เมื่อหลายสิบปีก่อน บรรดาผู้ประกอบการไทยต่าง “ดูถูก” สินค้าจากจีน ในเรื่องของคุณภาพ ซึ่งแม้จะมีราคาที่ถูก แต่เชื่อว่าในที่สุดแล้วผู้บริโภคก็จะหันมาซื้อสินค้าไทยที่มีคุณภาพมากกว่า กลับมาที่ปัจจุบัน จากนโยบาย “Made In China” ที่รัฐบาลจีนสนับสนุนให้ผู้ประกอบการจีนพัฒนาคุณภาพสินค้า จนสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกและทำให้สินค้าจีนผงาดขึ้นเป็นทางเลือกของผู้บริโภคทั่วโลกได้
การปรับตัวครั้งใหญ่ของจีน ทำให้สินค้าจากจีนสามารถแข่งขันด้านคุณภาพได้ แต่สินค้าจีนยังคงได้เปรียบเทียบคือ ราคาถูกกว่าคู่แข่ง และยิ่งเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาชะลอตัว ทำให้ผู้ประกอบการจีนต้องเร่งขยายตลาดในต่างประเทศ ซึ่งไทยเป็นอีกตลาดที่เริ่มนิยมสินค้าจากจีนมากขึ้น
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบจากสินค้าจีน โดยระบุว่าไทยมีการนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการป้องกันที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทย
จากการวิเคราะห์ของสศช. ระบุว่า “แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนตามการชะลอตัวของการลงทุนและการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ส่งผลให้สินค้าคงคลังภาคอุตสาหกรรมของจีนยังคงอยู่ในระดับสูง และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ผลิตสินค้าของจีนต้องส่งออกสินค้ามายังประเทศต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อชดเชยกับกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอลง”
การส่งออกสินค้าของจีน ส่งผลให้ในหลายประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งประเทศไทยมีการนำเข้าจากจีนมากกว่ามูลค่าการส่งออกไปจีน โดยมีอัตราเร่งตัวขึ้น จนส่งผลกระทบให้มีแนวโน้มการขาดดุลการค้าต่อจีนมากขึ้น
สำหรับไทย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าจากจีนมายังไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ที่ไทยมีการนำเข้าจากจีน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เร่งขึ้นจากร้อยละ 0.1 ใน ปี 2566 ซึ่งจะเห็นได้ว่าปริมาณการส่งออกสินค้าจากจีนมายังไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ราคาต่อหน่วยลดลง ในหลายหมวดสินค้าที่สำคัญ ได้แก่ (1) กลุ่มสินค้าวัตถุดิบขั้นกลางอาทิเหล็ก โลหะ และผลิตภัณฑ์ (เช่น ผลิตภัณฑ์แผ่นรีด, เหล็กท่อน และเหล็กเส้น) สินค้าเล็กทรอนิกส์ (เช่น เครื่องโทรศัพท์ และเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ) สินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ พลาสติก และยาง (เช่น สารฆ่าแมลง, แผ่นฟิล์ม และฟอยล์พลาสติก) (2) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (เช่น เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และของเล่น) และ (3) กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร (เช่น ผักแช่แข็ง และผลไม้และถั่วแช่แข็ง)
นอกจากนี้ พบว่ามีบางสินค้าจากจีนที่เห็นสัญญาณการส่งออกมายังไทยมากขึ้นต่อเนื่อง โดยอัตราการขยายตัวของปริมาณการส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้นและมูลค่าต่อหน่วยปรับตัวลดลงจากช่วงก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง อาทิ มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ฟอยล์อะลูมิเนียม เครื่องใช้ในบ้านเรือนทำด้วยพลาสติก และเครื่องซักผ้า
จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ภายหลังจากปี 2565 เป็นต้นมา สถานการณ์การส่งออกสินค้าจากจีนมายังไทยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการแพร่หลายของแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากของตลาดในไทย ตลอดจนอัตราค่าขนส่งภายในประเทศที่ราคาไม่สูงนักเนื่องจากทางเลือกที่มากขึ้นของบริษัทขนส่งสินค้า
แม้ว่าการเข้ามาของสินค้าจากจีนจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคที่สามารถมีทางเลือกในการซื้อสินค้าได้ในราคาถูก แต่หากมองในมุมของผู้ประกอบการไทยพบว่ามีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในส่วนของความท้าทายด้านต้นทุนการผลิตสินค้าขั้นกลางของผู้ประกอบการไทยที่สูงกว่าสินค้านำเข้าจากจีนโดยเปรียบเทียบ รวมถึงการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคให้กับสินค้าราคาถูกจากจีน ซึ่งส่งผลต่อผลประกอบการ และอาจจะส่งผลกระทบกับขีดความสามารถของประเทศในระยะถัดไป
ในส่วนของภาครัฐนั้น ได้มีการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์และผลกระทบดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยในช่วงที่ผ่านมา มีการบังคับใช้มาตรการ อาทิ การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 สินค้านำเข้าที่ราคาต่ำกว่า 1,500 บาท การเข้มงวดสินค้านำเข้าต้องผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สินค้านำเข้าต้องมีคำอธิบายภาษาไทย และการตรวจสอบการขออนุญาตประกอบธุรกิจคลังสินค้าทัณฑ์บน และการถือหุ้นของบริษัท ไม่ให้มีการทำผิดกฎหมายหรือผิดวัตถุประสงค์
นอกจากนี้ มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) และมาตรการตอบโต้การหลีกเลี่ยงการทุ่มตลาด (AC) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่ามาตรการ AD ที่มีการบังคับใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกลุ่มสินค้าเหล็ก โลหะ และผลิตภัณฑ์ คิดเป็นประมาณ 12 ผลิตภัณฑ์ จาก 13 ผลิตภัณฑ์ (ยกเว้นกรดซิตริก) จากจำนวนสินค้าทั้งหมด (แผนภาพที่ 1) และเมื่อพิจารณาการบังคับใช้มาตรการ AD รายประเทศ พบว่าประเทศที่ไทยมีการบังคับใช้มาตรการ 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) จีน (12 ผลิตภัณฑ์) (2) เกาหลีใต้ (7 ผลิตภัณฑ์) และ (3) ไต้หวัน และเวียดนาม (5 ผลิตภัณฑ์) ขณะที่มาตรการ AC ที่พึ่งมีการบังคับใช้ไปเมื่อ 1 สิงหาคม 2567 ก็เป็นสินค้าในกลุ่มเหล็กแผ่นรีดร้อนจำนวน 17 ชนิด (ตาม HS Code 11 หลักของสินค้าในกลุ่มดังกล่าว) โดยมีการบังคับใช้กับประเทศจีนเพียงประเทศเดียวเท่านั้น
ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบแก่ผู้ประกอบการภายในประเทศจากสถานการณ์การเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับมาตรการติดตาม กำกับ และดูแลกระบวนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เพื่อให้มีการแข่งขันด้านราคาอย่างเป็นธรรม และส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ
สศช. แนะว่ารัฐบาลควรมุ่งเน้นใน 5 เรื่องสำคัญ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจของไทย
(1) การตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุ่มตลาดและวิธีการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากประเทศผู้ส่งออกสำคัญอย่างเข้มงวด รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการภาคธุรกิจให้สามารถเข้าถึงการดำเนินมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD/AC)
(2) การปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าให้มีความเข้มงวดรัดกุมมากขึ้นการเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมสินค้านำเข้า รวมทั้งการส่งเสริมการสร้างความร่วมมือในการจัดทำความตกลงยอมรับร่วมด้านมาตรฐานระหว่างประเทศ และการเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ที่นำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน
(3) การดำเนินการอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำความผิดลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมาย หลบเลี่ยงภาษี หรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ
(4) การดูแลและบริหารจัดการระบบและกลไกราคาสินค้าให้เป็นธรรมกับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค เช่น การพัฒนาช่องทางการร้องเรียนที่ทันสมัย รวดเร็ว และหลากหลาย สร้างกระบวนการรับและแก้ไขข้อร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว สร้างระบบการชดเชยที่เป็นธรรมให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหาย ตลอดจนติดตามและประเมินประสิทธิภาพของระบบการแก้ไขปัญหาและข้อร้องเรียนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงระบบให้ดียิ่งขึ้น
(5) การส่งเสริมการสร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ในการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ