ธนาคารโลก ออกรายงาน EAST ASIA AND THE PACIFIC ECONOMIC ประจำเดือนเม.ย. 2567 โดยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการส่งออกและลงทุนภาครัฐชะลอตัว
การเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและปัญหางบประมาณล่าช้า ในขณะที่เงินเฟ้อยังติดลบ เพราะราคาพลังงานและอาหารปรับลดลง จากมาตรการอุดหนุนเชื้อเพลิง ส่วนการบริโภคภาคเอกชนและท่องเที่ยว คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ในปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.9% ฟื้นตัวจากปีก่อน แต่ยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน อย่างมาเลเซียและฟิลิปปินส์ เพราะอุปสงค์จากภายนอกชะลอตัวและเผชิญกับปัญหาภายในจากความบ่าช้าของงบประมาณรายจ่าย ทำให้การลงทุนสาธารณะชะลอตัว
ในปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว จากการบริโภคภาคเอกชนและท่องเที่ยว แต่ความเสี่ยงจากเพิ่มขึ้น หากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตออกมา โดยโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่หนี้สาธารณะของประเทศจะเพิ่มขึ้น
เงินเฟ้อต่ำเพราะรัฐอุดหนุนพลังงาน
ส่วนอัตราเงินเฟ้อของไทยยังคงต่ำสุดในอาเซียน ส่วนหนึ่งเพราะว่ามาตรการสนับสนุนพลังงานยังมีต่อเนื่อง และราคาพลังงานโลกปรับลง
ในระยะกลาง ไทยจะเชิญกับความท้าทายจากงบประมาณายจ่ายเพิ่มขึ้น จากสังคมสูงวัย ปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการดำเนินนโยบายจำเป็นต้องเตรียมตัวสำหรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยศักยภาพที่แท้จริงจะอยู่ที่การปปฏิรูปโครงสร้าง และสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในเพื่อผลักดันสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเป็นอุปสรรคสำคัญในการลดปัญหาความยากจน
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย
แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยช้ากว่าเพื่อนบ้านในอาเซียน เพราะภาคผลิตและการลงทุนภาครัฐลดลง แม้ว่าการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตังได้
ในปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.9% ลดลงจาก 2.5% จากปีก่อนหน้า การฟื้นตัวภาคผลิตยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อน 14% ส่วนภาคส่งออกหดตัว แม้ว่าจะน้อยกว่าประเทศในอาเซียน โดยในปี 2566 ภาคส่งออกหดตัว 1.7% ลดลงจากปีก่อนที่ 5.4%.
การหดตัวเกิดจากการส่งออกลดลง รวมทั้งภาคอุตสาหรกรรมการเกษตร อาร์ดดิสค์ พลาสติก และเหล็ก ขณะที่ภาคเกษตรและยานยนต์ขยายตัว
ค่าเงินบาทยังคงมีเสถียรภาพ ส่วนบัญชีเดินสะพัดเกินดุล แม้ว่าเงินทุนจะไหลออก ในเดือนธ.ค. ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินแตะระดับ 5% ของจีดีพี โดยในไตรมาส 4 ทุบสถิติเกินดุล 1.2% ของจีดีพี โดยได้อานิสงส์จากเกินดุลการค้า
คาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเร่งตัวจาก 1.9% ในปี 2566 มาอยู่ที่ 2.8% ในปี 2567 โดยคาดการณ์ในปีนี้จะน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้น เพราะส่งออกและการลงทุนภาครัฐลดลง ในขณะที่ท่องเที่ยวและการบริโภคเอกชนยังเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ส่วนส่งออกคาดว่าจะขยายตัวได้ตามเศรษฐกิจโลก แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัว
ภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจะกลับเข้าสู่ช่วงก่อนโควิดในกลางปี 2586 ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะถึง 90% ของก่อนโควิดในปี 2567 ส่วนนักท่องเที่ยวจีนจะถึง 62% ของช่วงก่อนโควิด
ดิจิทัลวอลเล็ตกระตุ้นได้ระยะสั้น
การลงทุนภาครัฐจะชะลอตัวจากงบประมาณรายจ่ายล่าช้า ส่วนหนี้สาธารณะคาดว่าจะอยู่เหนือระดับ 60% ของจีดีพีเล็กน้อย โดยยังไม่นับรวมหนี้จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งโครงการนี้อาจจะกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นได้ราว 1% ของจีดีพี
อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 1% เพราะการอุดหนุนพลังงานและราคาพลังงานโลกลดลง ขณะที่ราคาอาหารและเงินเฟ้อพื้นที่ยังเป็นบวก โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ
แต่ดิจิทัลวอลเล็ตอาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากการจับจ่ายใช้สอย แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นจากความเสี่ยงด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และส่งผลต่อราคาน้ำมันขยับขึ้น ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันเป็นหลัก
ด้านดลบัญชีเดินสะพัดจะอยู่ที่ 1.3% ของจีดีพีในปี 2567 จากปัจจัยหนุนมาจากการค้าระหว่างประเทศ และราคาพลังงานลดลง เนื่องจากไทยส่วนใหญ่นำเข้าน้ำมัน
อ่านเพิ่มเติม: