“‘ความจน’ คำ ๆ นี้รู้จักกันดี มีข้อมูลมากมาย แต่แก้ไขไม่ได้ เป็นเพราะว่ามี ‘ความรู้’ แต่ยังไม่มี ‘ความรู้สึก’ มากพอที่จะเห็นอกเห็นใจ และตระหนักว่าเราทุกคนมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงปัญหานี้ได้”
ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส
นี่คือจุดเริ่มต้นของ “สารคดีคนจนเมือง” และที่มาของเวทีสนทนาสาธารณะ “ครึ่งทศวรรษคนจนเมือง สารคดีชีวิต หลักฐานความเลื่อมล้ำ” ในครั้งนี้ ที่ The Active – Policy Watch ไทยพีบีเอส ตั้งใจเปิดพื้นที่กลางให้นักวิชาการและผู้กำหนดนโยบาย ได้มาบอกเล่าถึงข้อค้นพบและข้อคิดเห็นจากสารคดีตลอด 5 ปีที่ผ่านมาและระดมความคิด เพื่อค้นหาเครื่องมือใหม่ ๆ ที่จะช่วยแก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรม

ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส
คนจนไม่ได้ขี้เกียจ แต่ติดกับดักที่ซับซ้อนหลายชั้น
“ความจนไม่ใช่เรื่องปัจเจก แต่เป็นประเด็นสาธารณะที่ต้องนำไปสู่ ‘ทางออก’ หรือ ‘นโยบายสาธารณะ’ (Solution Public Policy)”
ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส
นี่คือข้อค้นพบของ ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส ที่ยืนยันว่า คนจนไม่ได้ขี้เกียจ แต่ติดกับดักความจนที่ซับซ้อนหลายชั้น
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือชีวิตของ “ตาไหม” ผู้ทำงานหนักแบกถ่านให้กับร้านอาหารและร้านทองย่านเยาวราช แต่กลับได้วันละไม่กี่ร้อยบาท นานกว่า 40 ปี แม้บ้านจะอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ดูวิวสวย แต่เขากลับไม่มีสิทธิ์เข้าถึงความมั่นคง ต้องอยู่ภายในบ้านที่เปราะบางต้องซ่อมอยู่แทบจะทุกวัน
“เมืองขนมชั้น” คือบทสรุปชีวิตของตาไหม และเป็นสิ่งที่บอกว่า “สิทธิที่จะอยู่ในเมือง” (Right to the city) ไม่มีอยู่จริง
อีกกรณีคือ “ปูแป้น” นักเรียน ม.4 ที่ต้องช่วยพ่อแม่ขายส้มตำเลี้ยงชีพอยู่บริเวณไซต์ก่อสร้าง แม้ครอบครัวนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างเมือง แต่ชีวิตพวกเขากลับไม่เติบโตไปพร้อมเมือง ร้ายไปกว่านั้นชีวิตของพวกเขายังถูกขูดรีดเพื่อความอยู่รอดด้วย
หลังจากสารคดีจบลง แม้จะจัดเวทีสาธารณะชวนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันคิด ช่วยครอบครัว ช่วย “ปูแป้น” ให้ได้ทำตามความฝัน มีผู้จัดการรายบุคคล (Case Manager) เข้ามาคอยช่วยเหลือ แต่ระหว่างที่แก้ปัญหาก็พบกับดักของความยากจนหลายชั้น ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย หนี้นอกระบบ และการเข้าถึงสวัสดิการรัฐที่ถูกแยกส่วน จนวันนี้ “ปูแป้น” หลุดออกจากระบบการศึกษาแล้ว
“การพัฒนาเศรษฐกิจที่แบ่งจากข้างบน เปรียบเหมือนการเทไวน์รสชาติดีลงมาข้างล่าง กว่าจะไหลมาถึงชั้นสุดท้าย ก็ไม่ทันกับชีวิต ‘ปูแป้น’ จนเขาต้องออกจากโรงเรียนก่อน”
ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส
สารคดีคนจนเมือง สะท้อนภาพเมืองฟองน้ำ
หากมองผ่านกรณี “ตาไหม” และ “ปูแป้น” ผู้กำหนดนโยบาย (Policy Maker) และนักวิชาการ ร่วมกันสะท้อนมุมมองและความคิดเห็นที่น่าสนใจว่า
“คนจนเมืองต้องอาศัยอยู่ในซอกหลืบเมือง เหมือนอยู่ในรูเล็ก ๆ ของฟองน้ำ เพราะชีวิตของเขาจนทั้งโอกาส อำนาจ และจนเพราะการเมือง ที่ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสมการ รวมถึงการเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ”
รศ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง สมาชิกวุฒิสภา
เป็นภาพสะท้อนให้เห็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่เต็มไปด้วยระบบบรางและเทคโนโลยีทันสมัย แต่ยังแฝงด้วยภาพของคนกลุ่มหนึ่งที่แม้จะขยันและดิ้นรนอย่างเต็มที่ ก็ยังต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน
สอดคล้องกับสิ่งที่ รศ.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สังเกตเห็นตั้งแต่ปี 2563 จำนวนคนจนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คนชนชั้นกลางเริ่มไต่ระดับลง สวนทางกับกลุ่มคนรวยระดับบนที่กลับไม่ได้รับผลกระทบ แม้แต่จากวิกฤตโควิด-19 เพราะความต้องการสินค้าพรีเมียมของพวกเขายังคงสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าเหล่านั้นปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
ในมุมมองของ รศ.ปัทมาวดี โพชนุกูล อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม เห็นว่า “ความจนเปรียบเทียบ” คือ “ความจน” และ “ความรวย” เปรียบเหมือนความแตกต่างแบบคู่ขนานที่ไม่อาจมาบรรจบกันได้
ถ้าสังเกตบนถนน คนรายได้น้อยยังคงขายของหาบเร่แผงลอยอยู่บนฟุตบาท ขณะที่คนรวยขับรถยนต์ส่วนตัวบนถนนใหญ่ สัญจรไปมาอย่างเป็นอิสระ สะท้อนเส้นทางชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ด้าน ผศ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า “คนจน” เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ “ความจน” ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ครอบคลุมประเด็นหลากหลาย ทั้งความเปราะบาง ความเหลื่อมล้ำ ความแตกต่าง ความไม่เป็นธรรม ความเป็นชายขอบ และการไม่เป็นพลเมือง
แม้ปัญหาความจนจะดูเหมือนไร้ความหวัง เพราะหนึ่งทุกคน “รู้…แต่ไม่รู้สึก” และสองคือความจนเป็นเรื่องซับซ้อน แต่ก็เริ่มมีพลัง และเริ่มมีการพูดถึงสิทธิของคนจนมากขึ้น นำไปสู่การเกิดสมัชชาคนจน
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้กลับชัดเจนในชนบทมากกว่าในเมือง เนื่องจาก “สิทธิที่จะอยู่ในเมือง” (Right to the city) เป็นส่วนกลับของเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยทุนนิยม (Neoliberal City) ซึ่งทำให้คนจนในเมืองถูกขูดรีดและคนเมืองเกิดความแปลกแยก
ดังนั้นการสื่อสารที่จะนำพาไปสู่ความสงสาร (Empathy) เพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ เพราะไม่สามารถพาไปถึงรากปัญหา (Root Cause) หรือโครงสร้างที่แท้จริงได้
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าการช่วยเหลือแบบเวทนานิยมหรือการสงเคราะห์เฉพาะหน้าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน เมื่อคนจนเผชิญกับความทุกข์ยากซึ่งหน้า เพราะเขารอการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างไม่ได้ ทว่าการไม่แตะเชิงโครงสร้างก็ย่อมไม่ยั่งยืน โจทย์สำคัญของการทำงานกับความจนที่ซับซ้อนในเมือง จึงอยู่ที่ว่าจะแก้ปัญหาหลายระดับนี้พร้อมกันอย่างไร ?”
นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ประธานคณะกรรมการนโยบาย ไทยพีบีเอส และอดีต ผอ.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ประธานคณะกรรมการนโยบาย ไทยพีบีเอส และอดีต ผอ.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
ข้อเสนอแก้ปัญหาคนจนเมือง
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา “สารคดีคนจนเมือง” ได้ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนเรื่องราวชีวิตจริงของคนจน และเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม แม้จะมาถูกทางในการสร้างความ “รู้สึก” เห็นอกเห็นใจในหมู่ผู้ชมได้ถึง 56.6% แต่อาจยังไม่พอที่จะจุดประกายสังคมให้ไปถึง “ทางออกเชิงนโยบายสาธารณะ” ที่เป็นรูปธรรม
“ผศ.พิชญ์” ชี้ว่า มุมมองที่เรามีต่อ “ความจน” คือหัวใจสำคัญในการค้นหานวัตกรรมและกลไกในการแก้ไขปัญหา เพราะหากเราคิดว่า “ความจนเป็นผลพวงของการพัฒนา” นั่นหมายความว่าคนจนต้องเสียสละอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการแก้ปัญหาก็จะเป็นเพียงการเยียวยาที่ปลายเหตุ
แต่หากเราพลิกมุมมองใหม่ว่า “ความจนคือเหตุของการพัฒนา” นั่นจะหมายความว่าความยากจนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากกระบวนการ “พัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกัน (Uneven Development)” ที่ทำให้คนบางกลุ่มต้องยากจน
ดังนั้นการมองว่าเป็น “เหตุ” จะช่วยให้เราสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาถึงต้นตอได้อย่างแท้จริง แทนที่จะวนเวียนอยู่กับการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไม่มีที่สิ้นสุด
“นโยบายต้องยุติธรรม เข้าถึงคนทุกกลุ่ม รวมถึงคนจนเมือง”
รศ.ปัทมาวดี โพชนุกูล อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม
ข้อมูล “ความจน” แม้จะมีมากมาย แต่ที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานทำงานกันอย่างแยกส่วน ทำให้ขาดการเชื่อมโยงที่มีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมี “พื้นที่กลาง” ให้ทุกภาคส่วนเข้ามาพูดคุยหาทางออกร่วมกัน ซึ่งไม่จำเป็นว่าใครหรือหน่วยงานใดจะต้องทำนอกเหนือภารกิจเดิม แต่ทุกคนสามารถทำหน้าที่ในบทบาทของตัวเองที่มีอยู่ได้
- นักวิชาการ : ช่วยให้ข้อมูลและออกแบบแนวทางการแก้ไขปัญหา
- สื่อ : ช่วยสื่อสาร
- ประชาชน : มีส่วนร่วมแสดงความเห็น ร่วมออกแบบ
- เอกชน : เข้ามาสนับสนุนการแก้ไขปัญหา เช่น CSR เพื่อสร้างเสริมความเข้มแข็งของชุมชนในการแก้ไขปัญหาความจน
- รัฐ : ร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เช่น การมีธรรมนูญสุขภาพฉบับที่ 3 ที่ชูเรื่องความเหลื่อมล้ำความเป็นธรรม และการนำข้อเสนอไปจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14
นอกจากนี้ “ชุมชน” ยังถือเป็นกลไกสำคัญในการระดมคนในพื้นที่ให้ร่วมกันออกแบบและลงมือแก้ปัญหาของตัวเองได้เองก่อน โดยไม่จำเป็นต้องรอพึ่งพาใคร
ด้าน “รศ.วิไลวรรณ” ในฐานะคนทำสื่อ เสริมว่าสื่อควรจะขยับบทบาทใหม่ ไม่ใช่แค่นำเสนอ แต่ต้องขับเคลื่อนสังคมด้วย โดยต้องสื่อสารเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ทั้งต่อคนจนเมือง และคนทุกคนและคนในชุมชน ว่าพวกเขาสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคมได้
ทั้งหมดนี้ ผศ.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สะท้อนว่านี่คือบทสรุปที่นำไปสู่การมีแพลตฟอร์สื่อสารการเปลี่ยนแปลง อย่าง Policy Watch ที่จะช่วยบันทึกข้อมูล การสื่อสาร และการพูดคุยเชิงนโยบายอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้จบลงแค่เพียงการรับรู้ แต่ยังเป็นพื้นที่ในการติดตาม ตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้กำหนดนโยบาย เพื่อให้ข้อมูลและข้อเสนอเหล่านี้ถูกนำไปปรับใช้ในการแก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ปัญหาความจนในเมืองซับซ้อนเกินกว่าใครจะแก้ไขได้ด้วยตัวคนเดียวเพียงลำพัง จากนี้ทุกภาคส่วนคือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายที่ยุติธรรมสู่การสร้างสังคมที่ทุกคนมีโอกาส มีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี