ปัญหาเชิงโครงสร้างจากรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ยังไม่เอื้ออำนวย ทำให้ประชาชนได้เพียง “ร่วมส่วน” รับฟังความคิดเห็น แต่ไม่สามารถกำหนดทิศทางหรือยับยั้งโครงการที่ไม่เป็นธรรมได้เลย
แล้วเราจะออกจากวงจรปัญหา “การมีส่วนร่วมแบบทิพย์” นี้ได้อย่างไร ? และต้องแก้ไขที่จุดใด เพื่อให้เสียงของประชาชนมีพลังและสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้อย่างแท้จริง ?
Policy Watch – The Active ไทยพีบีเอส ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ใน “Policy Forum : “ส่วนร่วมแบบไหนไม่ทิพย์ ? สมการประชาชนในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่” เพื่อเชื่อมโยงข้อค้นพบไปสู่ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม สำหรับการปรับปรุงกฎหมาย กติกา ตลอดจนหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ “การพัฒนาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ไม่ใช่เพียงคำพูดที่สวยหรู
ประชาชนไม่ถูกรวมอยู่ในสมการการพัฒนา
“เชื่อว่าทุกคนอยากเห็นประเทศพัฒนา แต่เราต้องช่วยกันคิดว่าเราอยากให้ประเทศพัฒนาไปในทิศทางไหน และต้องตั้งคำถามว่าใครบ้างที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนานี้ ถ้าเราไม่ช่วยกันคิดและตั้งคำถาม การตัดสินใจที่สำคัญก็จะตกเป็นของคนกลุ่มเล็ก ๆ บนหอคอยงาช้าง เสียงของคนในพื้นที่ก็จะดังน้อยลง”
นรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิ เสรีภาพ และ การคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา
หลายครั้งที่กรรมาธิการการพัฒนาการเมือง ฯ วุฒิสภา ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับโครงการพัฒนาต่าง ๆ และได้เชิญภาครัฐและเอกชนเข้ามาให้ข้อมูลอยู่หลายหน และเดือนที่แล้วก็เพิ่งจัดเสวนาเรื่อง “ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้” หรือ “SEC”
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดเวทีสาธารณะนี้ขึ้นมา เพื่อค้นหาคำตอบร่วมกันว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย และประเทศพัฒนาได้อย่างยั่งยืน

นรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิ เสรีภาพ และ การคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา
ไม่มีส่วนร่วมตัดสินใจ แต่ต้องรับเคราะห์กรรมจากการพัฒนา
ในระบอบประชาธิปไตย “การมีส่วนร่วม” ของประชาชนไม่ใช่แค่การไปเลือกตั้ง แต่หมายถึงการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจด้วย แม้โลกจะอยู่ในระบบทุนนิยมที่อำนาจการตัดสินใจมักอยู่ในมือของประเทศหรือบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่การพัฒนาที่แท้จริงต้องไม่มองข้ามผู้ได้รับผลกระทบด้วย
เพราะบางครั้งการออกแบบการพัฒนาที่สร้างความเจริญ อาจกลับกลายเป็นการละเลยสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นได้ เช่น กรณีเขตเศรษฐกิจพิเศษ “อีสเทิร์นซีบอร์ด” ที่รัฐละเลยปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อมจนสถานการณ์บานปลาย ทำให้ชาวบ้านต้องออกมาเคลื่อนไหวและเดินทางไกลเพื่อประท้วง
จากบทเรียนนี้ ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานมูลนิธิสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม เสนอว่า สถาบันอย่างรัฐสภามีหน้าที่เลือกฝ่ายบริหารและสนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกันข้ามภาคส่วน โดยเฉพาะจากผู้ที่ได้รับผลกระทบ ไม่ใช่แค่รอให้ประชาชนประท้วงก่อน นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการจัดสมดุลใหม่ โดยให้ความสำคัญกับคุณค่าของระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวบ้านอยู่ร่วมกับมาตลอดทั้งชีวิต
“ท่ามกลางความไม่แน่นอนของพัฒนาการทางการเมือง ต้องมีกลไกรับประกันการพัฒนาอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน รัฐสภามีหน้าที่เลือกฝ่ายบริหารและมีหน้าที่ช่วยให้สังคมเรียนรู้ร่วมกัน หากเศรษฐกิจไม่นำมาซึ่งความมั่นคงแห่งชีวิตในท้องถิ่น ก็ไม่มีความหมาย โลกเองก็ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น จึงเลี่ยงไม่พ้นจะต้องหาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน”
ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานมูลนิธิสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม

ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานมูลนิธิสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม
ช่องโหว่รัฐธรรมนูญปี 60 ทำการมีส่วนร่วมเป็นแค่พิธีกรรม
ผลการศึกษาเชิงลึกต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ชี้ชัดว่าปัญหาหลักของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ในปัจจุบันคือ “การขาดการมีส่วนร่วม” ที่มีคุณภาพจากประชาชน โดยกว่า 90% ของเรื่องร้องเรียนที่กรรมาธิการพัฒนาการเมือง ฯ วุฒิสภา ได้รับ ล้วนมาจากปัญหาเหล่านี้
ในการทบทวนกฎหมายและกลไกของ รศ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง อนุกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา พบว่า การรับฟังความเห็นส่วนใหญ่ถูกจ้างโดยเจ้าของโครงการ ทำให้ข้อมูลถูกนำไปเพื่อหาทางชดเชยเยียวยาเท่านั้น ไม่ได้สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของประชาชน
แม้กฎหมายอย่าง “พ.ร.บ.แร่” จะระบุให้ทำประชาพิจารณ์หรือประชามติ แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นเพียง “พิธีกรรม” ที่ทำไปตามระเบียบเพื่อปักป้ายถ่ายรูปและเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอนุมัติเท่านั้น
หนึ่งในช่องโหว่สำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือการย้ายประเด็นที่เกี่ยวกับการ “มีส่วนร่วม” ของประชาชน มาตรา 57 และ 58 เข้าไปอยู่ใน “หมวดหน้าที่ของรัฐ” และให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นกลไกหลักในการดูแล แม้จะดูเหมือนช่วยขยายบทบาทหน้าที่ของรัฐ แต่ก็ทำให้ขาดกลไกพิทักษ์สิทธิ คือเมื่อไม่มีบทบัญญัติที่รับรองในหมวดสิทธิ ชาวบ้านก็ฟ้องร้องลำบาก
เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ “รศ.ประภาส” เสนอให้มีการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอาจกลับไปใช้แนวทางเดียวกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 หรือ 2550 หรือให้มีทั้งหมวดสิทธิและหน้าที่ของรัฐควบคู่กันไป
และควรกำหนด มาตรฐานขั้นต่ำ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งโครงการตั้งแต่ต้น การจัดเวทีรับฟังที่เข้าถึงผู้ได้รับผลกระทบ การมีผู้อำนวยการเวทีที่เป็นกลาง และการอ้างอิงข้อเสนอจากสาธารณะในการตัดสินใจ เพื่อให้การมีส่วนร่วม เป็นกระบวนการที่มีความหมาย
ที่สำคัญที่สุดคือต้อง ตรากฎหมายกลางว่าด้วยการมีส่วนร่วมสาธารณะ เพื่อยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มีคุณภาพในทุกระดับ ตั้งแต่การแสดงความเห็น ปรึกษาหารือ วางแผน ตัดสินใจ ร่วมดำเนินงาน ไปจนถึงการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลกระทบหลังโครงการ โดยควรมีหน่วยงานกลางที่เป็นอิสระเข้ามาทำหน้าที่จัดกระบวนการ ไปจนถึงการติดตาม ตรวจสอบการทำงานของเจ้าของโครงการ เพื่อให้เสียงของประชาชนมีผลต่อการตัดสินใจอย่างแท้จริง

รศ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง อนุกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา
อย่างไรก็ตาม สุรชัย ตรงงาม เลขาธิการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มองว่า องค์กรอิสระนี้ ถ้าจะมีบทบาททั้งเข้ามาสนับสนุนกฎหมายกลางว่าการมีส่วนร่วมฯ และประเมินสิ่งแวดล้อม เหมือนอย่างที่เคยมีในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 อาจทำให้ภารกิจกว้างเกินไปจนไม่มีประสิทธิภาพ จึงคิดว่าต้องมีอีกหน่วยงานแยกออกไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบว่าอยากให้องค์กรอิสระเหล่านี้มีขอบเขต และภาระหน้าที่อย่างไร
แต่สรุปคือ ควรจะมีองค์กรอิสระ ทำหน้าที่ ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ (SEA) ตั้งแต่ก่อนเริ่มโครงการ เพื่อดูภาพรวมในระดับกว้าง และเป็นคนกลางในการ จัดทำและตรวจสอบรายงานการประเมินผลกระทบ แทนบริษัทที่ปรึกษาที่เจ้าของโครงการว่าจ้าง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึง มีอำนาจในการติดตามผลและสั่งให้มีการปรับปรุง แก้ไข หรือแม้กระทั่ง ยกเลิกโครงการ หากพบว่ามีผลกระทบที่รุนแรงจริง

สุรชัย ตรงงาม เลขาธิการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
ร่วมส่วน ≠ ส่วนร่วม การพัฒนาต้องทำให้เสียงของ ปชช.มีความหมาย
แม้เครือข่ายภาคประชาชนทั่วประเทศจะเผชิญกับผลกระทบจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ แต่ทุกเรื่องล้วนสะท้อนให้เห็นจุดร่วมเดียวกันว่านี่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เอื้อให้ “อำนาจ” อยู่เหนือ “ข้อมูลความรู้” และทำให้การมีส่วนร่วมของประชาชนแทบจะไม่มีความหมาย
ในภาคเหนือ “ประยงค์ ดอกลำใย” เปิดเผยว่า โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ในอดีต อย่างเขื่อนภูมิพลฯ หรือโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ ก็ยังคงทิ้งบาดแผลไว้ให้ชาวบ้าน ทั้งการถูกประกาศเขตอุทยานทับที่ดินทำกิน และการต้องทนรับมลพิษจากควันพิษซัลเฟอร์ จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
แม้จะมีกระบวนการรับฟังความเห็น แต่ “ประยงค์” ชี้ว่ากระบวนการเหล่านี้กลับกลายเป็นเพียงเรื่อง หลอกลวง เพราะเลือกจัดเวทีในพื้นที่ส่วนตัว อย่างค่ายทหารหรือในบริษัท ซึ่งไม่ใช่พื้นที่สาธารณะที่คนทั่วไปจะสามารถรับรู้ได้ว่าจะมีการทำประชาพิจารณ์ เสียงของคนส่วนใหญ่จึงถูกกีดกันออก เหลือเพียงข้อมูลจากคนที่ถูกคัดเลือกมา
นอกจากนี้ยังมีการใช้ข้อมูลที่บิดเบือน นำชื่อผู้ที่ไปเซ็นรับของแจก ในวันรับฟังความเห็น ไปใช้เป็นหลักฐานว่าเห็นด้วยกับโครงการ หรือต่อให้ชาวบ้านบุกไปล้มเวที เมื่อชาวบ้านกลับ ก็ไปเกณฑ์อีกคนอีกกลุ่มหนึ่งมาจัดเวทีต่อ
ส่วนกรณี “EIA ร้านลาบ” ของโครงการผันน้ำยวมที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความไม่น่าเชื่อถือในกระบวนการรับฟังความเห็น เมื่อมีการขโมยรูปกลุ่มคัดค้านที่กำลังกินข้าวจากเฟซบุ๊กร้านลาบ ไปอ้างว่า ได้พูดคุยและทำความเข้าใจกันแล้ว

ประยงค์ ดอกลำใย เครือข่ายประชาสังคมภาคเหนือ
ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่ทำไม “การมีส่วนร่วมของประชาชน” ถึงยังแก้ไขไม่ได้ ? ประสิทธิ์ชัย หนูนวล เครือข่ายประชาสังคมจากภาคใต้ มองว่า นั่นอาจเป็นเพราะว่ารัฐเป็นผู้ออกแบบทิศทางและกลไกการพัฒนามาโดยตลอด
การพัฒนาในพื้นที่ภาคใต้ถูกกำหนดโดยคนเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ที่มองว่าพื้นที่นี้ต้องเป็น “พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ” สิ่งที่น่ากังวลคือ กฎหมายพิเศษอย่าง “พ.ร.บ. ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ มาตรา 8” เปิดโอกาสให้ยกเลิกกฎหมายที่มีอยู่เดิม และใช้กฎหมายใหม่ได้ในทันที ทำให้ประชาชนสูญเสียสิทธิในการมีส่วนร่วมอย่างสิ้นเชิง และมีหน้าที่แค่รับฟังข้อมูลและผลกระทบเท่านั้น
แม้รัฐธรรมนูญ กฎหมายสูงสุดของประเทศ จะบังคับให้การทำโครงการที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น แต่อีกปัญหาคือ “กลไก” ที่มีอยู่ไม่เอื้อให้เสียงประชาชนมีความหมาย เพราะผู้จัดทำรายงานการประเมินผลได้รับเงินจากเจ้าของโครงการ ก็มักจะทำรายงานเพื่อให้โครงการผ่านการอนุมัติ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงหรือเสียงคัดค้านจากประชาชน หรือต่อให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง ก็จะแก้ไขให้ตรงตามความต้องการของผู้อนุมัติอยู่ดี
ดังนั้น ถ้าอยากให้เสียงของประชาชนมีผล รัฐต้องแก้ “กลไกการอนุมัติ” ว่าเจ้าของโครงการต้องมีข้อมูลแบบไหน มีข้อมูลแย้งและข้อยุติอย่างไร และเสนอให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กำหนดนิยามการพัฒนาใหม่ให้ชัดเจน และต้องบังคับให้มีการ ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ เพื่อให้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นธรรมต่อทุกคน เพราะหากไม่ยอมเปลี่ยน อาจเกิดการแย่งชิงทรัพยากรและความขัดแย้งรุนแรงขึ้น

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล เครือข่ายประชาสังคมจากภาคใต้
“การเรียกร้องของประชาชน แทบจะไม่เคยประสบความสำเร็จเลย มีน้อยมากที่จะประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นเพียงเหตุการณ์ที่ยื้อเวลา รอคอยที่จะกลับมาอีกครั้งเท่านั้น”
ครรชิต เข็มเฉลิม เครือข่ายภาคประชาสังคมภาคตะวันออก เปิดเผยว่า พวกเขาเรียกร้องการมีส่วนร่วมมาตลอด ก่อนจะมีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่อย่าง “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” หรือ “EEC” ด้วยซ้ำ แม้กฎหมายจะเปิดช่องให้มีการรับฟังความเห็น แต่ในทางปฏิบัติกลับเจอ “ประชาชนจัดตั้ง” ขึ้นมาเพื่อใช้ในกระบวนการนี้
เวทีรับฟังความเห็นกว่า 40 เวที ก็เกิดขึ้นเป็นพิธีกรรมเท่านั้น เพราะในบางเวทีใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง แต่กลับใช้เวลาอธิบายโครงการไป 2 ชั่วโมงครึ่ง และให้ประชาชนแสดงความเห็นเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง ทำให้ข้อเสนอของประชาชนที่ดีแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่ใช่สิ่งที่ภาครัฐอยากได้ยิน
และแม้จะมีเวทีรับฟังความคิดเห็นมากมาย แต่ข้อเสนอที่รวบรวมมาจากประชาชนในครั้งแรกก็ไม่เคยมีการส่งต่อหรือนำไปพิจารณา ทำให้โครงการต่าง ๆ เช่น การขยาย EEC ไปจังหวัดปราจีนบุรี หรือโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ยังคงผ่านการอนุมัติไปได้ ทั้งที่ภาคประชาชนคัดค้านอย่างหนัก
ภาคประชาชนเคยเสนอให้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นหน่วยงานกลางในการประเมินผลกระทบแทนบริษัทที่ปรึกษาที่เจ้าของโครงการเป็นผู้ว่าจ้าง เพื่อลดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ข้อเสนอดังกล่าวก็ไม่ได้รับการนำไปปฏิบัติ
ท้ายที่สุด “ครรชิต” ย้ำว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนจะมีความหมายอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อรัฐ “หยุดการวางเป้าหมาย” ไว้ล่วงหน้า และเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ได้ “ร่วมคิด” และ “ร่วมออกแบบ” อนาคตของตัวเองตั้งแต่ต้น หากทำเช่นนั้นได้ โครงการแบบ EEC ที่เร่งรัดกระบวนการก็อาจไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะการพัฒนาจะเกิดขึ้นจากความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง ว่าอยากจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร

ครรชิต เข็มเฉลิม เครือข่ายภาคประชาสังคมภาคตะวันออก
“ภาครัฐอาจมองการพัฒนาในวงแคบ ขณะที่ประชาชนมองในภาพรวมของระบบนิเวศตั้งแต่ภูเขาถึงทะเล”
นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ ชุติมา น้อยนารถ เครือข่ายประชาชนภาคกลาง อธิบายว่า ทำไมภาครัฐและประชาชนถึงไม่สามารถเห็นพ้องต้องกันได้ง่าย ๆ และยิ่งเมื่อรัฐใช้กฎหมายที่มีช่องโหว่ ยิ่งไม่เอื้อให้เกิดการทำความเข้าใจระหว่างกัน ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น
โครงการสนามบินนครปฐม เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นชัดว่า เจ้าของโครงการมักใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย จ้างงานบริษัทที่ปรึกษามาประเมินผลและทำกระบวนการรับฟังความคิดเห็นแบบบิดเบือนหรือมุ่งเป้าผลสำเร็จ คือแทบไม่มีข้อเสียปรากฏอยู่ในรายงานเหล่านั้น หรือต่อให้มี ก็อาจทิ้งท้าย ว่าได้พูดคุยและเตรียมความพร้อมเอาไว้แล้ว จนชาวบ้านต้องลุกขึ้นประท้วงและต่อสู้บนชั้นศาล เพื่อให้ได้มาซึ่งคำพิพากษาว่าการรับฟังทั้งหมดเป็นโมฆะ
อีกตัวอย่างหนึ่ง ในกรณีการคัดค้านโครงการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำท่าจีนเมื่อปี 2545 การรวมตัวของชุมชนใน 4 จังหวัดและการใช้ช่องทางที่เปิดจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ส่งผลให้โครงการต้องถูกกลับไปทบทวนใหม่ แต่ในทางกลับกันเมื่อมีการเปลี่ยนมาใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 โครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท กลับได้รับการอนุมัติอย่างง่ายดาย ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมแบบผิวเผิน แต่ด้วยการเรียนรู้และชุมชนที่เข้มแข็ง ทำให้โครงการนี้ไม่ผ่านในที่สุด เพราะถูกฟ้องร้องโดยสมาคมลดโลกร้อน
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ แม้จะถูกระงับไปกว่า 22 ปี แต่วันนี้กลับมาอีกแล้ว ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า จะมีองค์กรกลางที่จะสามารถ “ยุติโครงการ” ได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ? เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเผชิญกับความเครียดตลอดชีวิต
ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนต้องตระหนักถึงสิทธิของตัวเอง และไม่ยอมจำนนต่อสถานการณ์เหมือนที่ผ่านมา “ชุติมา” ย้ำว่า ระบบราชการเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นจึงควรลองใช้ระบบที่มีอยู่อย่างเต็มความสามารถ ก่อนที่จะหันไปใช้วิถีการต่อสู้แบบมวลชน ขณะเดียวกันก็ควรรับฟังเด็กรุ่นใหม่ด้วย เพราะพวกเขามีเมล็ดพันธุ์ประชาชาธิปไตยอยู่ในตัวมากกว่าคนรุ่นก่อน เพียงแต่รูปแบบการแสดงออกของความรัก (ท้องถิ่น) อาจแตกต่างกันออกไป

ชุติมา น้อยนารถ เครือข่ายประชาชนภาคกลาง
ด้าน เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ เครือข่ายภาคประชาสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เห็นสอดคล้องกับทุกคนบนเวทีเสวนาว่า กลไกที่มีอยู่นั้นไม่เป็นธรรม และประชาชนถูกกีดกันออกจากกระบวนการตัดสินใจอย่างสิ้นเชิง
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แม้จะมีกองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้าและเหมืองแร่ แต่กลับมีเพียงผู้นำชุมชนเท่านั้นที่สามารถเบิกใช้ได้ ทั้งที่ควรจะเป็นประโยชน์กับชาวบ้าน
ขณะเดียวกันกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและประชามติ ตามกฎหมาย มาตรา 56 ก็ใช้เงินของเจ้าของโครงการ ทำให้ขาดความเป็นอิสระ นอกจากนี้ยังมีการใช้ตำรวจและทหารมาควบคุมเวที ยิ่งหากจัดในพื้นที่ของบริษัท ประชาชนที่คัดค้านอาจถูกฟ้องในข้อหาบุกรุกได้
“โครงการพัฒนาต่าง ๆ มักถูกผลักดันด้วย ‘อำนาจ’ ไม่ใช่ความรู้หรือข้อเท็จจริง ข้อมูลของประชาชนจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะนำไปใช้ได้ ขณะที่ผู้มีอำนาจก็สามารถสร้าง ‘ความรู้จอมปลอม’ โดยอ้างผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เสียงของประชาชนไร้น้ำหนัก”
เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ เครือข่ายภาคประชาสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง “เลิศศักดิ์” จึงเสนอว่า ควรมีการ บัญญัติสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองในการต่อต้านการพัฒนาไว้ในรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังควรนำ องค์กรอิสระในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ กลับมา ซึ่งเคยมีในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 แต่ถูกยุบไป
เนื่องจากกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) จะตรวจสอบละเอียด ประเมินทั้งผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ รวมถึงต้องกลับมาถามประชาชนอีกครั้ง ซึ่งต้องใช้เวลา อย่างน้อยก็ 2 ปี ขณะที่ภาครัฐกลับต้องการให้การประเมินเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด จึงลดระดับการตรวจสอบเป็นการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว (EIA) ทำให้โครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบมหาศาลอย่างเหมืองโปแตชหรือเหมืองทองคำได้รับการประเมินแบบผิวเผิน ซึ่งจะส่งผลเสียในระยะยาวต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม
การจัดประชาพิจารณ์หรือประชามติจึงควรเป็นหน้าที่ของท้องถิ่นหรือภาครัฐ ไม่ใช่เจ้าของโครงการ ส่วนที่ยังคงเป็นภาครัฐได้นั้น แม้ประชาชนจะไม่ไว้วางใจมากนัก แต่เชื่อว่ารัฐก็จะไม่เกณฑ์คนเข้าไปร่วม
ถึงเวลาที่อำนาจเหล่านี้ควรย้ายข้าง และกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ต้องสนับสนุนอำนาจและหน้าที่ในการต่อต้านการพัฒนา

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ เครือข่ายภาคประชาสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ข้อเสนอสู่การมีส่วนร่วมที่แท้จริง
กรรมาธิการการพัฒนาการเมือง ฯ วุฒิสภา และเครือข่ายประชาสังคมทั่วประเทศ เห็นสอดคล้องกันว่าการจะทำให้เกิด “การมีส่วนร่วม” อย่างแท้จริง จะต้องเริ่มต้นด้วยการแก้รัฐธรรมนูญและร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อปิดช่องโหว่และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิ ออกเสียง และอยู่ในกระบวนการพัฒนาประเทศตั้งแต่ต้นทาง
โดยอาจมีการตรากฎหมายว่าด้วยการมีส่วนร่วมสาธารณะขึ้นมาอีกฉบับ เพื่อเป็นกรอบรองรับการกำหนดสิทธิของประชาชน และจัดตั้งหน่วยงายกลางที่เป็นอิสระ – องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพื่อทำหน้าที่ประเมินผล จัดกระบวนการ แทนบริษัทที่ปรึกษา ที่เจ้าของโครงการเป็นผู้ว่าจ้าง และตรวจสอบ ติดตามการดำเนินงานของเจ้าของโครงการอย่างยุติธรรม
นอกจากนี้ยังเสนอให้ “ปรับปรุงกลไกการอนุมัติโครงการ” โดยจะต้องระบุให้ชัดว่าต้องการข้อมูลนำเข้าอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผลกระทบ การแบ่งผลประโยชน์ และแนวทางการเยียวยา เพื่อให้ประชาชนได้รับสิทธิประโยชน์และการชดเชยที่เหมาะสมและเป็นธรรม
ที่สำคัญจะต้อง “คืนอำนาจให้ชุมชน” ให้สิทธิของชุมชนมีอำนาจเหนือกฎหมายอื่น และการมีส่วนร่วมของพวกเขาต้องมีผลบังคับใช้จริง นั่นหมายความว่า หากชุมชนมีมติไม่ต้องการโครงการ โครงการนั้นก็ต้องยุติลง
นอกจากนี้ยังควร “บัญญัติสิทธิในการต่อต้านการพัฒนา” ไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย เพื่อให้ประชาชนมีอำนาจต่อรองอย่างชอบธรรม และรัฐต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่นักเคลื่อนไหว เพื่อให้พวกเขาสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฟ้องร้องหรือคุกคาม
สุดท้ายนี้ เมื่อรัฐยังมีงบประมาณเพื่อการพัฒนา ก็ควรมี “กองทุน” ที่ใช้สนับสนุนในการทำวิจัย ประเมินผล ไปจนถึงการตรวจสอบ ติดตามการทำงาน และเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วย
แต่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่แค่การหวังหน่วยงานภาครัฐ หรือกลไกกลางเพียงอย่างเดียว แต่เราหวังพลังของทุกคนที่จะมีส่วนร่วมในการตรวจสอบกลับ ให้กระบวนการมีส่วนร่วมเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
Policy Forum : ประชาชนอยู่ตรงไหน ? ในการตัดสินใจโครงการขนาดใหญ่ | 5 ก.ย. 68
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :