รัฐบาลได้เริ่มดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการแจกเงิน 10,000 บาทให้กับกลุ่มเปราะบางและคนพิการ 14.5 ล้านคน ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ด้วยงบประมาณ 145,552 ล้านบาทล้านบาท เริ่มจ่ายตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา และมีการจ่ายซ้ำอีก 3 ครั้ง ในเดือน เดือน ต.ค.-ธ.ค. ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปี 67 แต่ปรากฎว่ากลับช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น เพราะเศรษฐกิจไทยในเดือน พ.ย. เริ่มกลับมาชะลงตัวลง
แจกเงินหมื่นหนุนเศรษฐกิจกระเตื้อง แต่”พายุยังไม่หมุน”
เศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย. ชะลอลง
ในงาน BOT Monthly Briefing ภาวะเศรษฐกิจ และการเงิน ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดย ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ระบุว่า เศรษฐกิจเดือน พ.ย. ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า หลังจากที่เร่งตัวขึ้นมาเนื่องจากมาตรการโอนเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาลที่แจกให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง สะท้อนได้จากเครื่องมือตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
โดยเครื่องชี้วัดการบริโภคภาคเอกชน ปรับลดลง 0.4% จากเดือนก่อนหน้า (MoM) ซึ่งลดลงเกือบทุกหมวดหลัก โดยเฉพาะหมวดสินค้าไม่คงทน (เส้นสีแดง) ที่ปรับลดลงจากยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิง ในขณะที่ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคยังทรงตัวจากเดือนก่อน
ขณะที่หมวดสินค้าคงทน (เส้นสีม่วง) ปรับลดลงเช่นกัน ตามยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์หลังจากที่เร่งสูงขึ้นในเดือนก่อนหน้าจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนหมวดสินค้ากึ่งคงทน ปรับลดลงเล็กน้อยจากยอดขายสินค้าอย่างอุปกรณ์ประดับยนต์ ตามภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ซบเซา และการนำเข้าเสื้อผ้าที่ลดลงหลังจากที่เร่งตัวขึ้นแรงในเดือนก่อนหน้า เพื่อรองรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ทั้งนี้การใช้จ่ายหมวดบริการ (เส้นสีฟ้า) ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ตามการใช้จ่ายในของโรงแรมและภัตราคาร โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายลดลง แต่นักท่องเที่ยวไทยยังคงใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ด้านการลงทุนภาคเอกชน ปรับลดลง 1.8% จากเดือนก่อนหน้า ในด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ จากยอดจดทะเบียนรถยนต์เชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ด้านการก่อสร้างก็ปรับลดง จากยอดขายวัสดุก่อสร้างและพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่ลดลง ทั้งพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่อุตสาหกรรม
ด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ลดลง 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 2% จากเดือนก่อนหน้า (MoM) ปัจจัยหลักจากอุตสาหกรรมรถยนต์ซบเซา ในขณะที่สินค้าอื่น ๆ ก็ยังคงขยายเพิ่มขึ้นในระดับต่ำ 0.3% YoY จากเดือนก่อนขยายตัว 2.8% YoY โดยมีแนวโน้มค่อนข้างจะซึมพอสมควร
ด้านตลาดแรงงานยังคงทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในภาคบริการเพิ่มขึ้น 0.1% MoM ซึ่งเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และภาคการผลิตลดลง 0.1% MoM เกี่ยวข้องกับการค้า รถยนต์ ผลิตวัสดุก่อสร้าง และจ้างงาน
จำนวนผู้ขอรับสิทธิว่างงานรายใหม่ในระบบประกันสังคมลดลง 20.5% MoM โดยลดลงในทุกสาขาหลัก แต่ยอดสะสมจำนวนผู้ขอรับสิทธิว่างงานยังคงเพิ่มมากขึ้น บ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ว่างงานยังคงหางานใหม่ไม่ได้ ซึ่ง ธปท.จะจับตาตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิด
สำหรับเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.95% YoY เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ปัจจัยหลักมาจากหมวดพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากปีก่อนมีฐานต่ำจากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตในกลุ่มเบนซิน ส่วนเงินเฟ้อหมวดอาหารสดอยู่ที่ 0.24% YoY ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ตามผลผลิตผักที่ออกมามากขึ้นจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมอาหารและพลังงาน) อยู่ที่ 0.80% YoY เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า จากการเพิ่มขึ้นของราคาเครื่องประกอบอาหาร และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นผลมาจากภัยแล้งในช่วงก่อนหน้า
ด้านความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในระยะข้างหน้า เดือน ธ.ค. 67 ปรับลดลงจากภาคการผลิตเป็นสำคัญ ในขณะที่ภาคอื่นยังคงทรงตัว ยกเว้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงแย่ลง นอกจากนี้ดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับลดลงจากเดือนหน้า จากความเชื่อมั่นว่าผลประกอบการจะเพิ่มขึ้นแต่การลงทุนจะลดลง
ธปท.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและการแข่งขันที่สูงขึ้น ส่งผลต่อการฟื้นตัวของรายรับธุรกิจและรายได้ครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ทั้งนี้ต้องติดตามผลกระทบจากความไม่แน่นอนของแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
ธปท.ย้ำแจกเงินหมื่นไม่คุ้มกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสสอง หรือ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ 10,000 บาท ที่รัฐบาลเตรียมโอนผ่านพร้อมเพย์ให้กับผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป ประมาณ 4 ล้านคน ภายในวันที่ 29 ม.ค. 68 นั้น
แจกเงิน 10,000 บาทผู้สูงอายุ พร้อมโอนภายใน 29 ม.ค.
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. มองว่า การแจกเงิน 10,000 บาทในช่วงที่ผ่านมา ช่วยกระตุ้นการบริโภคเพิ่มขึ้น เพราะกลุ่มเปราะบางส่งผลทวีคูณให้กับเศรษฐกิจค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น แต่ในระยะข้างหน้าผลการกระตุ้นจะขึ้นอยู่กับว่าแจกเงินให้กลุ่มไหน และกลุ่มนั้นมีพฤติกรรมการใช้จ่ายเป็นอย่างไร ซึ่งต้องจับตาดูว่าจะช่วยกระตุ้นด้านการผลิตและการบริโภคได้มากน้อยเพียงใด
“มองไปข้างหน้า ผลขึ้นอยู่กับเราแจกกลุ่มไหน และพฤติกรรมการใช้จ่ายเป็นอย่างไร ซึ่งตัวคนที่ในกลุ่มเปราะบางเป็นคนที่มีตัว มัลติพลายเออร์ (Multiplier) ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ อันนี้ต้องจับตาดูต่อไปว่า ตัวผลต่อเศรษฐกิจที่จะช่วยด้านการผลิตและการบริโภคจะได้มากน้อยอย่างไร”
ส่วนการที่ ธปท.ส่งหนังสือไปถึง คณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีข้อเสนอแนะในการใช้เงินในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นที่เป็นไปตามหลักการ เพราะ ธปท.มองว่า การใช้เงินจำนวนมากดังกล่าวไปกับโครงการฯ จะทำให้เสียโอการในการลงทุนด้านอื่น ซึ่งที่จากผลศึกษาที่ผ่านมาพบว่าหากนำเงินไปใช้จ่ายในด้านการลงทุน หรือใช้จ่ายในด้านอุปโภคบริโภคของภาครัฐ จะส่งผลทวีคูณต่อเศรษฐกิจและมีประสิทธิผลมากกว่าใช้ในโครงการการแจกเงิน
นอกจากนี้การกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างภาระทางการคลังสูง เกิดการขาดดุลการคลังมากขึ้น ซึ่งทำให้เหลือช่องว่างในการกู้เงินอีกไม่มาก ธปท.จึงมองว่าหากคำนึงถึงความคุ้มค่า การนำเงินไปใช้กับสิ่งที่เป็นประโยชน์ ก็จะช่วยเศรษฐกิจได้ค่อนข้างมาก