สินค้าจีนหลั่งไหลเข้ามาในไทยต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่สงครามการค้ารอบแรกเมื่อปี 2561 จนถึงปัจจุบัน จะเห็นได้จากสินค้าจีนที่ปรากฏอยู่เกือบทุกพื้นที่ของไทย อีกทั้งชาวจีนยังเข้ามาลงทุนเปิดร้านค้าและร้านอาหาร ส่งผลให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กอย่าง SME ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า เพราะไม่สามารถสู่ราคาสินค้าจีนที่มีต้นทุนถูกกว่าได้
นโยบายกำแพงภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ที่พุ่งเป้าไปที่การขึ้นภาษีสินค้าจีนเพิ่มกว่า 60% ทำให้เกิดความกังวลว่าจะมีสงครามการค้ารอบใหม่ปะทุขึ้น และไทยอาจไม่รอดพ้นสินค้าจีนที่จะทะลักเข้ามากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากส่งออกไปสหรัฐฯไม่ได้
จุดอ่อนไทยพึ่งแต่ธุรกิจต่างชาติ
ความท้าทายจากการเข้ามาของผู้ประกอบการจากจีนต่อการค้าไทย และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน โดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด ผู้บุกเบิกอีคอมเมิร์ซไทยยุคแรก กล่าวกับ สุทธิชัย หยุ่น ในรายการ “คุยนอกกรอบ” ทางไทยพีบีเอส ระบุว่า สถานการณ์ไทยปัจจุบันเข้าสู่โลกดิจิทัลเต็มรูปแบบ ผู้ประกอบการจำนวนมากใช้ระบบดิจิทัลดำเนินธุรกิจ ซึ่งไทยมีโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ต, พร้อมเพย์ (PromptPay) และระบบขนส่งที่ดี ถือว่าอยู่ในระดับชั้นนำของอาเซียน
แม้ในภาพรวมจะดูดีมาก แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ สิ่งเหล่านี้เป็นของคนไทยน้อยมาก เพราะกลายเป็นผู้ใช้มากกว่า ธุรกิจขายของบนออนไลน์ หรือ อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) และโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่าง เป็นของต่างชาติหมด ยกเว้นบริษัทขนส่งเป็นของไทยแค่ 1 รายเท่านั้น ธุรกิจการเงินอย่าง Non-bank ก็มีต่างชาติมาลงทุนกันมากขึ้น
สินค้าจีนทุบประกอบการไทย
วันนี้ผู้ประกอบการไทยกำลังเจอความท้าทายจากต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจจำนวนมาก ในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการชาวจีนรายย่อยเข้ามาทำธุรกิจในไทยอย่างผิดกฎหมาย เพราะกรมศุลกากรปล่อยปะละเลยให้สินค้าจากจีนทะลักเข้ามาทุกอย่าง ตั้งแต่ของกินไปจนถึงของใช้ภายในบ้าน และยังเป็นสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบจากภาครัฐ ทำให้มียาฆ่าแมลงตกค้างจำนวนมาก
“เมื่อภาครัฐอ่อนแอไม่สามารถสกัดกั้นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพและราคาถูก ซึ่งจะทำลายธุรกิจในประเทศไทย และทำลายประชาชนที่ต้องบริโภคสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ”
กรณีที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้บริษัทจีนอย่างแอปพลิเคชั่นเตมู (TEMU) สามารถจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในไทยได้นั้น ภาวุธ มองว่า ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานี้เท่าไหร่ และจะกลายเป็นว่าเปิดทางให้ทุนจีนบุกมาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้หากไปดูประเทศอื่นที่แอปฯเตมูเข้าไปจดทะเบียนอย่างถูกต้อง กลับพบว่ามีพนักงานทำงานไม่กี่คนเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ยังทำงานอยู่ในประเทศจีน ซึ่งไทยไม่ได้อะไร
รัฐมองไม่เห็นทุนจีน
สุดท้ายตนคิดว่าไทยมีกฎหมายที่ดีอยู่ แต่ยังไม่ได้ถูกบังคับใช้จริง ๆ เพราะเจ้าหน้าที่ปล่อยปะละเลย จนบางเรื่องก็สามารถจ่ายด้วยเงินได้ทุกอย่าง ทำให้คนไทยถูกเอารัดเอาเปรียบ เพราะฉะนั้นวันนี้ภาครัฐแค่ต้องยกระดับการป้องกันให้สูงขึ้น ไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายอะไรใหม่
เพราะภาครัฐมองไม่เห็นว่าทุนจีนบุกเข้ามา แต่ประชาชนมองเห็นหมด ทำให้เกิดช่องว่าง ตนได้เคยเสนอคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ (กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ) ร่วมมือกับแพลตฟอร์มทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Fondue) ของสำนักงานกรุงเทพมหานคร พัฒนาเป็นแพลตฟอร์ม “นักสืบทุนเทา” ให้ประชาชนเข้ามาแจ้งปัญหากลุ่มทุนต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจกฎหมายในไทย โดยเปิดให้แจ้งปัญหาช่วงปลายปี 2567 เป็นเวลา 3 ปรากฏว่ามีการแจ้งเข้ามาเป็นกว่าพันรายการ เช่น พบคนรัสเซียเข้ามาทำอาชีพทันตแพทย์ในจังหวัดภูเก็ตอย่างผิดกฎหมาย มีคนจีนเปิดร้านตัดผม มีซูเปอร์มาร์เก็ตชาวจีนในกรุงเทพฯ เป็นต้น จึงอยากให้รัฐบาลมีช่องทางให้ประชาชนสามารถแจ้งปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่งทราฟฟี่ฟองดูว์ถือเป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจมาก ๆ
แนะยกการ์ดสกัดจีน-พัฒนาคนไทย
ถ้าหาก ทรัมป์ เปิดสงครามการค้ารอบใหม่ เชื่อว่าสินค้าจีนจะไหลเข้ามาในไทยจำนวนมากแน่นอน และกลุ่มทุนจีนจะมาในรูปแบบที่ถูกกฎหมายมากขึ้น ทำให้สกัดกั้นได้ลำบาก และอาจจะขนแรงงานเข้ามาด้วย เพราะคนจีนขยันทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ เมื่อเทียบกับคนไทยที่ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ในขณะที่ผู้ประกอบการทำไทยยังทำอะไรแบบเดิม ๆ เหมือน 20-30 ปี จะไปสู้ได้อย่างไร
รัฐบาลต้องมองปัญหานี้ให้ออก ควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยยกระดับบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นเพื่อชะลอความร้อนแรงของจีน ขณะเดียวกันก็ยกระดับผู้ประกอบการการไทยให้เก่งมากขึ้น
ภาวุธ ได้มีข้อเสนอแนะถึง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการแก้ปัญหาดังกล่าวว่า ควรจะต้องสร้างทีมอยู่ในจุดที่ตนเองมีความถนัด และมีพื้นที่ให้สามารถทำได้ จากนั้นก็ทำงานร่วมกันทั้งระดับบนและระดับล่าง ตนเชื่อว่าคนรุ่นใหม่สามารถมองเห็นสิ่งที่หลากหลายมากกว่าคนรุ่นเก่า อีกทั้งอาจยังดึงคนกลุ่มรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาทำงานเพิ่มได้ด้วย แต่ตอนนี้กลายเป็นเกมของคนรุ่นใหญ่ทั้งนั้น ซึ่งเสียโอกาสพลังของคนรุ่นใหม่
กลุ่มที่ต้องปะทะกับทุนจีน คือกลุ่มคนรากหญ้า ซึ่งสู้ไม่ได้ วันนี้มันจะมีช่องว่างอยู่ มีผู้บริหารประเทศเป็นคนรุ่นใหม่ แต่การบริหารประเทศยังเป็นสไตล์เก่า การเมืองแบบเก่า มองตัวเอง ไม่มองประเทศเลย อันนี้เป็นความน่าเป็นห่วงอย่างมาก เรากำลังเข้าสู่การเมืองเก่าเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนนี้ทุกคนพยายามจะสร้างอำนาจตัวเอง แต่ไม่มีใครมองถึงประชาชนเลย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง