เมื่อสภาพอากาศแปรปรวน การจัดการภัยพิบัติก็ยังผันผวน ความเสียหายเกิดขึ้นบ่อยและหนักหน่วงมากกว่าที่เคย
งบกลางที่ถูกใช้ไปกับการเยียวยากำลังสูงลิ่ว โดยปี 2567 พุ่งสูงถึง 22,000 ล้านบาท นี่คือสัญญาณเตือนถึงต้นทุนมหาศาลที่สังคมจะต้องแบกรับ
ไม่ใช่แค่เพียงตัวเลขงบประมาณ แต่ยังรวมถึง ชีวิต ทรัพย์สิน และขวัญกำลังใจ ของผู้คนในพื้นที่ที่ต้องเผชิญกับวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า
Policy Watch – The Active ไทยพีบีเอส พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญและคนทำงานจากหลากหลายศาสตร์ ได้มาร่วมทบทวนสถานการณ์ แลกเปลี่ยนมุมมอง และเชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน เพื่อออกแบบระบบการจัดการและป้องกันภัยพิบัติอย่างยั่งยืน ใน “Policy Forum : พร้อมไหม ? นโยบายรับมือ ‘ภัยพิบัติสุดขั้ว’
ภาวะภัยพิบัติสุดขั้ว ยากต่อการคาดการณ์
“ปริมาณฝนที่ตกเพียง 1-2 วัน แต่มีปริมาณสูงเทียบเท่าทั้งปี คือสัญญาณชัดเจนว่าโลกเข้าสู่ยุคภัยพิบัติสุดขั้ว ซึ่งเราไม่อาจคาดการณ์ความรุนแรง จึงต้องเตรียมพร้อมรับมือและระวัง”
กนกศรี ศรินนภากร นักวิจัย และรักษาการหัวหน้าภูมิอากาศและสภาพอากาศ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
เธอ อธิบายถึงความน่ากังวลของภัยพิบัติสุดขั้วว่า เกณฑ์ฝนตกหนักสูงสุดที่กรมอุตุนิยมวิทยาใช้คือ 90 มิลลิเมตรต่อวัน แต่สถานการณ์ปัจจุบันพบปริมาณฝนในกรณีสุดขั้วสูงถึง 500–900 มิลลิเมตรต่อวัน ซึ่งทะลุสถิติความน่าจะเป็นที่เคยเก็บข้อมูลย้อนหลังมา 30 ปี
แม้น้ำท่วมหาดใหญ่จะหนักหน่วง แต่ไม่ได้ทำให้ค่าเฉลี่ยฝนทั้งปีแตกต่างจากปีที่ผ่าน ๆ มามากนัก แต่ “ภาวะฝนตกหนักเฉพาะจุด” ที่รุนแรงและถี่ขึ้น คือโจทย์ใหม่ที่ยากต่อการคาดการณ์

กนกศรี ศรินนภากร นักวิจัย และรักษาการหัวหน้าภูมิอากาศและสภาพอากาศ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
ด้าน สมหมาย เตชวาน อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี วิเคราะห์สภาพทางกายภาพของหาดใหญ่ต่อว่า มีลักษณะเป็น “ที่ราบลุ่มแอ่งกระทะ” ที่ถูกล้อมด้วยภูเขาทางทิศตะวันออกและทิศใต้ เมื่อฝนตกสะสมเกือบ 900 มิลลิเมตร น้ำจึงไหลมารวมกันที่แอ่งนี้
ขณะที่ระบบระบายน้ำหลักอย่างคลอง ร.1 รองรับได้เพียง 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่น้ำจริงพุ่งสูงถึง 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ประกอบกับภาวะน้ำทะเลหนุนและระดับน้ำในทะเลสาบสงขลาที่สูงขึ้น ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำย้อนกลับ (Back Water) กลายเป็นปัจจัยซ้ำเติมที่ทำให้เมืองหาดใหญ่จมบาดาล
ปรากฏการณ์นี้เป็นทั่วโลกและกำลังกลายเป็นความ “ปกติใหม่” ซึ่งพบข้อมูลความเชื่อมโยงทางธรณีวิทยาที่น่าสนใจว่า อุณหภูมิน้ำทะเลที่อุ่นขึ้นจากการไหลของลาวาใต้ทะเลในบางบริเวณ ทำให้เกิดเมฆและความชื้นสูงขึ้น นำไปสู่ปรากฏการณ์ฝนแช่ (Stationary Heavy Rain) หรือระเบิดฝน (Rain Bomb) ที่รุนแรง จนระบายน้ำไม่ทัน

สมหมาย เตชวาน อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี
มีระบบ–เทคโนโลยี แต่ทำไม ? การเตือนภัยยังเปราะบาง
ในยุคที่ “โลกรวน” จนสถิติเดิมใช้ไม่ได้ การแจ้งเตือนภัยกลายเป็นเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย แม้ปัจจุบันหน่วยงานหลักจะพยายามยกระดับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น
สถานบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ที่มีระบบจำลองระดับน้ำท่วม, สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กับแบบจำลองสำหรับบริหารจัดการน้ำในภาพรวม หรือกรมชลประทาน ที่มีแบบจำลองการระบายน้ำและการทำแผนเผชิญเหตุในกรณีวิกฤต กรณีเขื่อนแตกหรือน้ำล้นตลิ่ง
ทว่าในทางปฏิบัติกลับพบว่า ยังมีช่องว่างที่ทำให้การเตือนภัยล่าช้า หรือบางครั้งก็ไปไม่ถึงประชาชน
โดยเริ่มตั้งแต่ “ข้อมูลต้นทาง” ที่ขาดหาย เมื่อสถานีวัดน้ำหรือโทรมาตรทั่วประเทศ 5,000 จุด ใช้ได้จริงเพียง 2,000 จุด เนื่องจากขาดงบประมาณบำรุงรักษา ที่มักสะดุดตามรอบการเปลี่ยนรัฐบาลหรืองบประมาณที่มาช้ากว่าพายุ
ซ้ำร้าย “แบบจำลอง” ส่วนใหญ่ถูกคำนวณตามสภาพภูมิศาสตร์เดิม ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่กายภาพเมืองเปลี่ยนอยู่ตลอด (Dynamic) จากการก่อสร้างถนนขวางทางน้ำ การถมที่ดิน หรือการกั้นกำแพง รวมถึงปัจจัยหน้างานอย่างขยะมหาศาลที่อุดตันทางระบายน้ำ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ทิศทางน้ำเปลี่ยนไปหรือไหลล้นตลิ่งในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์คาดไม่ถึง
นอกจากนี้ วรภัต ธรรมประทีป ผู้อำนวยการกองวิจัย พัฒนา และอุทกวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ ยังชี้ให้เห็นว่า “ช่องโหว่” ของระบบ ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึง “กระบวนการตัดสินใจ” ของฝ่ายปกครอง
โดยพบว่าเมื่อข้อมูลระดับน้ำถูกส่งถึงหน่วยงานกลาง อย่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และระดับจังหวัด ผู้มีอำนาจตัดสินใจมักนำภาพน้ำท่วมในอดีตมาเทียบ เช่น “น้ำท่วมเพียง 50 ซม. ไม่น่ากังวล” โดยลืมคำนวณว่า ในสภาวะภัยพิบัติสุดขั้ว ปริมาณฝนสะสมที่ค้างอยู่บนเขาอาจมหาศาลกว่าปกติหลายเท่า
ขณะเดียวกันระบบบัญชาการแบบรวมศูนย์ (Single Command) ที่ควรจะรวดเร็ว กลับล่าช้าจากการต้องรอรายงานตามโปรโตคอลจากระดับอำเภอไปถึงรัฐมนตรี ทำให้การสั่งการไม่ทันต่อความเร็วของน้ำในสภาวะสุดขั้ว ที่อาจพุ่งถึง 2,000-3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เกิดเป็นความโกลาหลและประชาชนไม่รู้จะต้องฟังใคร
“ดินถล่ม” ภัยที่ยังไร้เจ้าภาพและขาดกฎหมาย
การแจ้งเตือนในที่ราบยังเต็มไปด้วยอุปสรรค สถานการณ์ “ดินถล่ม” ในพื้นที่สูงยิ่งน่ากังวลมากกว่า
เพราะนี่คือภัยเงียบที่มาพร้อมกับฝนสุดขั้ว แต่กลับขาดแคลนทั้งกฎหมายและหน่วยงานโดยตรงที่จะป้องกันภัย
โดย รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า ในขณะที่น้ำท่วมเรายังพอมีเวลาเห็นระดับน้ำค่อย ๆ สูงขึ้น แต่ดินถล่มมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง โดยเฉพาะในยุคภัยพิบัติสุดขั้ว ที่ฝนตกหนักแช่ตัวอยู่บนภูเขา จนดินอาจอุ้มน้ำไม่ไหวและพังทะลายทันที ซึ่งปัจจุบันมีคนบนพื้นที่สูงนับล้านคนที่เสี่ยงภัยและยังไม่มีระบบป้องกันที่ยั่งยืน
“มีคนหลักล้านคนบนพื้นที่สูงที่ไม่รู้วิธีต่อสู้ ได้แต่เฝ้าระวังและวิ่งหนี คำถามคือเราจะปล่อยให้พวกเขาหนีกันอย่างนี้อีก 100 ปีหรืออย่างไร? นี่คือเหตุผลว่าทำไมการจัดการภัยพิบัติเฉพาะถิ่นถึงสำคัญ เพราะจำนวนคนที่เสี่ยงมีมาก และพวกเขาอยู่ในจุดที่เปราะบางที่สุด”
รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชุมชนต้องการ “โซ่ข้อกลาง” ย่อยองค์ความรู้ รับมือภัยพิบัติสุดขั้ว
ในมิติของคนที่อยู่หน้างาน นภฉัฐ กันทะวงค์ นักวิชาการส่งเสริมและพัฒนา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ซึ่งดูแลชุมชนบนพื้นที่สูงกว่า 4,000 หย่อมบ้าน เล่าให้ฟังว่า แม้ส่วนกลางจะมีการแจ้งเตือนภัย แต่ชุมชนซึ่งเป็น “ผู้ใช้ข้อมูล” กลับยังขาดความเข้าใจในรายละเอียด
“ชุมชนไม่รู้เลยว่าลักษณะดินที่เขาอยู่เสี่ยงแค่ไหน หรือบ้านของเขาตั้งอยู่ใต้ร่องเขาที่เป็นทางผ่านของมวลน้ำหรือไม่ ความไม่รู้เหล่านี้คือข้อจำกัดสำคัญในการรักษาชีวิต”
นภฉัฐ กันทะวงค์ นักวิชาการส่งเสริมและพัฒนา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
สวพส. ที่มีหน้าที่ส่งเสริมเกษตรกรรม จึงปรับบทบาทจากหน่วยงานส่งเสริมอาชีพ มาเป็น “โซ่ข้อกลาง” เพื่อย่อยข้อมูลวิชาการให้กลายเป็นมาตรการเฝ้าระวังระดับหมู่บ้าน
เนื่องจากการส่งเสริมอาชีพจะไม่สามารถบรรลุผลได้ หากชุมชนยังต้องเผชิญกับภัยพิบัติซ้ำซาก เพราะเมื่อบ้านเรือนถูกทำลาย สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นวัฏจักรแห่งความเปราะบางที่ทำให้การทำงานต้องหยุดชะงัก
นอกจากปัญหาด้าน “องค์ความรู้” และ “ความเปราะบางของชีวิต” นักวิชาการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง ยังชี้ให้เห็น “ข้อจำกัดของกฎหมาย” ที่ยังเป็นอุปสรรค
โดยยกกรณีศึกษา บ้านดอยแหลม จ.เชียงใหม่ ที่เคยเกิดเหตุดินถล่มจนมีผู้เสียชีวิตนับ 10 ราย แม้จุดเริ่มต้นของความสูญเสียส่วนหนึ่งจะเกิดขึ้นมาจากความไม่รู้ในการป้องกันและรับมือจากภัยพิบัติ แต่เมื่อชาวบ้านพยายามเรียนรู้และต้องการย้ายไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย หลังเกิดเหตุ พวกเขากลับต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางกฎหมายมาตรา 64 ในเขตพื้นที่อนุรักษ์ ที่ทำให้พวกเขาไม่มีสิทธิในที่ดินและไม่สามารถโยกย้ายได้
“นภฉัฏ” จึงเสนอให้มีการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานที่คลุกคลีกับชุมชน เข้ากับหน่วยงานหลัก อย่างกรมทรัพยากรธรณี หรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อยกระดับการจัดการภัยพิบัติเฉพาะถิ่น (Area-based) และขยายการเข้าถึงให้ครอบคลุมคนบนดอยหลักล้านคนได้อย่างแท้จริง

นภฉัฐ กันทะวงค์ นักวิชาการส่งเสริมและพัฒนา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
ปภ.มุ่งส่งเสริมชุมชนเป็นฐาน ฟื้นคืนเมืองให้ดีกว่าเดิม
ในมิติของหน่วยงานกลางที่ต้องบริหารจัดการความปลอดภัยท่ามกลางความท้าทายของภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป ปาลิดา พัวพันธุ์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้สะท้อนมุมมองการทำงานว่า ปภ.ไม่ได้ทำงานอย่างโดดเดี่ยว แต่มีหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องถึง 91 หน่วยงาน โดยแบ่งภารกิจหลักเป็น 3 ระยะ
- ระยะก่อนเกิดเหตุ: มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้หน่วยงานรัฐและเครือข่ายวิชาการ รวมถึงการซ่อมบำรุงทรัพยากรให้ทันสมัย (Update) ตลอดเวลา
- ระยะระหว่างเกิดเหตุ: ดำเนินการตาม “พ.ร.บ. ปภ.” และแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยมีมาตรฐานการเผชิญเหตุระดับสากล
- ระยะหลังเกิดเหตุ (ฟื้นฟู): เน้นการเยียวยาที่รวดเร็ว เช่น การจ่ายเงินทดรองภายใน 3 เดือน เพื่อให้เมืองกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ปกติโดยเร็ว
ประเด็นสำคัญที่ ปภ. ผลักดันคือการฟื้นฟูระยะยาวที่ต้อง “ดีกว่าเดิม” โดยจะเลิกใช้ความรู้สึก หรือสถิติเก่า ๆ มาตัดสินใจ แต่จะเปลี่ยนมาใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science-Based Policy) ที่พิสูจน์ได้และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ มาประเมินความเสียหายเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียซ้ำซากในจุดเดิม
รวมถึงการให้ความสำคัญกับการสร้างวิทยากรและความรู้ลงสู่ระดับหมู่บ้าย เพื่อให้แต่ละชุมชนมี “แผนที่เสี่ยงภัย” ของตัวเอง เพราะในพื้นที่เสี่ยงกว่า 7,000 จุดทั่วประเทศ การรอความช่วยเหลือจากส่วนกลาง อาจไม่ทันการณ์ในสภาวะสุดขั้ว

ปาลิดา พัวพันธุ์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
บทเรียนจากต่างแดน ทลายกำแพงหน่วยงานสู่การจัดการครบวงจร
ในวันที่อุปกรณ์และเครื่องมือที่มียังติดกับดัก “ข้อมูล” ที่ไม่สอดคล้องกับปัจจุบัน และระบบสั่งการยังถูกพันธนาการด้วยระเบียบ คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยถึงเวลามี “หน่วยงานเจ้าภาพ” ที่มองภาพรวมแบบบูรณาการแล้วหรือยัง ?
หากมองไปที่ประเทศต้นแบบการจัดการภัยพิบัติอย่าง “ญี่ปุ่น” พวกเขาเลือกที่จะทลายกำแพงระหว่างหน่วยงานด้วยการจัดตั้งกระทรวงที่มีชื่อว่า Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism (MLIT) ฟังดูอาจแปลกที่เอาเรื่องที่ดิน คมนาคม สาธารณูปโภค และการท่องเที่ยว มาไว้ในกระทรวงเดียวกัน แต่ความจริงแล้ว ทั้ง 4 เรื่องนี้คือวงจรเดียวกันทั้งหมด
“การมีที่ดินที่ปลอดภัย จะทำให้ชุมชนต่อยอดไปสู่อาชีพที่มั่นคงได้ และเมื่อรากฐานดี เศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยวจะเดินหน้าต่อไปได้”
นภฉัฐ กันทะวงค์ นักวิชาการส่งเสริมและพัฒนา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
ญี่ปุ่นใช้โครงสร้างนี้ สร้าง “แผนที่เสี่ยงภัยระดับครัวเรือน” (Hazard Map) ที่ละเอียดจนระบุได้ว่าบ้านแต่ละหลังเสี่ยงแค่ไหน พร้อมทำ “แบบจำลองวิกฤต” (Scenario Planning) ไว้ล่วงหน้า เมื่อเกิดเหตุกระทรวง MLIT จะ “กระจายอำนาจบัญชาการ” (Decentralized Command) ให้หน่วยงานระดับปฏิบัติขยับตามแผนได้ทันที โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง
ขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้านที่มีสภาพภูมิศาสตร์คล้ายประเทศไทย อย่าง “ไต้หวัน” และ “เวียดนาม” ก็มีโมเดลที่น่าสนใจ
ในกรณีของ “ไต้หวัน” ที่เผชิญกับพายุและดินถล่มบ่อยครั้ง พวกเขาใช้ ฐานข้อมูลแบบเปิด หรือ Open Data ที่เชื่อมโยงเซนเซอร์วัดน้ำและดินถล่มเข้ากับแอปพลิเคชันของพลเมือง ซึ่งทุกคนสามารถเห็นข้อมูลชุดเดียวกับรัฐบาลได้ และหากปริมาณฝนสะสมถึงจุดอันตราย โรงเรียนและหน่วยงานท้องถิ่นจะมีอำนาจสั่งหยุดงานหรืออพยพได้ทันที โดยไม่ต้องรออนุมัติจากส่วนกลาง
ขณะที่ “เวียดนาม” โดดเด่นเรื่องการจัดการภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน มีการฝึกอบรมอาสาสมัครในทุกหมู่บ้านให้รู้จักการอ่านสัญญาณเตือนภัยธรรมชาติ และมีระบบ “การสื่อสารสองทาง” ที่ชัดเจน ข้อมูลจากส่วนกลางจะถูกส่งถึง “ผู้นำชุมชน” และผู้นำชุมชนจะทำหน้าที่ย่อยข้อมูลและสั่งการคนในหมู่บ้านได้ทันที ซึ่งช่วยปิดรอยรั่วเรื่อง “ความไม่รู้” ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้เป็นอย่างดี
ทำอย่างไร ? จะลดความสูญเสีย ป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ
สำหรับประเทศไทย ข้อเสนอที่จะลดความสูญเสีย และป้องกันไม่ให้ความเสียหายเกิดขึ้นซ้ำ มีสิ่งที่ต้องเร่งทำคือ “การรักษาป่าต้นน้ำ” ควบคู่ไปกับ “การยกระดับการแจ้งเตือนภัย และการซักซ้อมแผนในระดับชุมชนให้เข้มแข็ง” โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้คนในพื้นที่มีทักษะการเอาตัวรอดเมื่อวิกฤตมาถึง
โดยหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนแผนนี้ คือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องเชื่อมโยง “ข้อมูล” และ “การทำงาน” ร่วมกันได้ ผ่านการมีฐานข้อมูลกลาง ที่จะทำให้เกิดความเอกภาพในการจัดการภัยพิบัติ ซึ่งในตอนนี้มีกรอบของ “Thai Water Standard” แล้ว แม้ในขณะนี้มาตรฐานดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เริ่มมีเวอร์ชันที่สามารถนำมาใช้งานจริง ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างมาตรฐานการวิเคราะห์น้ำร่วมกันทั้งระบบ
พร้อมกันนี้ส่วนกลาง ต้องสนับสนุน “งบซ่อมบำรุง” ไม่ปล่อยให้สถานีวัดน้ำอีก 3,000 จุด ยังคงใช้งานไม่ได้ และ “ปรับปรุงกฎหมาย” เปิดโอกาสให้ท้องถิ่น สามารถจัดการความปลอดภัยของตัวเองได้อย่างคล่องตัว
ขณะเดียวกันในเมือง อย่างหาดใหญ่ ที่เป็น “ที่ราบลุ่มแอ่งกระทะ” จำเป็นต้องปรับโครงสร้างทางวิศวกรรมใหม่ ทั้งการวางระบบระบายน้ำขนาดใหญ่และระบบปิดล้อมพื้นที่ที่ออกแบบมาเพื่อรับมวลน้ำได้มากกว่าปกติหลายเท่าตัว
ซึ่งแนวคิดการยกระดับการป้องกันนี้ จะต้องขยายผลครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยการเปลี่ยนวิธีคิดจากเดิมที่มักมองว่า “เหตุการณ์สุดขั้วมีโอกาสเกิดน้อย” ให้กลายเป็นโจทย์ใหม่ที่เข้าไปอยู่ในหัวใจทุกภาคส่วน และทุกมิตินโยบาย
สุดท้ายนี้ทั้งหมดอาจจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้ารัฐบาลไม่ผลักดันเชิงนโยบาย ผ่านการมี “พระราชบัญญัติจัดการภัยดินถล่ม” ที่จะเข้ามาอุดช่องว่างเรื่องน้ำป่าและดินถล่ม และจัดตั้งหน่วยงานกลางเป็นเจ้าภาพ ให้การขับเคลื่อนนโยบายมีความต่อเนื่องและเป็นอิสระ ครอบคลุมการจัดการภัยพิบัติในทุกมิติ โดยไม่ถูกกระทบจากความผันผวนของการเมือง พร้อมกับสร้างระบบ “พี่เลี้ยง” (Regulator) ที่จะเข้ามาเป็น “โซ่ข้อกลาง” ประคองชุมชนให้รอดพ้นจากวิกฤตได้อย่างยั่งยืน
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลชุดสำคัญที่พร้อมจะถูกส่งต่อให้ถึงมือนักการเมืองและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในปีหน้า ซึ่ง Policy Watch – The Active ไทยพีบีเอส จะขอรับ “การบ้าน” ชิ้นนี้จากผู้ร่วมสนทนาทุกคน เพื่อทำหน้าที่ติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง จนกว่าระบบจัดการภัยพิบัติของไทยจะปกป้องชีวิตประชาชนได้จริง

อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :




