ThaiPBS Logo

ทางออกเชิงนโยบายแก้ปัญหา ‘คนจนเมือง’

31 ก.ค. 256815:51 น.
ทางออกเชิงนโยบายแก้ปัญหา ‘คนจนเมือง’
  • ตั้งแต่ปี 2563 สถิติคนจนมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคนชนชั้นกลางเริ่มไต่ระดับลง ขณะที่คนรวยระดับบนกลับไม่ได้รับผลกระทบ แม้แต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 และมีแนวโน้มที่จะมั่งคั่งมากยิ่งขึ้น
  • คนจนไม่ได้จนเพราะขี้เกียจ แต่ติดกับดักซับซ้อนหลายชั้น และการพัฒนาของประเทศจากข้างบนลงล่างช้าเกินกว่าการเปลี่ยนแปลงของสังคม
  • ความจนจึงไม่ใช่เรื่องของปัจเจก แต่เป็นประเด็นสาธารณะที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันหา “ทางออก” และผลักดันไปให้ถึง “นโยบายสาธารณะ”
  • นโยบายต้องมีความยุติธรรม คือเข้าถึงคนทุกกลุ่มรวมถึงคนจนเมือง เพื่อสร้างสังคมที่ทุกคนมีโอกาส มีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี
การแก้ไขปัญหาความจนในชนบทกลับชัดเจนมากกว่าในเมือง เพราะเมืองที่พัฒนาด้วยกลไกทุนนิยม สร้างความซับซ้อนเฉพาะตัว ทำให้คนจนเมืองต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำ การถูกขูดรีด และถูกแบ่งแยกออกจากสังคม โจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนอันซับซ้อนหลายมิติไปพร้อมกัน

“‘ความจนคำ ๆ นี้รู้จักกันดี มีข้อมูลมากมาย แต่แก้ไขไม่ได้ เป็นเพราะว่ามี ความรู้ แต่ยังไม่มี ความรู้สึก มากพอที่จะเห็นอกเห็นใจ และตระหนักว่าเราทุกคนมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงปัญหานี้ได้

ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส

นี่คือจุดเริ่มต้นของ สารคดีคนจนเมือง และที่มาของเวทีสนทนาสาธารณะ ครึ่งทศวรรษคนจนเมือง สารคดีชีวิต หลักฐานความเลื่อมล้ำ ในครั้งนี้ ที่ The ActivePolicy Watch ไทยพีบีเอส ตั้งใจเปิดพื้นที่กลางให้นักวิชาการและผู้กำหนดนโยบาย ได้มาบอกเล่าถึงข้อค้นพบและข้อคิดเห็นจากสารคดีตลอด 5 ปีที่ผ่านมาและระดมความคิด เพื่อค้นหาเครื่องมือใหม่ ๆ ที่จะช่วยแก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรม

ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส

 

คนจนไม่ได้ขี้เกียจ แต่ติดกับดักที่ซับซ้อนหลายชั้น

ความจนไม่ใช่เรื่องปัจเจก แต่เป็นประเด็นสาธารณะที่ต้องนำไปสู่ ทางออก หรือ นโยบายสาธารณะ’ (Solution Public Policy)”

ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส

 

นี่คือข้อค้นพบของ ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส ที่ยืนยันว่า คนจนไม่ได้ขี้เกียจ แต่ติดกับดักความจนที่ซับซ้อนหลายชั้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือชีวิตของ ตาไหม ผู้ทำงานหนักแบกถ่านให้กับร้านอาหารและร้านทองย่านเยาวราช แต่กลับได้วันละไม่กี่ร้อยบาท นานกว่า 40 ปี แม้บ้านจะอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ดูวิวสวย แต่เขากลับไม่มีสิทธิ์เข้าถึงความมั่นคง ต้องอยู่ภายในบ้านที่เปราะบางต้องซ่อมอยู่แทบจะทุกวัน

เมืองขนมชั้น คือบทสรุปชีวิตของตาไหม และเป็นสิ่งที่บอกว่า สิทธิที่จะอยู่ในเมือง” (Right to the city) ไม่มีอยู่จริง

อีกกรณีคือ ปูแป้น” นักเรียน ม.4 ที่ต้องช่วยพ่อแม่ขายส้มตำเลี้ยงชีพอยู่บริเวณไซต์ก่อสร้าง แม้ครอบครัวนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างเมือง แต่ชีวิตพวกเขากลับไม่เติบโตไปพร้อมเมือง ร้ายไปกว่านั้นชีวิตของพวกเขายังถูกขูดรีดเพื่อความอยู่รอดด้วย

หลังจากสารคดีจบลง แม้จะจัดเวทีสาธารณะชวนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันคิด ช่วยครอบครัว ช่วย “ปูแป้น” ให้ได้ทำตามความฝัน มีผู้จัดการรายบุคคล (Case Manager) เข้ามาคอยช่วยเหลือ แต่ระหว่างที่แก้ปัญหาก็พบกับดักของความยากจนหลายชั้น ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย หนี้นอกระบบ และการเข้าถึงสวัสดิการรัฐที่ถูกแยกส่วน จนวันนี้  “ปูแป้น” หลุดออกจากระบบการศึกษาแล้ว

การพัฒนาเศรษฐกิจ ที่เปรียบเหมือนการเทไวน์รสชาติดีจากข้างบนลงมาข้างล่าง กว่าจะไหลมาถึงชั้นสุดท้าย ก็ไม่ทันกับชีวิต ปูแป้น จนเขาต้องออกจากโรงเรียน

ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส

 

 

สารคดีคนจนเมือง สะท้อนภาพเมืองฟองน้ำ

หากมองผ่านกรณี ตาไหมและ ปูแป้น ผู้กำหนดนโยบาย (Policy Maker) และนักวิชาการ ร่วมกันสะท้อนมุมมองและความคิดเห็นที่น่าสนใจว่า

คนจนเมืองต้องอาศัยอยู่ในซอกหลืบเมือง เหมือนอยู่ในรูเล็ก ๆ ของฟองน้ำ เพราะชีวิตของเขาจนทั้งโอกาส อำนาจ และจนเพราะการเมือง ที่ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสมการ รวมถึงการเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ

รศ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง สมาชิกวุฒิสภา

เป็นภาพสะท้อนให้เห็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่เต็มไปด้วยระบบบรางและเทคโนโลยีทันสมัย แต่ยังแฝงด้วยภาพของคนกลุ่มหนึ่งที่แม้จะขยันและดิ้นรนอย่างเต็มที่ ก็ยังต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน

 

สอดคล้องกับสิ่งที่ รศ.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สังเกตเห็นตั้งแต่ปี 2563 จำนวนคนจนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คนชนชั้นกลางเริ่มไต่ระดับลง สวนทางกับกลุ่มคนรวยระดับบนที่กลับไม่ได้รับผลกระทบ แม้แต่จากวิกฤตโควิด-19 เพราะความต้องการสินค้าพรีเมียมของพวกเขายังคงสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าเหล่านั้นปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

ในมุมมองของ รศ.ปัทมาวดี โพชนุกูล อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม เห็นว่า “ความจนเปรียบเทียบ” คือ ความจน และ ความรวย เปรียบเหมือนความแตกต่างแบบคู่ขนานที่ไม่อาจมาบรรจบกันได้

ถ้าสังเกตบนถนน คนรายได้น้อยยังคงขายของหาบเร่แผงลอยอยู่บนฟุตบาท ขณะที่คนรวยขับรถยนต์ส่วนตัวบนถนนใหญ่ สัญจรไปมาอย่างเป็นอิสระ สะท้อนเส้นทางชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ด้าน ผศ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า “คนจน” เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ความจนซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ครอบคลุมประเด็นหลากหลาย ทั้งความเปราะบาง ความเหลื่อมล้ำ ความแตกต่าง ความไม่เป็นธรรม ความเป็นชายขอบ และการไม่เป็นพลเมือง

 

แม้ปัญหาความจนจะดูเหมือนไร้ความหวัง เพราะหนึ่งทุกคน รู้แต่ไม่รู้สึก และสองคือความจนเป็นเรื่องซับซ้อน แต่ก็เริ่มมีพลัง และเริ่มมีการพูดถึงสิทธิของคนจนมากขึ้น นำไปสู่การเกิดสมัชชาคนจน

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้กลับชัดเจนในชนบทมากกว่าในเมือง เนื่องจาก “สิทธิที่จะอยู่ในเมือง” (Right to the city) เป็นส่วนกลับของเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยทุนนิยม (Neoliberal City) ซึ่งทำให้คนจนในเมืองถูกขูดรีดและคนเมืองเกิดความแปลกแยก

ดังนั้นการสื่อสารที่จะนำพาไปสู่ความสงสาร (Empathy) เพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ เพราะไม่สามารถพาไปถึงรากปัญหา (Root Cause) หรือโครงสร้างที่แท้จริงได้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการช่วยเหลือแบบเวทนานิยมหรือการสงเคราะห์เฉพาะหน้าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน เมื่อคนจนเผชิญกับความทุกข์ยากซึ่งหน้า เพราะเขารอการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างไม่ได้ ทว่าการไม่แตะเชิงโครงสร้างก็ย่อมไม่ยั่งยืน โจทย์สำคัญของการทำงานกับความจนที่ซับซ้อนในเมือง จึงอยู่ที่ว่าจะแก้ปัญหาหลายระดับนี้พร้อมกันอย่างไร ?”

นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ประธานคณะกรรมการนโยบาย ไทยพีบีเอส และอดีต ผอ.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

 

นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ประธานคณะกรรมการนโยบาย ไทยพีบีเอส และอดีต ผอ.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

 

ข้อเสนอแก้ปัญหาคนจนเมือง

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สารคดีคนจนเมือง ได้ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนเรื่องราวชีวิตจริงของคนจน และเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม แม้จะมาถูกทางในการสร้างความ “รู้สึก” เห็นอกเห็นใจในหมู่ผู้ชมได้ถึง  56.6% แต่อาจยังไม่พอที่จะจุดประกายสังคมให้ไปถึง “ทางออกเชิงนโยบายสาธารณะ” ที่เป็นรูปธรรม

ผศ.พิชญ์ ชี้ว่า มุมมองที่เรามีต่อ ความจนคือหัวใจสำคัญในการค้นหานวัตกรรมและกลไกในการแก้ไขปัญหา เพราะหากเราคิดว่า ความจนเป็นผลพวงของการพัฒนา” นั่นหมายความว่าคนจนต้องเสียสละอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการแก้ปัญหาก็จะเป็นเพียงการเยียวยาที่ปลายเหตุ

แต่หากเราพลิกมุมมองใหม่ว่า ความจนคือเหตุของการพัฒนา นั่นจะหมายความว่าความยากจนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากกระบวนการ “พัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกัน (Uneven Development)” ที่ทำให้คนบางกลุ่มต้องยากจน

ดังนั้นการมองว่าเป็น เหตุ” จะช่วยให้เราสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาถึงต้นตอได้อย่างแท้จริง แทนที่จะวนเวียนอยู่กับการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไม่มีที่สิ้นสุด

 

นโยบายต้องยุติธรรม เข้าถึงคนทุกกลุ่ม รวมถึงคนจนเมือง

รศ.ปัทมาวดี โพชนุกูล อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม

 

ข้อมูล “ความจน” แม้จะมีมากมาย แต่ที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานทำงานกันอย่างแยกส่วน ทำให้ขาดการเชื่อมโยงที่มีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมี พื้นที่กลาง ให้ทุกภาคส่วนเข้ามาพูดคุยหาทางออกร่วมกัน ซึ่งไม่จำเป็นว่าใครหรือหน่วยงานใดจะต้องทำนอกเหนือภารกิจเดิม แต่ทุกคนสามารถทำหน้าที่ในบทบาทของตัวเองที่มีอยู่ได้

  • นักวิชาการ : ช่วยให้ข้อมูลและออกแบบแนวทางการแก้ไขปัญหา
  • สื่อ : ช่วยสื่อสาร
  • ประชาชน : มีส่วนร่วมแสดงความเห็น ร่วมออกแบบ
  • เอกชน : เข้ามาสนับสนุนการแก้ไขปัญหา เช่น CSR เพื่อสร้างเสริมความเข้มแข็งของชุมชนในการแก้ไขปัญหาความจน
  • รัฐ : ร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เช่น การมีธรรมนูญสุขภาพฉบับที่ 3 ที่ชูเรื่องความเหลื่อมล้ำความเป็นธรรม และการนำข้อเสนอไปจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14

นอกจากนี้ “ชุมชน” ยังถือเป็นกลไกสำคัญในการระดมคนในพื้นที่ให้ร่วมกันออกแบบและลงมือแก้ปัญหาของตัวเองได้เองก่อน โดยไม่จำเป็นต้องรอพึ่งพาใคร

ด้าน รศ.วิไลวรรณ ในฐานะคนทำสื่อ เสริมว่าสื่อควรจะขยับบทบาทใหม่ ไม่ใช่แค่นำเสนอ แต่ต้องขับเคลื่อนสังคมด้วย โดยต้องสื่อสารเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ทั้งต่อคนจนเมือง และคนทุกคนและคนในชุมชน ว่าพวกเขาสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคมได้

ทั้งหมดนี้ ผศ.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สะท้อนว่านี่คือบทสรุปที่นำไปสู่การมีแพลตฟอร์สื่อสารการเปลี่ยนแปลง อย่าง Policy Watch ที่จะช่วยบันทึกข้อมูล การสื่อสาร และการพูดคุยเชิงนโยบายอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้จบลงแค่เพียงการรับรู้ แต่ยังเป็นพื้นที่ในการติดตาม ตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้กำหนดนโยบาย เพื่อให้ข้อมูลและข้อเสนอเหล่านี้ถูกนำไปปรับใช้ในการแก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

ปัญหาความจนในเมืองซับซ้อนเกินกว่าใครจะแก้ไขได้ด้วยตัวคนเดียวเพียงลำพัง จากนี้ทุกภาคส่วนคือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายที่ยุติธรรมสู่การสร้างสังคมที่ทุกคนมีโอกาส มีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ส่วนตัว: คนจนเมือง

สารคดีชุด "คนจนเมือง" เริ่มอากาศตั้งแต่ปี 64 และเผยแพร่ในแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกช่องทางของไทยพีบีเอส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจปัญหา ความท้าทาย และแนวทางการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตของคนจนในเมืองใหญ่ พร้อมสรุปบทเรียนที่สามารถนำไปผลักดันด้านนโยบายเพื่อแก้ปัญหา

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ระบบหลักประกันสุขภาพ

ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ "30 บาทรักษาทุกโรค" ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ต่อมาเรียกว่า "บัตรทอง" ซึ่งดำเนินการมาครบรอบ 20 ปีเมื่อปี 2566 และกำลังก้าวสู่ปีที่ 23 ในปี 2568 แต่ปัญหายังต้องแก้ไขกันต่อไป โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณและการบริหารจัดการ แม้ว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ลดค่าครองชีพ

“นโยบายเร่งด่วนถัดมา คือ การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน อันเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจ รัฐบาลจะสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการราคาพลังงาน ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในทันที" - คำแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา ในวันที่ 11 ก.ย. 2566

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

การค้า

นโยบายการค้าของไทย เผชิญกับความท้าทายมากขึ้น จากสงครามการค้า ทำให้มีความเสี่ยงจากการแยกตัวของห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งทำให้ไทยต้องเลือกข้างระหว่างสหรัฐ-จีน แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามดำเนินนโยบายเป็นกลางและประสานผลประโยชน์ทุกฝ่าย

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ส่งเสริมการลงทุน

การส่งเสริมการลงทุนเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยรัฐบาลได้มีนโยบาส่งเสริมการลงทุนมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ซึ่งจากมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากภาคเกษตรไปสู่ภาคอุตสาหกรรม

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: