
ปัญหาเรื่องวุฒิการศึกษา เช่น วุฒิที่ได้ หรือสาขาที่เรียนไม่ตรงกับความต้องการตลาด และไม่ตรงกับวุฒิที่ประกาศรับสมัครงาน วุฒิที่ได้รับจากอาชีวศึกษามักไม่เพียงพอให้สามารถเลื่อนตำแหน่งสูง ๆ ต้องอาศัยการพิสูจน์ตัวเองอย่างมาก และผลกระทบจากนายจ้าง เช่น ถูกกดเงินเดือน เนื่องจากนายจ้างไม่มั่นใจว่าจะมีทักษะความรู้มากพอที่จะทำงานได้ หรือ นายจ้างคาดหวังสูงว่านักเรียนอาชีวศึกษาจะทำงานเป็นทุกอย่าง เป็นต้น
อย่างไรก็ตามแม้จะมีอุปสรรคดังกล่าว แต่นักเรียนและแรงงานอาชีวศึกษาจำนวนไม่น้อยก็พยายามพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้แหล่งข้อมูลความรู้หลายช่องทาง ทั้งการใช้สื่อออนไลน์ เช่น กูเกิล (Google), ยูทูบ (YouTube), อ่านตำรา เอกสาร หนังสือ, สอบถามครูอาจารย์, รุ่นพี่ที่โรงเรียนหรือที่ทำงาน, หัวหน้างาน และเพื่อนในสาขาอาชีพเดียวกันที่ทำงานอยู่คนละที่
เนื่องจากนักเรียนอาชีวะมองว่าการเข้าร่วมการแข่งขันทักษะฝีมือต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นระดับจังหวัด ภาค ประเทศ หรือระดับระหว่างประเทศ เป็นช่องทางในการพัฒนาตนเองได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการใช้ช่องทางออนไลน์ในการสร้างสังคมการเรียนรู้ เช่น การสร้างกลุ่มไลน์ (LINE Group) หรือกลุ่มเพจเฟซบุ๊ก (Facebook Page Group) เพื่อการรวมตัวกันของช่างในแต่ละสาขา

เร่งส่งเสริมภาพลักษณ์ “อาชีวศึกษา” สะท้อนบทบาทที่สำคัญ

ข้อเสนอโดยภาพรวมที่จะช่วยให้อาชีวศึกษาไทยพัฒนาไปได้มากกว่านี้ และสามารถส่งเสริมภาพลักษณ์ของอาชีวศึกษาให้ดียิ่งขึ้นในสังคม ดังนี้
  • สร้างสถาบันอาชีวศึกษาเฉพาะทางของสาขาอาชีพและพัฒนาให้โดดเด่น ได้มาตรฐานนานาชาติและมีชื่อเสียงระดับโลก
  • เพิ่มการออกข่าวในด้านดีและความสำเร็จของนักเรียนและแรงงานอาชีวศึกษาให้มากขึ้น เพื่อให้คนในสังคมเห็นความสามารถของนักเรียนอาชีวศึกษาในแขนงต่าง ๆ รวมทั้งการนำผลงานของนักเรียนที่ไปประกวดชนะการแข่งขันในระดับต่าง ๆ มานำเสนอให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงประชาชน ผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบที่ไม่ใช่แค่ข่าวโทรทัศน์ อาจจะเป็นสื่อในรูปแบบละคร ภาพยนตร์ ซีรีส์ต่าง ๆ ที่สอดแทรกบทบาทของอาชีวศึกษาในทางสร้างสรรค์ให้มากขึ้น
  • มีระบบการดูแลสนับสนุนกลุ่มนักเรียนที่มีฝีมือหรือเคยชนะการประกวดได้รางวัลให้ได้ทำงานกับองค์การระดับต้น ๆ ของไทย หรือให้ทุนไปดูงานในต่างประเทศเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้นำความรู้มา   ต่อยอดได้
  • สร้างความผูกพันระหว่างอาชีวศึกษากับชุมชน ผ่านการส่งเสริมให้อาชีวศึกษากับชุมชนร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่ของตนเอง
สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับภาครัฐและเอกชน ในด้านงบประมาณ รัฐควรให้การสนับสนุนสถาบันอาชีวศึกษาทั้งในด้านงบประมาณ อุปกรณ์การเรียนการสอนที่จำเป็นและมีความทันสมัย ตลอดจนให้ทุนการศึกษา
ขณะที่ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอน ควรให้ความสำคัญกับการสอนภาษาต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเน้นให้นักเรียนสามารถสื่อสารได้จริง โดยเฉพาะทักษะการพูด สนับสนุนการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะที่หลากหลายและตอบโจทย์ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 มากขึ้น ทั้งนี้ หลักสูตรอาชีวศึกษาควรมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ ควรให้สถานประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรและมาเป็นวิทยากรพิเศษสอนนักเรียนในสถาบันอาชีวศึกษา
โดยการเรียนรู้ด้วยการทำโครงงาน และการเรียนรู้โดยการแก้ปัญหาเป็นฐาน จะช่วยให้นักเรียนรู้จักเชื่อมโยงความรู้จากหลากหลายวิชา และพัฒนาทักษะอื่น ๆ โดยครูต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงหรือผู้อำนวยการเรียนรู้ ไม่ควรสอนให้นักเรียนทำเป็น หรือใช้งานอุปกรณ์เป็น เพียงอย่างเดียว แต่ควรสอนให้เข้าใจหลักการและภาพกว้างของงานทั้งหมด การคิดวิเคราะห์ วางแผน แก้ไขปัญหา และกระตุ้นให้นักเรียนนำหลักการไปคิดต่อยอดองค์ความรู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน และสถาบันอาชีวศึกษา ควรร่วมมือกันสร้างระบบที่เป็นโปรแกรมพัฒนาและดูแลนักเรียนอาชีวะผู้มีศักยภาพ  ซึ่งจะช่วยทำให้สามารถติดตามแรงงานอาชีวศึกษาที่ประสบความสำเร็จให้กลับมาเป็นรุ่นพี่ที่ให้ข้อมูลรุ่นน้อง เป็นการสร้าง Role Model สร้างแรงจูงใจจากผู้ประสบความสำเร็จจริง และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับอาชีวศึกษาได้อีกทางหนึ่งด้วยสื่อสาร เพิ่มความเข้าใจอาชีวศึกษาไทย
สุดท้ายเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง คือ รัฐบาลและสถานศึกษา ควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาต่อในระดับอาชีวศึกษาที่ถูกต้องและครอบคลุม ควรมีการให้ข้อมูลเรื่องหลักสูตรการศึกษา รายละเอียดการเรียนการสอน โอกาสในการมีงานทำ โอกาสในการพัฒนาศักยภาพ และโอกาสในการศึกษาต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูมัธยมศึกษา ครูแนะแนวควรมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาขาและการเรียนอาชีวศึกษา เพื่อที่จะให้คำแนะนำกับนักเรียนได้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ทำให้นักเรียนเลือกเรียนผิดสาขาหรือไม่ตรงกับความชอบความถนัดของตนเอง
ดังนั้นการสะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ที่แท้จริงของอาชีวศึกษาไทยอย่างลึกซึ้งจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งผู้ที่มีบทบาทด้านสื่อสามารถนำข้อมูลจากงานวิจัยนี้ไปใช้เพื่อทำให้สังคมไทยมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอาชีวศึกษาอย่างไม่มีอคติหรือภาพการเหมารวม อันจะนำไปสู่การปรับภาพลักษณ์ใหม่ ให้กับอาชีวศึกษาในอนาคต
ที่มา : งานวิจัย “การพัฒนาศักยภาพและเอกลักษณ์แรงงานอาชีวศึกษาไทยใน 3 อุตสาหกรรมหลัก: การวิเคราะห์ผ่านแผนที่เส้นทางการก้าวเข้าสู่แรงงานอาชีวศึกษาไทย ภายใต้แนวคิดความปกติใหม่”  โดย รศ.ดร. จุลนี เทียนไทย ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ค่าแรงขั้นต่ำ

รัฐบาลตั้งเป้าหมายจะปรับค่าแรงขั้นต่ำให้เหมาะสมต่อการใช้จ่าย โดยเบื้องต้นตั้งเป้าหมายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันให้เร็วที่สุด (จากการเจรจาระหว่าง 3 ฝ่าย ได้แก่ แรงงาน ผู้ว่าจ้าง และรัฐบาล เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน) และขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเป็น 600 บาทต่อวัน และเงินเดือนวุฒิปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 2570

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: