ปี 2566 ประเทศไทยได้บรรลุเป้าหมาย SDGs ในการลดสัดส่วนคนยากจนในทุกมิติลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง จากการประเมินครั้งแรกในปี 2558 ซึ่งเป็นผลจากทั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และนโยบายสนับสนุนคุณภาพชีวิตประชาชนของภาครัฐ แต่ยังมีประเด็นท้าทายหลายประการที่ไทยต้องแก้ไข เพื่อขจัดความยากจนหลายมิติให้หมดไป
ความยากจนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างสำคัญที่ส่งผลกระทบระยะยาวต่อการพัฒนาทุนมนุษย์และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งไม่ได้พิจารณาเพียงความขัดสนทางด้านรายได้เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีในทุกมิติ จึงทำให้ในปี 2558 สมาชิกขององค์การสหประชาชาติ 193 ประเทศ กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ในการยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่ ไว้เป็นเป้าหมายแรกที่ทุกประเทศจะต้องดำเนินการแก้ปัญหาร่วมกันให้บรรลุในปี 2573
ในกรณีของประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้พัฒนาดัชนีความยากจนหลายมิติของประเทศไทย (Multi-dimensional Poverty Index: MPI) ขึ้น เพื่อนำมาใช้ในการติดตามและประเมินความก้าวหน้าของเป้าหมาย SDGs ในเป้าหมายย่อยที่ 1.2 ลดสัดส่วน ชาย หญิง และเด็ก ในทุกช่วงวัยที่อยู่ภายใต้ความยากจนในทุกมิติลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ภายในปี 2573 จากการประเมินครั้งแรกในปี 2558
MPI ที่ สศช. พัฒนาขึ้น ใช้แนวคิดของ Global MPI โดยปรับมิติและตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับบริบทการพัฒนาของประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง และใช้ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำรวจครอบคลุมครัวเรือนทั่วประเทศเป็นข้อมูลหลักที่สะท้อนคุณภาพชีวิตใน 4 มิติสำคัญได้แก่ มิติการศึกษา มิติการใช้ชีวิตในแบบที่ดีต่อสุขภาพ มิติความเป็นอยู่ และมิติความมั่นคงทางการเงิน
ดัชนีความยากจนหลายมิติของประเทศไทย ปี 2556-66
สถานการณ์ความยากจนหลายมิติกับเป้าหมาย SDGs
สถานการณ์ความยากจนหลายมิติของประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีความยากจนหลายมิติในปี 2566 มีค่าเท่ากับ 0.0325 โดยมีคนจนหลายมิติจำนวน 6.13 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 8.76% จากประชากรทั้งหมดลดลงจากปี 2558 ที่มีค่าดัชนีอยู่ที่ 0.0768 และมีสัดส่วนคนจนหลายมิติ 20.08% ทำให้ระหว่างปี 2558 – 2566 ประเทศไทยมีสัดส่วนคนจนหลายมิติลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง จึงส่งผลให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการลดสัดส่วนคนจนหลายมิติแล้ว
นอกจากนี้ หากพิจารณาความก้าวหน้าในการลดความยากจนหลายมิติของแต่ละช่วงวัยซึ่งเป็นกลุ่มที่ระบุอยู่ตามเป้าหมายย่อยที่ 1.2 พบว่า สัดส่วนคนจนหลายมิติในทุกช่วงวัยในปี 2566 ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งจากปี 2558 โดยเฉพาะในกลุ่มวัยแรงงาน (15 – 59 ปี) ที่ลดลงจากร้อยละ 16.06 เป็นร้อยละ 6.03 ขณะที่กลุ่มเด็ก(0 – 14 ปี) และผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ลดลงจาก 22.34% และ 31.55% เป็น 10.89% และ 14.33% ตามลำดับ เช่นเดียวกับสัดส่วนคนจนหลายมิติของเพศชายและเพศหญิง ในช่วงปี 2558 – 2566 ที่ลดลงมากกว่าครึ่งจาก 20.39% และ 19.80% เป็น 9.05% และ 8.50% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารายภูมิภาคพบว่า สัดส่วนคนจนหลายมิติปรับลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งในเกือบทุกภูมิภาคยกเว้นภาคใต้ โดยทั้งในกรุงเทพมหานครภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนคนจนหลายมิติลดลงมากกว่าครึ่ง ขณะที่ภาคใต้ลดลงจาก 24.56% ในปี 2558 เป็น 13.59% ในปี 2566 จึงกล่าวได้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยสามารถลดความยากจนหลายมิติลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งแล้วทั้งในภาพรวม จำแนกตามเพศ และช่วงวัย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย
การที่ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดสัดส่วนคนจนหลายมิติลงครึ่งหนึ่งได้นั้น เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ในช่วง 2558 – 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ย 1.9% ต่อปี แม้จะมีการหดตัวบ้างในช่วงการระบาดของ COVID-19 รวมทั้งนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาความยากจนโดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีผู้ได้รับสวัสดิการประมาณ 14 ล้านคน ซึ่งเป็นโครงการที่ให้เงินอุดหนุนค่าครองชีพกับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั้งค่าอาหาร ก๊าซหุงต้ม ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้าและน้ำประปา จึงมีส่วนช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัด MPI ซึ่งมีการพัฒนาดีขึ้นมากในด้านการใช้อินเทอร์เน็ต การเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด การกำจัดขยะที่เหมาะสม การเข้าถึงการศึกษา และการมีบำเหน็จบำนาญ สามารถสรุปปัจจัยที่ส่งผลต่อลดสัดส่วนคนจนหลายมิติ ดังนี้
1. การพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ที่ผ่านมาภาครัฐได้มีการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่น ทั้งระบบไฟฟ้า น้ำประปา ถนนรวมถึงการพัฒนาเมืองในด้านต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้กระจายออกไปยังพื้นที่ชนบทและพื้นที่ชายขอบ ตลอดจนการมีโครงการอินเทอร์เน็ตฟรีที่สนับสนุนให้นักเรียนยากจนได้เข้าถึงการเรียนรู้ที่ดีขึ้น และการปรับตัวของภาครัฐ ดังเช่น การให้ความช่วยเหลือผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ครัวเรือนเข้าถึงและใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น โดยระหว่างปี 2560 – 2564 ประเทศไทยมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเกือบ 65.047%
2. การพัฒนาระบบการศึกษา หลักสูตร และการอุดหนุนทรัพยากรการศึกษา โดยภาครัฐมีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี เพื่อส่งเสริมให้เด็กเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ครอบคลุมเด็กตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ซึ่งนโยบายดังกล่าวมีการอุดหนุนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเป็นรายหัว ทั้งค่าจัดการเรียนการสอน ค่าหนังสือเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบนักเรียน และค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน อีกทั้งยังมีการสนับสนุนเงินทุนเพื่อการศึกษาผ่านกองทุนต่าง ๆ อาทิ เงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ทุนเสมอภาคและทุนสายอาชีพชั้นสูง ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ที่มีส่วนช่วยในการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาแก่เด็กในครัวเรือนยากจนและลดความเสี่ยงต่อการหลุดออกจากระบบ
ในปีการศึกษา 2566 เด็กไทยสามารถเข้าถึงการศึกษาขั้ั้นพื้นฐานได้กว่า 95.948% นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก) รวมถึงการส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบการ ยังมีส่วนช่วยให้พ่อแม่วัยแรงงานได้อยู่ร่วมกับเด็ก อันจะเป็นการส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการที่สมวัย และลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการเข้าเรียนล่าช้าจากการมีภาวะการเรียนรู้ช้า
3. การสร้างและเพิ่มความครอบคลุมของหลักประกันทางสังคม ที่ผ่านมาภาครัฐได้มีความพยายามในการสร้างหลักประกันรายได้ยามเกษียณอายุให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลไกของระบบประกันสังคมที่มุ่งเน้นการสร้างความคุ้มครองให้แก่แรงงานทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ ซึ่งในปี 2567 มีผู้ประกันตนรวมทุกมาตรากว่า 24.8 ล้านคน อีกทั้ง ยังได้จัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แรงงานนอกระบบที่ไม่มีสวัสดิการรองรับได้มีบำเหน็จบำนาญในยามเกษียณจากเงินออมสะสม ทำให้แรงงานนอกระบบกว่า 2.7 ล้านคน (ข้อมูล ณ 31 ธ.ค. 67) มีหลักประกันรายได้มารองรับในยามเกษียณมากขึ้น
ขณะเดียวกันแม้ว่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะไม่ได้จัดว่าเป็นบำนาญ แต่ถือเป็นสวัสดิการที่มีส่วนช่วยในการสร้างความมั่นคงทางการเงินในยามเกษียณให้แก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีผู้สูงอายุที่มีสิทธิได้รับเบี้ยฯจำนวนเกือบ 12.7 ล้านคน
ประเด็นท้าทายในการแก้ไขปัญหาความยากจนหลายมิติประเทศไทยมีนโยบายที่ช่วยสนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน และทำให้ประเทศบรรลุเป้าหมายในการลดความยากจนหลายมิติลงครึ่งหนึ่งแล้ว แต่สถานการณ์ความยากจนหลายมิติยังมีข้อค้นพบที่น่าสนใจและความท้าทายหลายด้าน ดังนี้
1. แม้ว่าคนจนหลายมิติในประเทศไทยจะลดลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ประเทศไทยยังมีคนจนอยู่อีกจำนวนมาก โดยในปี 2566 ยังมีคนจนหลายมิติจำนวนกว่า 6.13 ล้านคน ทั้งนี้ คนจนในประเทศไทยอาจสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ
- กลุ่มคนจนด้านตัวเงินเพียงอย่างเดียว
- กลุ่มคนจนด้านตัวเงินและคนจนหลายมิติ
- กลุ่มคนจนหลายมิติเพียงอย่างเดียว
ในปี 2566 ประเทศไทยมีคนจนรวมทั้งสิ้น 7.17 ล้านคน จากประชากร 66.05 ล้านคน เป็นคนจนหลายมิติเพียงอย่างเดียว 4.78 ล้านคน และเป็นคนจนเงินเพียงอย่างเดียว 1.04 ล้านคน ขณะที่คนจนที่มีปัญหาทั้ง 2 ด้านมีจำนวน 1.35 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่ายังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังประสบปัญหาด้านคุณภาพชีวิต และยังมีคนจนอีกกว่า 18.8% ที่ประสบปัญหาทั้งคุณภาพชีวิตและการเงิน ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีปัญหาที่ซับซ้อนกว่าคนกลุ่มอื่น และอาจสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ยาก
จำนวนคนยากจนด้านตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินของประเทศไทย ปี 2566
2. มีคนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน ที่เสี่ยงต่อการเป็นคนจนหลายมิติ เมื่อพิจารณาคนจนหลายมิติตามระดับความรุนแรง พบว่า คนจนหลายมิติโดยส่วนใหญ่เป็นคนจนน้อย โดยมีความขัดสนมากกว่า 1 มิติ แต่ไม่ถึง 2 มิติ จาก 4 มิติ สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีโอกาสมากในการลดจำนวนคนจนหลายมิติลงได้อีก
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีคนที่เสี่ยงจะตกเป็นคนจนหลายมิติอีกจำนวนกว่า 24 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 34.7% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจกลายเป็นคนจนหลายมิติได้ง่าย โดยหากพิจารณาคนกลุ่มนี้ พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง และมีรูปแบบความขัดสนคล้ายกับคนจนหลายมิติในภาพรวม กล่าวคือ มีความขัดสนในด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญมากที่สุด รองลงมาเป็นการกำจัดขยะและการถือครองสินทรัพย์
ทั้งนี้ หากพิจารณาคนกลุ่มนี้โดยจำแนกเป็นรายภาค จะพบว่าคนเกือบจนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนของคนที่ขัดสนด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญ เท่ากันและสูงถึง 70.5% ต่างกับภูมิภาคอื่นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 57.4%
ระดับความยากจนหลากมิติของคนไทย ปี 2566
3. การแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติต้องให้ความส่าคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งยังมีข้อจ่ากัดหลายประการ โดยเมื่อพิจารณาอัตราการส่งผลต่อความยากจนหลายมิติ พบว่า มิติที่ส่งผลต่อความยากจนหลายมิติของคนไทยมากขึ้น คือ ความมั่นคงทางการเงิน
ที่ผ่านมาภาครัฐจะมีความพยายามในการสร้างการตระหนักรู้ และสร้างองค์ความรู้ด้านการเงิน รวมถึงการวางแผนเกษียณอายุให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้พยายามสร้างหลักประกันรายได้ในยามเกษียณให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มผ่านกลไกต่าง ๆ แต่ยังพบว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเงินทั้งในปัจจุบันและในยามเกษียณ ยังถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ส่งผลให้เกิดความยากจน
กล่าวคือ แม้ว่าคนไทยจะมีบำเหน็จ/บำนาญรองรับยามเกษียณกันมากขึ้นกว่าในอดีต แต่สัดส่วนคนจนหลายมิติที่ไม่มีบำเหน็จ/บำนาญ อยู่ในอันดับสูงที่สุดมาตั้งแต่ปี 2560 โดยปี 2566 สัดส่วนอยู่ที่ 7.06% ซึ่งปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในการจูงใจให้แรงงานที่ส่วนใหญ่อยู่นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบ อีกทั้งรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปของคนรุ่นใหม่ยังอาจทำให้แรงงานในอนาคตมีความเสี่ยงที่จะไม่มีหลักประกันในยามเกษียณขณะเดียวกัน มิติความมั่นคงทางการเงินยังครอบคลุมถึงการออม และภาระทางการเงิน ซึ่งสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับระดับของหนี้สินครัวเรือนที่ยังคงสูง อาจส่งผลให้ครัวเรือนมีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นและมีการออมลดลงได้
4. การใช้นโยบายที่เหมือนกันในทุกพื้นที่ อาจไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติได้อย่างตรงจุด กล่าวคือ เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลต่อความยากจนหลายมิติจจำแนกตามภูมิภาค พบว่า ความมั่นคงทางการเงินเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อคนในกรุงเทพมหานครมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านความเป็นอยู่ และการศึกษา
ขณะที่ในภูมิภาคอื่น มิติด้านความเป็นอยู่ เป็นมิติที่ส่งผลต่อความยากจนหลายมิติมากที่สุดรองลงมา คือ ความมั่นคงทางการเงินและการใช้ชีวิตในแบบที่ดีต่อสุขภาพ ตามลำดับ
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัด พบว่า แม้ว่าจังหวัดจะมีพื้นที่ติดกัน แต่อาจมีปัญหาที่แตกต่างกัน อาทิ จังหวัดพิษณุโลกและอุตรดิตถ์ โดยจังหวัดพิษณุโลกมีปัญหาด้านการกำจัดขยะมากที่สุด ขณะที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีปัญหาการขาดบำเหน็จบำนาญ สะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายในแต่ละพื้นที่ควรมีการจัดลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันตามสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นขณะเดียวกัน การแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งเพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนหลายมิติได้เนื่องจากบางปัญหามีความเชื่อมโยงกัน เช่น การมีภาระทางการเงิน ที่อาจมีผลต่อการออม การถือครองทรัพย์สินและความขัดสนในด้านอาหาร เป็นต้น
อัตราส่วนการส่งผลต่อความยากจนหลายมิติ จำแนกตามภูมิภาค ปี 2566
กรณีศึกษาจากต่างประเทศในการใช้ประโยชน์จาก MPI
ที่ผ่านมาประเทศไทยได้นำ MPI มาใช้เป็นตัวชี้วัดและติดตามการลดความยากจนในประเทศ แต่อาจยังไม่ได้ใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบ/จัดทำนโยบายมากนัก ซึ่งหลายประเทศมีการนำมาประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรมในลักษณะต่าง ๆ อาทิ
1. การตั้งเป้าหมายระดับประเทศและการวางแผนจัดสรรงบประมาณ โดยประเทศภูฏาน ได้นำ MPI มาใช้ในการกำหนดสูตรการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ โดยใช้ MPI เป็นเกณฑ์หลักในการจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณให้กับรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งจะกำหนดจากระดับความยากจนหลายมิติของแต่ละเขต จึงทำให้ทรัพยากรถูกกระจายไปยังพื้นที่ที่มีความขาดแคลนสูงก่อน
2. การระบุปัญหาและก่าหนดกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุด รวมถึงการจัดล่าดับความส่าคัญในการแก้ไขโดยประเทศเม็กซิโก จัดทำ MPI โดยใช้ฐานข้อมูลสำมะโนประชากรและการสำรวจในระดับเทศบาล ทำให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบ มีข้อมูลความยากจนในระดับพื้นที่เพื่อระบุพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน และ กำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาของพื้นที่ อีกทั้งยังได้นำข้อมูล MPI มาจัดทำเป็นแผนที่ความยากจนทางสังคม (Maps of Social Deprivations) ที่แสดงพื้นที่ที่มีการกระจุกตัวของกลุ่มเปราะบาง เพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนนโยบาย/มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ รวมถึงได้มีการจัดทำระบบอ้างอิงทางภูมิศาสตร์สำหรับนโยบายการพัฒนาทางสังคม (S-GPS) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่แสดงข้อมูลเชิงพื้นที่ของการดำเนินการของภาครัฐ และรวบรวมข้อมูลการลงทะเบียนของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือ
3. การสร้างความคุ้มครองทางสังคมให้แก่คนจนหลายมิติและประชาชนที่มีความขัดสนในด้านต่าง ๆ อาทิ ประเทศเวียดนาม ได้มีการจัดท าและวิเคราะห์ข้อมูล MPI ร่วมกับข้อมูลอื่น อาทิ การสำรวจคุณภาพชีวิตครัวเรือนย้อนหลังตั้งแต่ปี 2555 เพื่อใช้ประโยชน์ในการเลือกนโยบาย/มาตรการลดความยากจน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการร่างนโยบายเพื่อให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นและสวัสดิการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน โดยมุ่งเน้นการลดความยากจนหลายมิติและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้อยโอกาส ทั้งการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนการลงทุนในเกษตรกรรมหรือธุรกิจขนาดเล็ก การฝึกอบรมอาชีพ รวมถึงการสนับสนุนให้ผู้ยากไร้และชนกลุ่มน้อยมีโอกาสไปทำงานต่างประเทศเพื่อยกระดับรายได้ของครัวเรือน
4. การจัดท่าเครื่องมือในการแก้ปัญหาความยากจน โดยประเทศโคลอมเบีย ได้นำแนวทางการประเมินความยากจนแบบหลายมิติของประเทศ เป็นกรอบการจัดทำทะเบียนครัวเรือนยากจนแห่งชาติ(SISBEN) ที่ได้จำแนกครัวเรือนเป็น 4 กลุ่ม ตามความสามารถในการสร้างรายได้และสภาพความเป็นอยู่เพื่อใช้ในการพิจารณาคุณสมบัติในการได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ อาทิ โครงการ Familias en Acción ซึ่งเป็นโครงการโอนเงินช่วยเหลือแก่ครัวเรือนที่มีเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี ที่อยู่ในฐานข้อมูล SISBEN เพื่อแก้ปัญหาความขัดสนในด้านสุขภาพและการศึกษาของเด็ก โครงการ Jóvenes en Acción เป็นการเงินโอนให้แก่ กลุ่มนักเรียน/นักศึกษา อายุ 16 – 24 ปี ที่อยู่ใน SISBEN เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับเยาวชนได้เข้าถึงการศึกษาระดับสูง หรือฝึกอบรมในสายอาชีพที่จำเป็นที่จะเพิ่มโอกาสในการทำงานและพัฒนาอาชีพ
แนวทางการลดความยากจนระยะถัดไป
แม้ว่าไทยจะประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายย่อยที่ 1.2 ของ SDGs ได้ในปี 2566 หรือ บรรลุก่อนกำหนดล่วงหน้า 7 ปี แต่ปัญหาความยากจนยังคงมีความท้าทายอยู่อีกหลายประการ ซึ่งไทยต้องให้ความสำคัญทั้งการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและการวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อหาแนวทางในการทำให้ความยากจนหมดไป ดังนี้
1. การปรับเป้าหมาย ตัวชี้วัด และเกณฑ์ ความขัดสนในการค่านวณความยากจนหลายมิติให้มีความท้าทายยิ่งขึ้น เพื่อใช้ในการติดตามและประเมินสถานการณ์ความยากจนหลายมิติ ที่สะท้อนการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพมากขึ้นกว่าในอดีต โดยการเปลี่ยนตัวชี้วัดที่มีความขัดสนต่ำ เพราะสะท้อนว่าสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้แล้ว หรือปรับเพิ่มเกณฑ์ความขัดสนให้สูงขึ้น อาทิ กำหนดระดับการออมที่เหมาะสม หรือ การพิจารณาภาระทางการเงินจากรายได้สุทธิของครัวเรือน
2. การส่งเสริมให้น่า MPI มาวิเคราะห เพื่อหากลุ่มเป้าหมายในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาความยากจน จากประเด็นท้าทายที่พบว่ายังมีคนที่เสี่ยงจะเป็นคนจนหลายมิติ และคนจนหลายมิติอยู่เป็นจำนวนมากนั้น ควรต้องมีการวิเคราะห์และศึกษาเพื่อหาสาเหตุ รวมถึงการศึกษาเพื่อคาดการณ์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นซึ่งอาจมีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม และจัดทำเป็น Policy Package ในการแก้ไขปัญหาความยากจนที่ตรงจุดและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่มักพบว่าคนจนมีปัญหาในหลายด้าน ซึ่งปัญหาในด้านต่าง ๆ มักมีความเชื่อมโยงกันทำให้นโยบายแก้ไขปัญหาต้องแก้ทุกด้านควบคู่กันไป
นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวยังต้องมีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามบริบทที่แตกต่างกัน อาทิ การขาดหลักประกันในยามเกษียณ ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ และการดำรงชีพของคนไทยในยามเกษียณ และส่งผลกระทบต่อปัญหาความยากจนในหลายมิติทั้งมิติความมั่นคงทางการเงินความเป็นอยู่ รวมถึงการใช้ชีวิตในแบบที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้การดำเนินนโยบายจะต้องดำเนินการตั้งแต่การส่งเสริมให้คนไทยมีวินัยทางการเงินตั้งแต่เด็ก และส่งเสริมการเข้าถึงหลักประกันตั้งแต่วัยทำงาน และสร้างโอกาสให้ผู้สูงอายุสามารถทำงานที่เหมาะสมกับตนเองได้ ควบคู่ไปกับการมีมาตรการอื่นที่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
3. การใช้ MPI เป็นข้อมูลประกอบการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหา โดยปัจจุบันการจัดสรรงบประมาณให้กับจังหวัดประกอบด้วย 4 ช่องทาง คือ การจัดสรรผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น งบประมาณรายจ่ายประจำปี ยุทธศาสตร์ด้านสร้างโอกาสและความเสมอภาคฯ และแผนจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ซึ่งการจัดสรรงบประมาณในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และแผนจังหวัดและกลุ่มจังหวัด สามารถน า MPI มาเป็นเครื่องมือประกอบการจัดสรรงบประมาณได้ โดยจัดสรรงบประมาณให้กับจังหวัดที่มีความยากจนสูงหรือมีความขัดสนหลายด้านมากกว่าจังหวัดที่มีความยากจนต่ำ ดังเช่นประเทศภูฏานที่ใช้ MPI เป็นกลไกในการจัดสรรงบประมาณ
4. การจัดท่าข้อมูลให้สะท้อนคุณภาพชีวิตและครัวเรือนทุกรูปแบบเพื่อให้สามารถออกแบบนโยบายช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้ได้อย่างแท้จริง แม้ว่า MPI จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการนำมาใช้แก้ไขปัญหาความยากจน แต่การจัดทำ MPI จำเป็นต้องมีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่ทันสมัย เป็นตัวแทนของคนทุกกลุ่ม และครอบคลุมคุณภาพชีวิตในทุกมิติ โดยมีความจำเป็นต้องมีการสำรวจความต้องการที่แท้จริงของประชากรในครัวเรือนแต่ละประเภท เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถสะท้อนคุณภาพชีวิตได้อย่างรอบด้าน อีกทั้ง ยังไม่สะท้อนความต้องการที่แตกต่างในแต่ละพื้นที่ และกลุ่มครัวเรือน
เกณฑ์การจัดทำดัชนี MPI
ดัชนีความยากจนหลายมิติ (Multidimensional Poverty Index: MPI) มีหลักการว่า คนจน คือ ผู้มีคุณภาพชีวิตต่ำกว่าเกณฑ์คุณภาพชีวิตที่ดีในมิติต่าง ๆ โดยพิจารณาจากมิติ 5 ด้าน ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา ด้านรายได้ ด้านความเป็นอยู่ และด้านการเข้าถึงบริการภาครัฐ ซึ่งมิติแต่ละด้านมีข้อมูลจำนวนคนในครัวเรือนยากจนที่ตกเกณฑ์ตัวชี้วัดความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) ที่นำมาใช้เป็นดัชนีในการคำนวณความยากจนหลายมิติ (MPI) ประกอบด้วย
1. มิติด้านสุขภาพ ตัวชี้วัด คือ เด็กแรกเกิดมีน้ำหนัก 2,500 กรัมขึ้นไป ครัวเรือนกินอาหารถูกสุขลักษณะ ปลอดภัยและได้มาตรฐาน ครัวเรือนมีการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นอย่างเหมาะสม คนอายุ 6 ปีขึ้นไป ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที
2. มิติด้านการศึกษา ตัวชี้วัด คือ เด็กอายุ 3–5 ปี ได้รับบริการเลี้ยงดูและเตรียมความพร้อมก่อนวัยเรียน เด็กอายุ 6–14 ปี ได้รับการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี เด็กจบชั้น ม.3 ได้เรียนต่อชั้น ม.4 หรือเทียบเท่าคนอายุ 15–59 ปี อ่านเขียนภาษาไทยและคิดเลขอย่างง่ายได้
3. มิติด้านรายได้ ตัวชี้วัด คือ คนอายุ 15–59 ปี มีอาชีพและรายได้ คนอายุ 60 ปีขึ้นไป มีอาชีพและรายได้ และครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยต่อปี
4. มิติด้านความเป็นอยู่ ตัวชี้วัด คือ ครัวเรือนมีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย และบ้านมีสภาพคงทนถาวร ครัวเรือนมีน้ำสะอาดสำหรับดื่มและบริโภคเพียงพอตลอดปี อย่างน้อยคนละ 5 ลิตรต่อวัน และมีการจัดการบ้านเรือนเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาด และถูกสุขลักษณะ
5. มิติด้านการเข้าถึงบริการภาครัฐ ตัวชี้วัด คือ ผู้สูงอายุและผู้พิการได้รับการดูแลจากครอบครัว ชุมชน ภาครัฐหรือภาคเอกชน
ที่มา: “การบรรลุเป้าหมาย SDGs ในการยุติความยากจนหลายมิติ” ในรายงานภาวะสังคมไตรมาสที่ 4/2567
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: